ดัง พันกร บุณยะจินดา
หลายคนที่โตมากับเพลงไทยยุค 90’s แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่มีใครไม่รู้จักศิลปินที่ชื่อ “ดัง” พันกร บุณยะจินดา ศิลปินที่เคยเป็นนักร้องแนวหน้าของค่าย RS ซึ่งครั้งนี้กลับมาพร้อมกับผลงานล่าสุดที่ยังคงคอนเซ็ปต์ “ตรงๆ แรงๆ” ในชีวิตกับเพลงที่มีชื่อว่า “เพลงรัก” ที่ความพิเศษของเพลงนี้คือได้ศิลปินระดับโลกอย่าง “Boyz II Men” มาร่วมงานด้วย ทำให้เพลงนี้ดูโกอินเตอร์ขึ้นไปอีกและกลายเป็นบทเพลง 2 ภาษาที่ประสานกันอย่างลงตัว อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ว่าไม่มีพรหมแดนในเรื่องของบทเพลงและความรัก ที่ผ่านการถ่ายทอดจากปากศิลปินไทยแต่คุณภาพงานระดับโลก!!!
กับซิงเกิ้ลนี้ที่ชื่อว่า “เพลงรัก” เพลงนี้มีที่มาและเนื้อหาเป็นยังไงบ้างครับ
มันอาจจะเป็นเรื่องของ Timing หรือเป็นโชคชะตา มันเป็นการโคจรระหว่างคน 2 คน โดยที่เราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง คือ Boyz II Men เขาใหญ่มาก เราฟังมาตั้งแต่เด็ก
ยังจำได้ว่าเขาเข้ามาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทย แล้ววันนึงก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณขันที เกษมสันต์ ธนเจริญทิพย์ ในใจก็คิดว่าคงจะเป็นเหมือนงานอื่นๆ ที่โทรมาขอเชิญไปดูคอนเสิร์ต เขาก็ถามเราว่ารู้จักวง Boyz II Men หรือเปล่า เราก็บอกว่ารู้จักสิ เขาก็ถามว่าสนใจร่วมงานกับ Boyz II Men มั้ย เราก็อึ้งไปพักนึง แล้วบอกไปว่าเอาสิ แต่ก็ยังมีความสงสัยอยู่ว่ามันจริงหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจว่าโอเค เขาอยู่เมืองไทย พอเขาเล่นเสร็จเขาก็จะอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน คืนนั้นเราก็นัดกัน เจอกันที่โรงแรมดุสิตธานี แล้วก็แลกนามบัตรกัน แล้วก็นั่งคุยกันว่าเราจะทำกันยังไง เพลงมันจะเป็นยังไง คุณสนใจมั้ย เราก็คุยกันตามสเต็ปภาษาดนตรีครับว่าเราจะทำเมโลดี้ไปให้ และเราก็เป็นคนผลิตเพลง ซึ่งตอนนั้นก็เหมือนกับตกลงโอเคกันแล้ว แต่ว่าก็มีปัญหากันนิดหน่อย ตอนแรกก็เหมือนกับว่าโปรเจ็คนี้จะพับไปแล้ว เราเลยส่งเพลงไปให้ศิลปิน 3 ท่าน เป็นเบอร์ใหญ่หมดเลยนครับ ก็ถูกปฏิเสธ บางคนก็บอกว่ามันไม่เหมาะ คือเราก็เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอจังหวะหาคนมา Feat. ดีกว่า แล้วอยู่ดีๆ ทาง Boyz II Men ก็โทรมาบอกว่าให้ทำโปรเจ็คต่อได้เลย สุดท้าย Boyz II Men ก็กลับมาร้อง แล้วเขาบอกว่าเขาชอบมาก