The Inventor
คุณยังจำสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ยุครุ่งเรืองของวงการเพลงไทย” ได้หรือไม่ วันที่เราสามารถเห็นวงดนตรีขายอัลบั้มได้แบบที่เรียกว่าหลักล้าน วันที่ถ้าใครออกผลงานได้ก็เรียกว่าการันตีความมั่นคงในชีวิตได้ วันที่เราสามารถเห็นศิลปินสักเบอร์ มีคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ได้อย่างง่ายดาย มีงานดนตรี มีเพลงที่ทุกวันนี้ยังฟังเพราะอยู่ ไม่ได้หมายความว่ายุคนี้ดนตรีไม่ดี เพียงแต่ความจับต้องได้ของการขาย วิธีคิด ความต้องการเพลงที่มากกว่าของคนในยุคนั้นมีมากกว่านั่นเอง ค่ายเพลงใหญ่อย่าง แกรมมี่ ที่มีค่ายย่อยมากมาย มีหลายค่ายที่สร้างศิลปินระดับหัวแถวของวงการ หนึ่งในนั้นคือ Up^G ค่ายเพลงที่สร้างซูเปอร์สตาร์ ทั้งวง ทั้งตัวบุคคลประดับวงการมากมาย เป็นเหมือนโรงเรียนดนตรีที่มีส่วนให้หลายๆ ศิลปินได้ก้าวต่อไป คุณครูใหญ่ของโรงเรียนนั้นคือพี่ชายใจดีผู้นี้ “แสนคม สมคิด” ชื่อนี้ถ้าคุณเป็นคนสนใจเครดิตคนเบื้องหลังน่าจะได้เห็นผ่านตามานับครั้งไม่ถ้วน วันนี้เราจะมาฟังพี่เขาเล่าถึงที่มาที่ไปของศิลปินหลายๆ คน และความเป็นมาและกำลังจะเป็นไปของค่าย UP^G ครับ
ก่อนจะเป็น UP^G
พี่ต่อ : ปีที่ผ่านมาผมก็อยู่แกรมมี่มา 30 ปีแล้ว เริ่มจากพี่นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล แกก็ทำด้านพวกมิวสิควิดีโอ ซึ่งผมก็อยู่ในสายงานนี้ด้วย พอพี่นิคแกย้ายมาทำส่งเสริมการตลาด แกเลยหนีบผมมาด้วย (หัวเราะ) ก็ได้ลองผิดลองถูกเยอะ ส่วนในด้านดนตรีจริงๆ ผมไม่ได้อยู่ในสายนี้เลยนะ แค่เล่นเป็นวงสมัครเล่นกับเพื่อน ตอนนั้นวงผม นนทรีย์ นิมิตบุตร เป็นมือเบส (หัวเราะ) ก็เล่นขำๆ เลย คราวนี้จุดเปลี่ยนตอนพี่เต๋อเสีย คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แกก็มีนโยบายจะกระจายค่าย พี่เล็ก บุษบา ดาวเรือง ก็เห็นว่าเราน่าจะทำได้ ก็เลยลองให้โอกาส ตอนนั้นผมอยากจะทำค่ายเพลงแบบร็อคไซส์เล็กๆ ให้โอกาสเด็กที่ประกวด Hot Wave ก็เลยเป็นที่มา คือเราจะเอามาเทรนนิ่ง แล้วส่งต่อนั่นแหละว่ากันตรงๆ ส่วนที่มาของชื่อก็เราเห็นค่าย More Music เราก็อยากได้ความหมายเท่ๆ คล้ายๆ แบบนั้น ก็เลยเป็น Up ละกันวะ อยู่แกรมมี่ก็เติม G หน่อย ก็กลายเป็น UP^G นี่แหละ ที่มาชื่อค่าย (หัวเราะ)
วันแรกและศิลปินเบอร์แรกของ UP^G บรรยากาศตอนนั้นเป็นยังไง
