อยากได้กลองสักชุดจะเลือกอย่างไรดี?
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่ากลองในที่นี้หมายถึงกลองมือ 1 และเป็น Acoustic Drum ส่วนกลองไฟฟ้าเอาไว้มีโอกาสจะมาคุยกัน ดูเหมือนว่าจะเคยแนะนำไปบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้จะขอแนะนำเพิ่มเติมเข้าไปอีกเพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป คุณภาพของกลองขั้นตอนการผลิตล้ำสมัยมากขึ้นตลอดจนความสวยงามบาดใจจนไม่อาจยั้งได้ บางคนกลับบ้านไปทุบกระปุกดูว่าเงินพอหรือเปล่าขาดอีกนิดหน่อยก็ไปอ้อนคุณพ่อคุณแม่มาเพิ่มเติมอีกนิดถึงจะได้กลองชุดสุดโปรดมาครอง ส่วนอีกคนงบน้อยรวบรวมตังค์ทั้งหมดแล้วยังไม่ได้กลองสักใบ คงจะต้องเก็บตังค์สักพักก็ขอเอาใจช่วยนะครับ
ที่นี้เรามาดูปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อกลองกันดีกว่า
- เงินที่อยู่ในกระเป๋าเรามีเท่าไหร่
- ชอบยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ
- เลือกดูความสวยงาม สีที่ถูกใจ ลายที่ชอบ
- ความแข็งแรง
- ใช้ตามศิลปินหรือคนอื่นบอกมา
- เลือกดูคุณภาพของวัสดุ
ข้อแรก เงินที่อยู่ในกระเป๋าเรามีเท่าไหร่ ข้อนี้ให้ความสำคัญอันดับ1 เพราะเป็นเรื่องของงบประมาณ ถ้าเรามีเงินแค่ไหนเราก็ควรจะซื้อตามที่เรามีแค่นั้น เช่นมีเงินอยู่ 15,000 บาท แต่อยากได้กลองชุดราคา 100,000 บาท มันก็ไม่เหมาะสม ถ้าอยากได้จริงๆ ก็ต้องเก็บตังค์อีกเยอะ
ส่วนใหญ่แล้วกลองชุดจะแบ่งเป็น 3 เกรดด้วยกันคือระดับผู้เริ่มฝึกใหม่, ระดับปานกลาง, ระดับมืออาชีพ
ในระดับผู้เริ่มฝึกใหม่ ราคาก็จะอยู่ประมาณ 10,000 ถึง 20,000 บาท หรืออาจจะเขยิบขึ้นมาใกล้ๆ 30,000 บาท ด้วยซ้ำไป ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับตัวแทนของแต่ละที่ จะทำโปรโมชั่นกันขึ้นมาเองเพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจ
ในระดับปานกลางราคาก็จะอยู่ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป จนถึง 50,000 บาทขึ้นไป เรื่องของวัสดุหรือคุณภาพที่ผลิตก็จะดีขึ้นกว่าในระดับแรก
ส่วนในระดับมืออาชีพราคาไม่ต้องพูดถึง 100,000 บาทขึ้นไป จะแพงมากน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับจำนวนใบที่เราซื้อด้วย เพราะเขาจะคิดราคาเป็นใบๆ เช่น มีทอม 3 ใบ, เบสดรัม 2 ใบ, สแนร์ 1 ใบ, ฟลอร์ทอม 2 ใบ ราคาแต่ละชิ้นก็จะไม่เท่ากัน ขนาดต่างกันราคาก็ต่างกัน
สรุปในปัจจัยแรก เรื่องของเงินในกระเป๋าควรซื้อให้เหมาะสมกับเงินที่เรามีอยู่ มีแค่ไหนก็ซื้อแค่นั้นเอาไว้มีโอกาสเก็บเงินได้ค่อยไปซื้อเพิ่ม
ข้อสอง ชอบยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ ถ้าเรามียี่ห้อในดวงใจอยู่แล้วก็ง่ายต่อการตัดสินใจแค่เลือกรุ่นและราคาที่เราต้องการ แต่ถ้าเราไม่รู้จักยี่ห้อไหนเลยพูดง่ายๆ คือไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยก็ลองถามเพื่อน ถามครู หรือจะศึกษาด้วยตนเองจากแหล่งข้อมูลตามอินเตอร์เน็ตหรือหนังสือก็ได้
การที่ได้รู้ว่ายี่ห้อไหนเป็นอย่างไรจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นสำหรับคนที่มียี่ห้อที่ชอบอยู่แล้ว ก็ให้ลองศึกษาเพิ่มเติมว่ารุ่นที่เราซื้อชื่อรุ่นอะไรราคาประมาณเท่าไหร่ ใช้วัสดุหรือไม้ชนิดอะไร ส่วนสถานที่ผลิตไม่ต้องไปใส่ใจมากว่าผลิตมาจากประเทศนั้นประเทศนี้ขอให้เราพอใจกับยี่ห้อนี้ก็พอ
ข้อสาม เลือกดูความสวยงาม สีที่ถูกใจ ลายที่ชอบ ต้องยอมรับว่าถ้าเราจะเลือกกลองสักชุด เรื่องของรูปลักษณ์ก็คือสีหรือรูปทรงตลอดจนลวดลายต่างๆ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ประกอบการตัดสินใจในการซื้อได้เป็นอย่างดี คือดูแล้วสีเป็นที่ถูกใจลวดลายสะใจวัยรุ่นก็ทำให้เราตัดสินใจได้ เรื่องความสวยงามเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้นแต่รสนิยมของการชอบสีแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน อันนี้ใครชอบอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นไม่มีผิด