ถึงขั้นว่าตอนแรกจะเขียนเนื้อเองด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกันเรื่องสัญญาและเราคิดว่ามันเป็นอุปสรรคและเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการทำงานตรงนี้ เพราะว่ามันละเอียดอ่อนมาก กว่าจะลงตัวกันต้องใช้เวลา พอทุกอย่างเรียบร้อยเราก็เริ่มทำงาน เราก็เริ่มอธิบายเนื้อเพลง เราร้องเวอร์ชั่นภาษาไทยแล้วให้คนเขียนเพลงที่เคยเขียนเพลงให้กับวง Big Bang ไปเขียนเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็เขียนมาได้ดีเลย เขาก็ดูแล้วว่ามันมีความเป็น Boyz II Men ค่อนข้างสูง เราก็เริ่มแบ่งท่อนกัน เขาก็เริ่มจากเวอร์ชั่นภาษาไทยก่อน เพราะเขามองว่าถ้าจะให้คนไทยอิ่มมันต้องมีเนื้อภาษาไทยเกริ่นขึ้นมาก่อนว่าเรื่องราวมันคืออะไร เราพูดถึงอะไร พอหลังจากฮุคแรกแล้ว เหมือนเล่ากันคนละภาษาแต่เล่าเรื่องเดียวกัน พอถึงท่อน Solo ปิดท้ายเราจะได้ร้องปะทะกัน 2 ภาษา มันสนุกและเขาชอบมาก ไม่แก้เลย เขาคิดว่ามันลงตัวเพราะเสียงมันไม่ทับไลน์กัน R & B มันก็จะร้องเป็นลมๆ ของเขาประสานเสียงมันก็คนละเสียงกันอยู่แล้ว เรามาสายร็อค มันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันรวมกันแล้วออกมาดี
ตอนที่ทำต้องคุยผ่านใครมั้ยครับ
ผ่านครับ ผ่านคุณขันที คือคุยตรงก็ได้แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราควรให้เกียรติคุณขันที
มีความกดดันมั้ยครับเมื่อได้ทำงานกับศิลปินระดับโลก
เป็นความภาคภูมิใจมากกว่า ส่วนความกดดันจริงๆ แล้ว เป็นการที่เราได้ออกอัลบั้มหนึ่งที่ใหม่หมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการโกอินเตอร์ การขายต่างประเทศ ถ้าถามว่ากดดันมั้ย คือแค่ช่วงที่เราทำงานด้วยกันมันไม่ได้กดดัน แค่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เพราะเราไม่เคยทำงานกับฝรั่ง พอมาเจอตัวจริงทุกคนดีมาก เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องออกค่าตั๋วให้เขาด้วย เราก็รู้สึกได้ว่าเขาให้ใจเราจริงๆ ถึงแม้เขาจะบอกว่าเขาให้ได้แค่ 2 ชั่วโมง แต่พอมาจริงๆ แล้วเรื่องเวลามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ พอมาเห็นโปรดักชั่นแล้วเขาก็รู้ว่าเราตั้งใจทำงานจริงๆ ตอนคุยกับเขาเหมือนเราอยู่กับพี่ชายถึงแม้เขาจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ บอกได้เลยว่าทำงานง่ายกว่านักร้องเมืองไทยหลายคนอีก
ในพาร์ทของดนตรีเป็นยังไงบ้างครับ