พี่ต่อ : ก็ย้อนกลับไปที่พี่เล็ก บุษบา ให้เราทำค่าย ผมก็บอกไม่ถนัดด้านดนตรีเลย แกก็บอกให้ลองหาคนช่วย ซึ่งโชคดีที่ผมรู้จักอยู่คนนึง ชื่อแมว (หัวเราะ) ก็ได้แมว จิระศักดิ์ ปานพุ่ม นี่แหละ ตอนแรกแมวเค้าบอกว่าจะเป็นคนหาศิลปินมาทำ ผมเลยบอกว่าไม่ต้องหาหรอก มึงนี่แหละ (หัวเราะ) แมวก็เลยมาลองลุยด้วย เลยออกมาเป็น Get Up Higher เอาล่ะพอเราตั้งใจจะทำงานก็ต้องมีเพลง แมวเขาก็ไปทำเพลงมา ทีนี้เรื่องเนื้อเพลงเราก็หาพี่ๆ หลายคนช่วย แต่ไม่มีใครว่างเลยเพราะตอนนั้นก็เร่งทำงานตัวเองกัน ผมก็เลยลองเขียนเองดู ให้แมวลองร้อง ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ผมเขียนด้วยนั่นคือเพลง “เลิกรา” ก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จอะไรด้วย ปรากฎว่ามันออกเกินคาดมาก ผมเลยต้องไปเรียนเขียนเพลงเพิ่ม (หัวเราะ) ให้หลายๆ คนสอน อาจารย์ดีๆ เพียบ ปัญหาคือเราไม่คิดว่าฟีดแบ็คของแมวจะดีขนาดนี้ไง พองานแรกมันออกมาดี มันก็เลยเริ่มกดดัน เริ่มมีการส่งเดโม่มาเรื่อยๆ ซึ่งก็ผมก็ไม่รู้เรื่องดนตรีเท่าไหร่ มีแมวมาช่วยดู เราก็พยายามหาวงต่อจากแมว ซึ่งก็คิดแบบไม่สนดนตรีเลยนะ ค่ายเรามีชื่อสัตว์เป็นแมวแล้ว วงต่อไป เอา Crocodile Junior มั้ย (หัวเราะ) คิดแบบนี้เลยนะ ต่อจากนั้นเป็น Monkey Act เผอิญเพลงมันโดนอีก ไม่มีเบอร์หนึ่งถึงสองคน ก็ทำให้เริ่มมีวงมาเรื่อยๆ รวมถึงวงที่ตั้งขึ้นมาใหม่แต่ไม่มีใครช่วยโปรโมตให้ด้วยอย่าง Clash หรือ Potato
ช่วงที่พีคที่สุดคือช่วง Clash กับ So Cool หรือเปล่าครับ
พี่ต่อ : Clash นี่จุดเปลี่ยนเลยนะ ตอนนั้นมีประชุมกัน ที่จะคัดวงออกจากค่าย คราวนี้มันมีไอ้น้องวงนึง ชื่อลูซิเฟอร์ มาจาก Hot Wave ก็อยู่กับเรามานานแล้ว พี่เล็ก บุษบาก็บอกว่าให้ผมช่วยน้องมันหน่อย ก็ตกลงรับทำ คราวนี้แมว แยกตัวออกไปแล้วไปทำค่ายเอง แต่ผมได้ “โอ๊บ เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ” มาช่วย ผมก็บอกให้โอ๊บดูให้หน่อย ซึ่ง Clash อยู่กับเรานานมาก 3-4 ปี หาเพลงไม่ได้ จน “พล” (มือกีตาร์) มันไปหารถกระบะจะไปขายของแล้ว (หัวเราะ) คือทุกคนเลิกแล้ว ผมเจอแบงค์ เดินลากรองเท้าแตะ มาดูคอนเสิร์ต ก็คุยแบงค์บอก “วงเลิกแล้วพี่” ผมบอกเฮ้ย อย่าพึ่งเลิก ลองไปทำกันอีกที ซึ่งพวกนี้ก็ไปทำนะจนได้เพลง “กอด” มา ซึ่งพอเราไปให้ผู้ใหญ่ฟัง ก็ได้รับบรีฟมาว่าต้องทำอัลบั้มให้เสร็จใน 3 เดือน (หัวเราะ) ก็ต้องหาทุกคนตอนนั้นที่พอหา ได้หั่ง Potato, พี่เป็ด มนต์ชีพ และอีกหลายคนมาช่วยทำ เป็นอัลบั้ม One ออกมาจนได้ คราวนี้มันเริ่มดัง ช่วงนั้นกำลังจะทัวร์ ก็ต้องงดรับงาน ทำอัลบั้ม 2 ต่อเลย ในระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์ที่ปีย์ Potato เสีย แล้วแบงค์ก็แต่งเมโลดี้เพลงไว้เพลงนึง ทิ่งไว้ที่ผม ผมเลยขอว่าเอาเพลงนี้ร้องให้ปีย์ก็แล้วกัน ชื่อเพลง “เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป” ซึ่งปล่อยไปไม่นานเด็กๆ ร้องได้ หลังจากนั้นก็อย่าวงที่เราทราบๆ กัน ก็แต่ละคนโตขึ้น