เวิ้งนาครเขษม ตำนานของนักดนตรีไทย
เวิ้งนครเกษมหรือเวิ้งนาครเขษม เป็นย่านการค้าบนที่ดินขนาด 14 ไร่ 1 งาน 91 ตารางวา ตั้งอยู่ในเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์การค้าที่รวมสินค้าจีน ฝรั่ง และไทยไว้ด้วยกัน นับเป็นศูนย์การค้าสากลแห่งแรกของเกาะรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันมีจุดเด่นคือเป็นแหล่งจำหน่ายเครื่องดนตรี นอกจากนี้ก็มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และหนังสือเก่าหายาก แต่เดิมนั้นที่ดินเวิ้งนาครเขษมเป็นที่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ขุดสระขนาดใหญ่และทำเป็นสวนสำหรับเป็นที่เล่นของคนทั่วไปเรียกว่า “วังน้ำทิพย์” ใกล้บริเวณนั้นเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวแต้จิ๋ว ต่อมาจึงได้พระราชทานที่ดินผืนดังกล่าวแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเห็นว่าบริเวณนี้มีชุมชนเกิดขึ้นแล้วจึงได้ถมจนกลายเป็นที่โล่งกว้างใหญ่ ตั้งชื่อว่า “เวิ้งนาครเขษม” มีความหมายถึงเวิ้งอันเป็นที่รื่นรมย์ของชาวเมือง ต่อมาชื่อเรียกเพี้ยนมาเป็นเวิ้งนครเกษม
ในช่วงหลังเลิกทาสแล้ว คนที่อยู่ในวังที่พ้นจากการเป็นทาส เมื่อย้ายออกจากวังได้รับทรัพย์สินของนายบ้าง ขโมยมาบ้าง ได้นำของมาขายในบริเวณนี้ ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “ตลาดโจร” หรือในภาษาอังกฤษเรียกกันติดปากว่า “Thief Market” ชาวตะวันตกก็นำของมาแลกเปลี่ยนกันบ้าง จึงเกิดเป็นตลาดค้าของเก่าขึ้น ตามมาด้วยศูนย์การค้าขนาดย่อมและเป็นศูนย์การค้าแห่งแรกที่มีโรงภาพยนตร์นาครเขษม เป็นศิลปะแบบอาร์ตเดโก ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีความนิยมในดนตรีตะวันตกเพิ่มมากขึ้น เวิ้งนาครเขษมจึงเป็นแหล่งนำเข้าเครื่องดนตรีจากตะวันตกมาขาย และเกิดแหล่งค้าของเก่า เครื่องดนตรี หนังสือเก่า เครื่องทองเหลือง รวมทั้งร้านอาหาร ลักษณะอาคารศูนย์การค้ามีรูปแบบเป็นห้องแถว เริ่มแรกเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว แต่เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปีพ.ศ.2508 จึงได้ปรับปรุงเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้นและสามชั้นตามลำดับ อาคารมีรูปทรงแบบตะวันตก มีลายปูนปั้นตามวงกรอบหน้าต่าง มีช่องระบายความร้อนและความชื้นที่แกะสลักด้วยไม้ หลังคาเป็นแบบกระเบื้องว่าว รอบสถานที่มีซุ้มประตูไม้สักฉลุลวดลายสวยงาม หลังเกิดเหตุไฟไหม้ยังมีการสร้างตลาดใหม่ชื่อว่า “ตลาดปีระกา” เพราะสร้างเสร็จในปีระกา
ถึงยุคปัจจุบัน บริเวณแห่งนี้เป็นสมบัติกองมรดกของตระกูล 5 ตระกูล ประกอบด้วยกิติยากร, สวัสดิวัตน์, เทวกุล, โสณกุล และบุณยะปานะ ซึ่งสืบสายจากพระธิดาทั้ง 5 ของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์พินิต และได้โอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินให้บริษัท ทีซีซี เวิ้งนาครเขษม จำกัด บริหารจัดการด้วยราคา 4,800 ล้านบาท โดยทำการโอนเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2555 (ขอขอบคุณ ข้อมูล และเนื้อหาทั้งหมดข้างต้น จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