Boyz II Men ค่อนข้างที่จะแฮปปี้กับซาวด์ ฝรั่งเขาจะไม่ใช้กลองตีสด แต่เพลงนี้เราใช้กลองตีสด แล้วก็ลูกเล่นที่ใช้คืออยากให้มีกลิ่นของความเป็นไทย มีความเป็นดนตรีไทยแต่ว่าเราใช้เครื่องดนตรีสากลเล่น เพราะฉะนั้นมันจะทำให้เรารู้สึกว่า เหมือนฝรั่งพยายามจะทำเพลงไทย แต่ว่าได้กลิ่นของความเป็น Oriental แล้วเขาก็ชอบลูกเล่นเวลาเราร้องด้วย
มีทีมทำเพลงเยอะมั้ยครับ
คนทำงานก็จะเป็น “เอฟู” (ณรงค์ศักดิ์ ศรีบรรฎาศักดิ์วัชรากรณ์) เป็นเพื่อสนิทตั้งแต่ออดิชั่นสมัยเพลง “ท้องไม่รับ” เขาก็ต้องการวงแบ็คอัพที่เป็นวัยรุ่น เพราะวงแบ็คอัพ RS รุ่นคุณลุงแล้วครับ เราก็เลยมีการออดิชั่นกัน เลยได้เจอเอ เอเขาก็มากับสายดนตรีก็ทำงานด้วยกันตลอด เขาจะเลือกคนที่เชื่อมั่นในตัวเราว่าเราทำได้ และเรารู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนที่เชื่อเรา เรารู้สึกได้ เราสัมผัสได้ เราก็เลยเลือกเอเป็นคนแรกเลย ทีมงานผู้กำกับก็เลือกที่เขาเชื่อในความเป็นเรา รวมถึงทีมมีเดียของเราด้วย เอเขาก็บอกว่า “ขอบคุณมาก ชีวิตนี้ไม่มีงานประจำ ไม่มีเงินแต่ก็นอนตายตาหลับแล้วเพราะได้มาโปรดิวซ์ Boyz II Men”
พี่เอเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องดนตรีทั้งหมดเลยหรอครับ
ใช่ครับ เขาตั้งใจมาก มันเป็นงานแรกที่เข้าห้องอัด 7 วัน แก้แล้วแก้อีก จนกระทั่งล่าสุดจะขอแก้เวอร์ชั่นไทยอีก คือมาสเตอร์ไปไม่รู้กี่มาสเตอร์แล้ว สรุปแล้วก็ได้ เคน วง ZEAL มาตีกลองให้ ZEAL คือแบ็คอัพเก่าเรา ก็เลยเลือกเคน ส่วนมือกีตาร์เราไม่รู้จัก ฝรั่งเขาก็เลยมองว่าเก๋ดี มันเป็นซาวด์ R & B แต่มีกีตาร์แทรก
ถือว่านักดนตรีที่ร่วมงานกันครั้งนี้เป็นรุ่นใหญ่หมดเลยนะครับ
ก็คิดว่าน่าจะเป็นรุ่นใหญ่นะครับ แล้วก็เป็นเพื่อนกันสมัยเพลง “ท้องไม่รับ” อยู่แล้วครับ เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมาโดยตลอด แล้วซาวด์เอ็นจีเนียร์ของ Boyz II Men ก็ได้ฟัง เขาก็บอกว่าเจ๋ง ตอนแรกเป็นเดโม่ เขาแฮปปี้กับงาน
ในส่วนของ MV เป็นยังไงบ้างครับ
MV ก็ได้พี่พิมพ์กมล ขำสุวรรณ์ มาดูให้ ซึ่งเป็นโปรโมเตอร์ดูแลดังตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่อยู่ RS เราก็นั่งเปิดเพลงเราไปเรื่อยๆ ดูว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง อยากให้เรื่องมันกลับมาเป็นดังในเวอร์ชั่นประมาณเพลง “คนที่ฉันวาดไว้ไม่ใช่เธอ” หรือ “เขียนฟ้าด้วยฝ่ามือ” เรื่องบางๆ เน้นแฟชั่น เน้นอาร์ตไดเร็คชั่น เน้นภาพสวย ซึ่งเราก็ทำเป็น MV ย้อนยุค 1940 ช่วงสงคราม ซึ่งได้พี่ติ๊ก (เจษฎาพร ผลดี) กับ น้องปอย (ตรีชฎา เพชรรัตน์) ผมเลือกน้องปอยเองคนแรกเลย