เริ่มอยากมีสิ่งที่อยากทำ ก็เลยแยกกันไป ส่วน So Cool นี่เกิดจากเสก โลโซ ไปเป็นกรรมการตัดสินดนตรีแล้วเห็นวงนี้แล้วชอบมาก เลยให้ “เท็ดดี้” พามา จะมาทำเพลงให้ ตอนแรกให้พี่ป้อมก่อน แต่แกบอกไม่ถนัด ผมเลยบอกว่า “พี่ป้อม ไม่ถนัดไม่เป็นไร ผมถนัด” (หัวเราะ) ก็เลยมาอยู่กับเรา ซึ่งเราก็คิดว่าจะทำแนวไหนให้ดี เราก็ดูตอนนั้นมันมาเป็นครอบครัว ก็ร็อคแบบครอบครัวนี่แหละ แล้วเจ้าโจ๊กก็ดูอายๆ เจี๋ยมๆ ผมก็เลยลองเขียนเพลงให้ ก็ได้เป็นเพลง “คนเจียมตัว” ซึ่งมันก็ได้กระแส พอมาชุดที่ 2 ก็จะทำให้เอ็นเตอร์เทนขึ้น ก็เลยลองหากิมมิกใหม่ๆ ผมไปเขียนเพลง “เลี้ยงส่ง” มาแล้ว คราวนี้มิวสิคเราก็อยากได้อะไรที่มันดูตลกๆ หน่อย ก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ (หัวเราะ)
กับศิลปินเดี่ยวของ UP^G ที่บางคนก็ไปได้สวย อย่าง เป๊ก ผลิตโชค, ชิน ชินวุฒิ
พี่ต่อ : อย่างเป๊กตอนนั้นผมได้มีโอกาสเขียนเพลงให้เขา เพลงชู้ในใจ ก็เลยได้รู้จักกัน อย่างของชิน ก็เหมือนกัน มีเพลงหัวใจไม่ใช่กระดาษ อะไรทำนองนี้ คือคนเหล่านี้เขามีของตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ตอนอยู่กับเราอาจจะมาใหม่ๆ รอวันเติบโต หาสไตล์ที่ใช่ จนวันนี้ผมเห็นน้องๆ สำเร็จผมก็ภูมิใจนะว่าอย่างน้อยเราก็เคยมีส่วนเล็กๆ ที่ช่วยเขา
จากที่ดูมา UP^G เจอศิลปินทุกรูปแบบ ทั้งแบบนักดนตรีสุดๆ ไปจนสายดาราสุดๆ พี่ต่อรู้สึกยังไงที่วันนี้ได้เห็น แต่ละคนมีเส้นทางที่ดีในวงการ และบางคนก็มีพลาดบ้าง
พี่ต่อ : คือเราก็ดีใจนะครับที่คนเหล่านี้ได้เติบโตเส้นทางที่เค้ารักจริงๆ คนพวกนี้เวลาที่คุยเรื่องเพลง ตาเขาจะเป็นประกายมาก แล้วก็อาจจะเป็นส่วนที่เราทำได้ แน่นอนบางส่วนที่อาจจะไม่ได้ถึงกับยอดขายดีมากนัก แต่ผมก็มองว่า อย่างน้อยทำให้พวกเขาได้เติบโตในงานดนตรี แต่จะมีที่เศร้าหน่อยก็อย่าง แพท (Power Pat) ที่เรารู้สึกว่าได้คุยกันน้อยไป จนเขาไปอยู่ในจุดนั้น ซึ่งมันเกินกว่าที่เราจะห้ามปราม มันเป็นเคส ที่ทำให้ทางเราต้องคุยกับน้องๆ ศิลปินใหม่ๆ ที่เข้ามาให้มากขึ้น ซึ่งผมเสียดายเขามากนะ เพราะน้องมันน่ารักและนิสัยดีมาก
ช่วงหลังๆ การเปลี่ยนแปลง วิธีการการฟังเพลง ทำให้ UP^G ดูว่าจะดาวน์ลงไหมครับ
พี่ต่อ : ผมว่ามันเป็นทั้งระบบนะ มันเริ่มได้เพลงไปฟังง่ายขึ้น ซึ่งพอมันได้เพลงมาง่ายขึ้นเพลงไหนที่ชอบ คนจะเก็บไว้ เพลงไหนไม่ชอบก็จะถูกทิ้งไป เพราะมันได้มาฟรี มันเลยเป็นปัญหาว่าจะทำอย่างไรให้รักษาคุณภาพไว้ให้ได้ โดยเฉพาะคุณภาพเพลงแบบแกรมมี่ มันต้องดี ถ้าถามผมว่าดาวน์ไหม ผมว่าเป็นทั้งระบบ ผมมีเคนนึงเจอกับตัวเอง เมื่อก่อนมันจะมี MP3 วางขายตามตลาดนัดที่มันรวมเพลงไว้เยอะๆ ผมก็ไปหยิบยืนดูอยู่พักนึง