จากข้อมูลอ้างอิงเบื้องต้น เมื่อเราได้รู้ที่มาของเวิ้งนาครเขษม ว่าเป็นมาและเป็นไปอย่างไรในปัจจุบัน ก็อดที่จะใจหายไม่ได้ สามารถพูดได้ว่าเป็นแหล่งหรือเป็นตำนานของเหล่านักดนตรีในบ้านเราที่ใช้ซื้อหาอุปกรณ์ดนตรีกันมาเนิ่นนาน ในสมัยก่อนถ้าเราอยากจะซื้อกลองชุดหรืออุปกรณ์ต่างๆ ของกลอง หรือเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ เราก็ต้องมุ่งไปที่แห่งนี้แน่นอน แม้กระทั่งยังไม่มีเงินพร้อมที่จะซื้อก็ยังอยากที่จะไปเดินดูเพื่อเก็บเป็นข้อมูลไว้ว่าของยี่ห้อนี้ รุ่นนี้ ราคา และหน้าตาเป็นอย่างไร จะได้ไปเตรียมตัวเก็บสตางค์ใส่กระปุกแล้วมาซื้อวันหลัง ถามว่าเสน่ห์ของการเดินในเวิ้งอยู่ตรงไหน ก็อยากจะบอกว่า ในสถานที่ที่ซึ่งมีเครื่องดนตรีครบครันหลากหลายยี่ห้อ อยากได้ยี่ห้อไหนก็เข้าไปร้านนั้นๆ ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของสินค้า พูดง่ายๆ ว่ามาที่นี่ก็ได้เดินเลือกกันอย่างจุใจ จากร้านนี้ก็ข้ามไปร้านตรงข้าม หรือแค่กระเถิบไปอีกร้านก็ยังได้ สินค้ามีให้เลือกหลากหลาย และยังต่อรองได้อีก ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจเมื่อลงจากรถโดยสารแล้วมายืนอยู่ท่ามกลางร้านเครื่องดนตรีที่มีมากที่สุดในประเทศไทยยังตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคน
คนรุ่นใหม่อาจจะยังไม่ได้ซึมซับความรู้สึกเหล่านี้เท่าไหร่ เพราะในยุคใหม่ มีร้านขายอุปกรณ์ดนตรีหลายต่อหลายที่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในห้างสรรพสินค้าทุกแห่ง ตามร้านที่สามารถเปิดขายได้เองโดยนำเข้ามาเอง หรือการซื้อขายผ่านทางออนไลน์ แม้กระทั่งบางคนยอมลงทุนขึ้นเครื่องบินไปซื้อมาเองเลยก็มี เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทางเลือกมันเยอะมากขึ้น ในยุคที่มีความทันสมัยมากขึ้น สิ่งที่เป็นความดั้งเดิมก็เลยต้องถูกลืมไปทีละน้อย แต่ความขลังหรือจะบอกว่าความมีมนต์ขลังจะไม่มีวันหายไปจากใจ
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ประกอบการในเวิ้งนาครเขษมบางคน และได้ถามว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งก็ได้คำตอบคล้ายๆ กันว่าก็คงต้องย้ายร้านไปที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีต้นทุนสูงแน่นอน (ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น) บางรายก็ไปสร้างอาณาจักรใหม่ ในที่ที่แตกต่างกันออกไป บางรายก็เน้นที่จะเปลี่ยนวิถีการขายมาเป็นแบบการขายส่ง (การขายของหน้าร้านขายยากขึ้น) สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการบางคนถึงได้เปรยกับผมว่า “ก็ไม่รู้ว่าย้ายไปที่ใหม่แล้วจะขายได้ดีหรือเปล่า” มันเป็นความกังวลใจที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ ผมก็ได้แต่บอกจากใจจริงว่า ผมว่ามันต้องดีแน่นอน เพราะอย่างไรเสีย มนุษย์เราก็ขาดไม่ได้กับเรื่องดนตรี ยังไงคนก็ต้องหาซื้อเครื่องดนตรีมาไว้ใช้ เพียงแต่ว่าอยู่ในช่วงของการปรับตัวเท่านั้น
ย่านที่ถูกพูดถึงว่าเป็นแหล่งของการซื้อขายเครื่องดนตรีที่มากที่สุดในบ้านเรา จะไม่มีอีกแล้ว แต่ร้านแต่ละร้านต้องไม่ถูกลืมเลือนไป พวกเราทุกคนที่เป็นนักดนตรีหรือไม่ได้เป็นก็ตาม จะต้องช่วยเหลือกัน ตามกันไปซื้อหรืออุดหนุนร้านเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะย้ายไปที่ไหนก็ตาม ถ้าเราช่วยเหลือกัน ร้านที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของตำนานเวิ้งนาครเขษม จะไม่ถูกลืมเลือนหรือจางหายไปอย่างแน่นอน