ทำไมถึงต้องเป็นพี่ติ๊กกับน้องปอยครับ
ด้วยความที่เราจะไปเมืองนอกทั้งฮ่องกงและจีน ซึ่งปอยเขาก็ไปดังอยู่ที่นั่น แล้วเราก็มองว่าข้อความที่เราจะสื่อมันไม่ใช่แค่ Love มันใหญ่มากกว่านั้น เรามองว่าอาจะมีการระเบิดที่ฝรั่งเศส มีการยิงกันในบาร์เกย์ เราก็รู้สึกว่าความรักจริงๆ อย่ามองคนที่ภายนอก เริ่มจาก ชอว์น สต็อคแมน สมาชิกในวง Boyz II Men ก็เป็นผิวสี ภาษาคนละภาษา แต่พูดเรื่องเดียวกันเรื่องความรัก สิ่งที่เราจะพยายามพูดถึงก็คือโลกนี้มันจะดีขึ้นมากเลยถ้าเราพยายามมอบความรักให้กับคนใกล้ตัวเรา เพราะ Love มันเป็นอะไรที่ใหญ่มาก เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ
ที่ผ่านมาทำไมถึงเลือกทำเพลงตรงๆ แรงๆ ครับ
เพราะไม่เคยประสบความสำเร็จเรื่องความรัก พอร้องเพลงในด้านบวกมันก็ไม่ได้ฟิล แต่เพลงนี้ร้องได้ ทำฟิลได้ แล้วเพลงนี้เราเล่าทุกอย่างให้นักแต่งเพลงฟังหมดเลย เดี๋ยวนี้งานมันมาจากหัวหมดแล้วครับ อย่างเช่นเพลง “คนละเบอร์” มันก็เป็นเรื่องราวของเรา เราก็โทรไปเล่าบอกว่า “พี่ พี่เข้าใจมั้ย เด็กมันนั่งเล่นหัวเรา มันคืออะไร พี่เข้าใจใช่มั้ย มวยคนละแมตช์มากๆ กระดูกมันคนละเบอร์” แกก็เลยเอาไปเขียน คือทุกอย่างมันเป็นไดอารี่ชีวิตตัวเอง มันเป็นประสบการณ์ที่เราเคยเจอมา แล้วก็เป็นคนที่กล้าร้องด้วย ไม่รู้สึกว่าอายหรือว่าแรง ระหว่างสายเรียบร้อยกับสายแข็ง คนก็ต้องชอบดังสายแข็งมากกว่า คือตอนนี้เราก็โตแล้ว เป็นศิลปินแบบเตรียมตัวแล้ว มันได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเรา ผมเป็นคนสุดๆ ถ้าจะด่า ก็ด่าให้เต็ม มันมีก่อนหน้านี้คือเพลง “แพ้ตั้งแต่บนเตียง” เหมือนจะกั๊ก แต่ยังคงความสวยไว้นิดหน่อย เลยบอกว่าพี่ไม่ต้องกั๊ก ด่าเลย ซึ่งเขาเขียนดีมากเลยนะ ตอนแรกเขาไลน์มาถามก่อนว่า “ดังกล้าใช้สรรพนามระหว่างฉันกับแกหรือเปล่า” เราก็บอกไปว่า “กูกับมึงยังได้เลยครับ” (หัวเราะ) เราก็ตัดสินใจทำ MV แล้วก็ไม่หวังผลว่ามันจะดังหรือเปล่า
มีความคิดยังไงถึงจะเปิดค่ายเพลงเป็นของตัวเองครับ
ตอนนั้นเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่กำลังจะหมดสัญญากับ RS เราก็อยู่ RS มา 10 ปีแล้ว เราก็รู้สึกว่าต้องเริ่มแล้วหละ พี่สาวก็เลยให้ทำค่ายเพลง คุณแม่เองก็อยากให้มาช่วยที่บ้าน เราก็คิดอยู่นานเหมือนกัน แล้วก็ต้องตัดสินใจออกมา เพราะว่าสุดท้ายก็ต้องมาทำธุรกิจที่บ้าน ซึ่งทางผู้ใหญ่เองเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจก้าวใหญ่ของเราเหมือนกัน เหมือนการที่เราจะย้ายบ้าน แต่มันไม่ใช่ความกลัวที่จะก้าวไปข้างหน้า จริงๆ ก้าวออกมาแล้วเรารู้สึกว่าน่าจะมาทำตั้งนานแล้ว อยากจะบอกว่าอย่าไปกลัวอะไรที่มันยังมาไม่ถึง อนาคตมันอาจจะดีกว่าก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่ามองโลกในแง่ร้ายเสมอ