ไอ้คนขายก็บอกว่า พี่ไม่เห็นต้องคิดมากเลย แค่ร้อยเดียว ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แต่เพลงแรกน่ะ ของกูเลย (หัวเราะ) คือแบบถ้ามันทำกันแบบนี้จะอยู่ยังไง ซึ่งเราพูดจริงๆ ว่าเราสู้ไม่ไหวหรอก แต่มันเป็นสิ่งที่เลือกแล้วว่าเราจะต้องทำอาชีพนี้ ยังไงเราต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นเพลงต้องทำให้ดีที่สุด เพลงจะโดนไม่โดนให้คนตัดสิน ทำให้มีคุณภาพก่อน ผมเลยสร้างนิยามขึ้นมา 3 ด คือ 1.ได้ ตอนนี้ใครก็เขียนเพลงได้ 2.ดี ถ้าคุณเขียนเพลงได้มาตรฐานมันจะรู้ได้เอง แต่ 3.คือโดน อันนี้เราไม่รู้ว่า มันจะโดนหรือไม่ เราเคยนั่งวิเคราะห์ว่าเพลงนี้มันจะโดน แต่วืดก็เยอะ ดังนั้น ผมจะยึดข้อที่ว่าดี ไว้ก่อนในการทำงานของเราเอง คราวนี้ปัจจุบัน หลังจาก MP3 เองก็ตายจากไป เราก็ไม่รู้ว่า ต่อไปการขายมันจะมาในรูปแบบไหน เราจะทำมาค้าขายยังไง ตัวดนตรียังไงก็มีคนฟังอยู่นั่นแหละ เพลงยังไง แกรมมี่ก็ไม่เลิกแน่นอน แต่วิธีการช่องทางใหม่ๆ มันคืออะไรยังไง อันนี้ต้องลองหาดู
แล้วอะไรทำให้พี่ต่อ มาลุย UP^G อีกรอบ
พี่ต่อ : อันนี้ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส คือเราเหมือนตกหลุมอากาศ เราไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่แบบของเรา แล้ววันนี้เรากลับมา เราก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่จะใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา แล้วก็มามองหาวงกันใหม่ ทุกวันนี้วิธีการต่างๆ มันเปลี่ยนผมเข้าใจ ซึ่งเราก็มาดูว่า เจตนารมณ์เดิมของเราคือต้องการทำค่ายเพลงร็อคไซส์เล็กๆ ให้มันเป็นที่รู้จักของคนอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นมีคนมาถามว่าเราเลิกแล้วเหรอ ยังอยู่เหรอ ซึ่งเรายังอยู่ครับ เพียงแต่ที่หายไป เพราะกระแสที่ผ่านมา วงดนตรีมันไม่ได้บูม มันเป็นเรื่องของสื่อต่างๆ ที่ล้อมรอบตัว ถ้าเรามองดู ที่ผ่านมาเราจะเห็นศิลปิน YouTube มากมาย ใครอยากจะคิดทำอะไรได้หมด ซึ่งผมมองมานานแล้ว ที่เห็นก็คือมีวงมากมายที่ทำๆ แล้วหายไปเลย เพราะอะไร ปัจจัยการผลิตไง เพราะพวกนี้ต้องใช้เงินตัวเอง ถ้า 1 ไม่โดน 2 ไม่โดน 3 ไม่เกิดแน่ๆ ในวงจรชีวิตของวงๆ นึงถ้า 3 ไม่โดนมันจะไม่มีโอกาสแล้วนะ
สไตล์เพลงของ UP^G จะเป็น แมส เป็นปิอป ร็อคหน่อย แต่ทุกวันนี้ มีดนตรีหลายแนวมาก พี่ต่อคิดว่าคำว่าแมส นี่ยังจำกัดความได้ไหมครับ
พี่ต่อ : ก็ยังได้อยู่นะ ผมเชื่อว่ายังมีอยู่นะ มันอยู่ที่ ที่ผ่านมาตลาดเสพอะไร เท่าที่ผมเห็นก็คือแนวพวกอินดี้อีสานบูมมาก ทีนี้ลองกลับมา ปีที่แล้ว เป็นเพลงใต้ คราวนี้เราก็เวลาของเรา ผมยังเชื่อว่าคนรอเพลงแบบที่ค่าย UP^G เคยทำ ร็อคแบบไทยๆ ของเรา ผมเชื่อว่ายังมีคนรองานแบบของเราอยู่