สิ่งสำคัญควรจะอยู่ที่ร่องรอยบนตัวกลอง พยายามดูอย่าให้มีรอยขูดขีด ยิ่งถ้าเกิดกลองชุดนั้น WRAP มาด้วยลวดลายต่างๆ ยิ่งต้องดูให้ดีว่ามีรอยย่นของกาวที่ติดไว้หรือเปล่า เพราะบางครั้งกลองที่เก็บไว้ในที่อากาศมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อาจจะทำให้มีรอยปูดขึ้นมาก็ได้
ข้อสี่ ความแข็งแรง คงไม่ได้หมายถึงแข็งแรงจนไม่สามารถชำรุดได้เลย แต่ความแข็งแรงในที่นี้อยากจะให้ดูที่ฮาร์ดแวร์หรือพวกขาตั้งต่างๆ ตัวหมุนหรือลูกบิดที่เป็นเกลียวต่างๆ ควรจะแข็งแรงไม่ใช่ว่าหมุนไปหมุนมาเกลียวหวานซะงั้น และตัว Tension Rod (น็อตที่ยึดหนังกลองกับตัวกลอง) กับตัว Lugs (คนไทยเรียกว่าตุ๊กตา) จะต้องมีความคงทนต่อแรงหมุนหรือบิดอย่างมาก ยิ่งเฉพาะกับสแนร์เพราะหลายคนชอบขันตึงมากถ้า Tension Rod กับ Lugs ไม่แข็งแรงพออาจจะทำให้แตกหักได้ แต่จะต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ตรวจเช็กไม่ได้เพราะของใหม่ย่อมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการหาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญถามไถ่จากคนที่ชำนาญหรือคนที่มีความรู้ในเรื่องนี้จะช่วยให้เรารู้ว่า ยี่ห้อไหน รุ่นไหน มันมีปัญหาอะไรอย่างน้อยเราจะได้มีโอกาสเสี่ยงน้อยลง การดูด้วยตาเปล่าก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่อาจไม่แน่นอน
ข้อห้า ใช้ตามศิลปินหรือคนอื่นบอกมา อันนี้ก็มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อ ได้เห็นศิลปินคนโปรดใช้กลองชุดยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง ซ้ำยังได้เคยฟังเสียงจากที่ศิลปินคนนั้นตีจากการแสดงดนตรีตามที่ต่างๆ เลยรู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก บางคนก็ครูหรือเพื่อนแนะนำให้ซื้อยี่ห้อนี้ ก็ยิ่งเป็นการการันตีจากบุคคลที่เราไว้ใจและเชื่อถือได้อีกด้วย
การการันตีจากศิลปินหรือบุคคลที่เราเชื่อถือมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ นักดนตรีคนไหนยิ่งมีชื่อเสียงมาก คนย่อมให้ความสนใจเป็นพิเศษ ให้สังเกตยอดการขายของตัวแทนแต่ละที่ว่าศิลปินคนไหนใช้สินค้านั้นสินค้านั้นย่อมขายดีตาม
ข้อหก เลือกดูคุณภาพของวัสดุหมายถึงตัวกลองใช้วัสดุอะไรทำ เป็นไม้ เป็นโลหะ หรือเป็นอะครีลิค เป็นต้น ถ้าเป็นไม้ใช้ไม้อะไร เป็นไม้ Maple, Mahogany, Birch, Beech, Oak, Bubinga การที่เราได้รู้ชนิดของไม้ ทำให้เรารู้ถึงคุณภาพของเสียงที่จะได้เพราะไม้ชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นตัวอย่างของไม้ที่นิยมนำมาทำกลองชุดกัน บางคนถามว่าจำเป็นไหมที่เราต้องรู้ว่ากลองที่เราซื้อเป็นไม้อะไร ต้องยอมรับว่าหลายคนไม่รู้ตรงนี้แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพียงแต่ถ้าเราได้มีความรู้เพิ่มเติมหาข้อมูลศึกษาด้วยตัวเองก่อนแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เพิ่มพูนความรู้ใหม่เข้าไปอีก แต่สำหรับมือใหม่ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนี้ขออย่างเดียวตีกลองแล้วมีความสุขกับมันก็น่าจะพอใจแล้วครับ
มีอีกเรื่องที่อยากจะแนะนำก็คือควรจะรู้ว่าร้านไหนหรือตัวแทนไหนขายยี่ห้ออะไรจะได้ไปถูกที่ การที่รู้ว่าร้านไหนขายยี่ห้ออะไรจะช่วยให้เราไม่เสียเวลาไปเดินหาให้เมื่อยเปล่า …ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงประสบการณ์และข้อมูลของตัวผู้เขียนที่ใช้ประกอบในการเลือกซื้อ มันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่เป็นเพียงข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังจะเดินเข้าร้านกลองแต่ไม่รู้จะทำยังไง สิ่งสำคัญคือความพอใจ พอใจทั้งตัวเรา พอใจทั้งผู้ขาย พอใจอุปกรณ์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วละครับ