ค่ายเพลงชื่ออะไรครับ และมีความหมายว่าอย่างไร
ชื่อ Revol Music Creations คำว่า Revol มาจาก Revolution คือการปฏิวัติการทำอะไรใหม่ๆ แล้วก็ตั้ง Music Creations ให้มันต่างจากที่อื่น มีความพิถีพิถันนิดนึงครับ
แล้วตอนนี้มีใครเข้ามาเป็นศิลปินในค่ายแล้วบ้างครับ
ก็มีไม่เยอะครับ มี นวพล กูลกิจวานิช นะครับ แล้วก็ ก้อง (กรุณ ซอโสตถิกุล) มีวง PRINCE แล้วก็ดัง (พันกร บุณยะจินดา) ครับ (ฮ่าๆ)
ในฐานะที่อยู่ในวงการมานาน เลยอยากทราบว่าศิลปินยุคก่อนกับยุคปัจจุบันต่างกันยังไงบ้างครับ
ยุคปัจจุบันคนที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินง่ายมากทำเพลงขึ้น Youtube ก็จบ ส่วนสมัยก่อนการเป็นศิลปินไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอยู่ที่ความสามารถของเราด้วย แล้วก็ต้องมีการเทรนด์ ทุกอย่างมันมีขั้นมีตอนหมดกว่าจะได้มา เมื่อก่อนต้องเทสต์เสื้อผ้าหน้าผม
พี่แหม่ม พัชริดา เป็นคนดูเรื่องนี้ให้หรือเปล่าครับ
พี่แหม่มจะเป็นคนดูเรื่องเทรนด์นิ่ง ก่อนที่จะส่งงานให้โปรดิวเซอร์พี่แหม่มจะต้องเขียนรายงานศักยภาพของศิลปิน เพื่อที่จะได้ทำออกมาเป็นอัลบั้ม แล้วก็เมื่อก่อนมันเป็นยุคของนักร้องจริงๆ นะครับ โดยเฉพาะ RS กับ Grammy ทุกคืนต้องมีรายการเพลง เมื่อก่อนการเป็นนักร้องมันยาก แล้วการทำงานก็ละเอียดอ่อนกว่านี้เยอะ ทุกเพลงจะแยกเป็นทีมดนตรีทีมนึง ยกตัวอย่างเพลง “เพื่อใคร” เพลงนี้แกะไว้แล้ว ทีนี้ต้องการเพลงแบบช้าเศร้า ดนตรีน้อยชิ้น ให้ไปทำมา แล้ววันจันทร์มาส่ง พอถึงเวลาทุกคนทำมาแล้วมาประชุมกัน เราก็จะเข้าไปนั่งอยู่ในซอกเล็กๆ เราก็ใฝ่รู้ตั้งแต่เด็ก มันคือความใฝ่ฝัน พอมาถึงวันจันทร์ทุกคนก็โหวตกันว่าอันไหนดีสุด แล้วก็ต้องมีเทสต์เสื้อผ้าหน้าผมชัดเจน คือตอนนั้นมันไม่เหมือนตอนนี้ แล้วก็ต้องให้เฮีย (เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ) เลือกด้วยว่าอันไหนคือ คอนเซปต์ 1 คอนเซปต์ 2 คอนเซปต์ 3 ก็สนุกดี แล้วสมัยนี้มันไม่มีมีเทป เป็นการดาวน์โหลด เราต้องปรับตัวให้ทัน คือถ้าเราอยู่กับที่แล้วเราไม่เสพอะไรใหม่ๆ หรือเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งที่ทำให้เรายืนอยู่ตรงนี้ได้เป็นเวลา 18 ปี