พี่ต่อมีเทคนิคในการแต่งเพลงหรือเปล่าครับ
พี่ต่อ : ลองทำเหมือนเขียนเรียงความสิ ไม่ต้องคิดถึงท่อนเพลง ลองดูสิว่าเราเรียงเนื้อเรื่องยังไง เล่าเรื่องได้ไหม ถ้าลองดูว่าเขียนไปยังอยู่ที่เดิม ท่อนแรกมาคิดถึงเธอ ท่อน 2 มายังคิดถึงอีก ไม่ลืมเธอก็ตายแน่ คือถ้าเราลองเอาแบบมาอ่านเนื้อเพลง เราจะเห็นเลย มันเช็กได้ ลองดูก็ได้นะ ลองเอาเพลงเก่ามาดูก็ได้ เราจะเห็นวิธีการใช้คำ การขยายความ แล้วส่วนตัวผมเลยนะ ถ้าฮุค มันต้องบอกอารมณ์ได้ มันต้องไม่เป็นการพูดด้วยภาพ ถ้าฉันรักเธอ ก็ต้องแบบ “ฉัน”, “รัก”, “เธอ” ให้เป็นประธาน กิริยา กรรม อารมณ์ชัดๆ ไปเลย แล้วถ้าเป็นไปได้มันต้องมีฉาก ต้องตามได้ เหมือน The Toys ไง เพียงแค่ฝนตกลงที่หน้าต่าง ในบางครา เพียงแค่ฝนตกลงที่หน้าต่าง ในตอนเช้า มันจะมีฉาก อะไรแบบนี้ ตรงนี้เป็นเทคนิคที่สามารถลองไปปรับใช้ได้
ความคาดหวัง วิธีการทำงานของน้องๆ วงใหม่ๆ ต่างจากสมัยก่อนหรือเปล่าครับ
พี่ต่อ : คือคนเหล่านี้มีฝัน แต่เขาจะมองตลาดเป็นหรือเปล่า แน่นอนก่อนที่จะเขาจะมา พวกนี้ได้เห็นรุ่นพี่มาเยอะ เพราะฉะนั้นวันนี้เราได้คุยกับสิ่งที่เขาเจอเช่นวันนี้ YouTube เป็นยังไง วิธีการทำเพลงเป็นยังไง คือคนเหล่านี้ ก่อนเดินมาหาเราไม่ใช่แค่ฝันอย่างเดียว แต่เขาคิดว่าจะมีโอกาสสำเร็จ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน คนทำเพลง น้องๆ ที่ทำเพลงจะรู้สึกว่า อยากทำเพลงอย่างเดียว อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง ขายได้ไม่ได้ก็ไม่สน แต่อยากมี 10 เพลงที่บอกตัวตนของมันได้ แต่วันนี้น้องๆ ที่เดินเข้ามา โอกาสที่จะทำ 10 เพลง แบบนั้นมันไม่มีแล้ว นอกจากทำสะสมไปเรื่อยๆ สัก 20 ปี อาจจะมีโดนสัก 3 เพลง แล้วเพลงที่เหลือ เอาไว้ตัดใส่ในอัลบั้ม อันนั้นเป็นไปได้ คืออัลบั้มยังมีแหละ แต่ต้องรอเวลา ผมว่าคนก็รอที่จะรู้จักตัวเพลงทั้งอัลบั้ม ตัวตนของศิลปินนั่นแหละ เพียงแต่ต้องรอเวลาหน่อย
ก้าวต่อไปของ UP^G
พี่ต่อ : ก็อยากจะสร้างน้องๆ ขึ้นมาโดยยังยึดแบบแผนเดิม เราไม่ได้เปลี่ยนไปเรายึดคำว่าร็อค แต่ร็อคของเราต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าเราจะไม่ทำให้มันยากเกินไป เราต้องคิดให้ได้ ลองดูตลาดว่าร็อคไทยๆ มันมีมนต์เสน่ห์แบบไหน ผมเชื่อว่ามันมีความดราม่ากว่า คนไทยชอบเสพดราม่า
ฝากถึงน้องๆ นักดนตรี
พี่ต่อ : ค่ายเราก็ต้อนรับ คนใหม่ๆ นะครับอย่างแรกให้คิดถึง ผลงานตัวเองทำให้เข้าหูเข้าตา แล้วส่งมาคุยกัน มาลองดู มาปรึกษากันได้หมด ผมเปิดกว้าง ลองไปดูในเพจเราได้ครับ
ขอขอบคุณ : คุณตาล UP^G ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