ก็คือการหาวิชั่นใหม่ ถ้าเราทำเหมือนเดิม ย่ำอยู่กับที่ ทำเดิมๆ คนก็จะเบื่อเรา เราก็ต้องหาอะไรใหม่ๆ เสพด้วย คุณพ่อจะสอนเรามาตั้งแต่เด็ก สมมติว่าเราอ่านหนังสือแล้วเราชอบคำนี้จังเลย เราก็จะจำไว้หรือกลับมาที่บ้านแล้วเราก็จด หรือเวลาดูหนังตรงไหนที่เราชอบเราก็จด วันนึงเราก็ไปเปิดดู บางคำเอามาใช้ต่อได้ เป็นสิ่งที่ Inspiration มันเกิดขึ้นทุกที่ได้จริงๆ
ถ้าเฮียฮ้อเป็นคนกำหนดตัวตนของเรา ตอนนั้นมันเป็นสิ่งที่เราชอบมั้ยครับ
คือของดังโชคดี เพราะว่าตอนเทสต์เขาไม่ได้ตัดเสื้อให้ดังใหม่ เขาให้ดังขนเสื้อที่บ้านไป
คือเขาก็ถามเราด้วยใช่มั้ยครับว่าเราชอบแบบไหน
ของดัง ก็คือเป็นดังแท้ๆ มาตั้งแต่อัลบั้มที่ 1 เอาเสื้อผ้าดังที่ใส่ประจำเอาไปเทสต์ถ่ายรูป ผ่านแล้วเขาถึงขอแจ๊คเก็ตเราไปตัด จะเป็นในลักษณะนี้มาโดยตลอด
จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องเป็นยังไงบ้างครับ
เริ่มแรกเลยไปเจอรุ่นพี่ตอนซัมเมอร์ ตอนที่เรียนอยู่อเมริกา แล้วเขารู้ว่าเราชอบร้องเพลง อยากเป็นนักร้อง เขาก็ชวนเราไป RS เราก็บอกว่าไปก็ได้ แต่เราไม่ได้กะว่าจะไปอยู่ RS เพราะรู้สึกว่าตอนนั้นมันไม่ใช่แนวสักเท่าไหร่ พอไปถึงก็แนะนำตัวเองแล้วก็กรอกใบสมัคร เขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะนัดเรามาอัดเสียง เราก็บอกว่าขออัดวันนี้เลยได้ไหม ไม่ต้องเข้าห้องอัดก็ได้ อัดใส่เทปหรือใส่อะไรก็ได้ เพราะว่ามันไกลบ้านมากจริงๆ กลัวมาไม่ถูก แล้วเขาก็ให้ไปอัดในห้องวิทยุ เราก็ร้องเพลง “ไม่อาจเปลี่ยนใจ” ของเจมส์ (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) แล้วก็กลับบ้านไป อีก 2 – 3 วัน เขาก็โทรมาบอกว่าอยากจะนัดมาคุยเรื่องสัญญา หลังจากนั้นเราก็เข้าพบเฮียฮ้อ แล้วก็มาเซ็นต์สัญญากับ เฮียจั๊ว (เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์) วันนั้นดีใจมาก ขับรถกลับบ้าน ในมือก็ถือสัญญาไปด้วย เราได้เป็นนักร้อง RS แล้ว เราก็เอาสัญญาไปให้พ่อดู แต่พอคุณแม่รู้ คุณแม่ก็บอกว่าซัมเมอร์ที่ลงไว้ขอ A กับ B มาให้ได้ทั้งหมด ถ้าได้หมดก็จะให้ทำ แล้วเราก็ตั้งใจเรียนจริงๆ จนได้มา ตอนแรกเฮียฮ้อทำเป็น 3 คน มีดัง (พันกร บุณยะจินดา) มีนิกกี้ พิ้ม (สุระ ธีระกล) มีเต้ Dragon 5 (รวินทร์ เต้พันธ์) หลังจากนั้นเฮียก็เรียกขึ้นไป แล้วก็บอกว่า เฮียคิดว่าน่าจะเดินเดี่ยวกันได้แล้วนะ แล้วก็ลุยต่อเดี่ยวกันเลย
นอกจากทำเพลงแล้ว มีงานอดิเรกอย่างอื่นมั้ยครับ
พักผ่อน สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ เป็นคนสุดโต่ง ถ้าปาร์ตี้ก็จะปาร์ตี้แบบสุดๆ แต่ว่าถ้าธรรมมะก็ธรรมมะเลย นั่งสมาธิ ไปถึงเจดีย์พุทธคยาเลย ไปไหว้พระธาตุเขี้ยวแก้วที่ศรีลังกาด้วย
ตอนสมัยเริ่มเป็นนักร้องใหม่ๆ ชอบศิลปินของใครบ้างครับ
เราฟังเพลงตามที่พี่สาวเปิด เราก็ฟังตามพี่เขา เมื่อก่อนจะมีวง The Beatles , พี่หนุ่ย (อำพล ลำพูน) , วง XYZ , วง Carpenter , Whitney Houston ชุดแรกๆ , Madonna , Michael Joseph Jackson , พี่ปุ๊ (อัญชลี จงคดีกิจ) ฟังแล้วก็ Inspiration
ชอบฟังเพลงแนวอื่นมั้ยครับ นอกจากแนว Rock
จริงๆ ฟังเพลงได้ทุกแนว อยู่ที่ว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นยังไง แต่ Rock คือการระบายอารมณ์และความจริงใจ เวลาเราร้องเหมือนเป็นแก้วที่ถูกเขวี้ยงแล้วแตก มันคือการร้องออกมาจากใจ ฟังเพลง Pop ก็ได้ แต่ว่าเราเป็นคนแรงเยอะ เราก็ว่า Rock น่าจะเหมาะกับตัวเอง เพราะว่าเราสายเลือด Rock มากกว่า แต่บางทีก็อยากจะลองไปเต้นกับเขาบ้าง (ฮ่าๆ)
ตอนนี้มีทัวร์คอนเสิร์ตที่ไหนบ้างครับ
ตอนนี้เตรียมงาน Boyz II Men ก่อน ขึ้นทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดที่พัทยา สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้มากครับ
ตอนนี้กำลังอินกับเพลงอะไรอยู่ครับ
ต้อง “เพลงรัก” สิครับ (ฮ่าๆ) เพราะมันเป็นเพลงตัวเอง (ฮ่าๆ) แล้วมันเป็นความภาคภูมิใจของเราเพราะมี Boyz II Men มาร้องประสาน
หลังจากที่ได้ร่วมงานกับศิลปินระดับโลกแล้ว มีแผนมั้ยครับว่าก้าวต่อไปจะทำอะไร หรือมีใครอีกที่อยากทำงานด้วย
ก็มีแผนต่อไปครับ เพราะครั้งนี้มันเป็นก้าวแรก แล้วก็คงจะมีทั้ง 2 ผลงาน ทั้งเพลงสากลและเพลงไทย ก็ขอฝากหลายๆ คนเป็นกำลังใจด้วยละกันครับ มันก็เป็นสิ่งที่เราอยากให้ทุกคนมองว่าสำหรับคนที่ชอบร้องเพลงอย่าท้อ อย่างเพลงที่ดังฟังประจำตัว คือเพลง “สักวันต้องได้ดี” ในขณะที่ทุกคนคิดที่จะทำอย่างอื่น เราลุกขึ้นมาทำเพลง แล้วอยู่ดีๆ วันนึงเราได้มาร่วมงานกับ Boyz II Men คือเรารู้สึกว่าทุกคนทำได้ แต่เราต้องเข้าใจหลักความเป็นจริงกับงานที่เรารัก รักที่จะทำ อยู่กับมัน หายใจไปกับมัน นอนหลับไปพร้อมๆ กับมัน แล้ววันนึงมันก็จะได้เอง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็ท้อไปก่อน ดังไม่เคยท้อเลยนะ คือยังไงก็ต้องทำ พลังงานในตัวเรามันจะทำให้เราประสบคงวามสำเร็จ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่ประสบความสำเร็จแน่นอน ถ้าดังทำได้คนอื่นก็ทำได้
สมัยตอนเป็นนักร้อง RS มีเรื่องฮาๆ บ้างมั้ยครับ
ก็มีหลายเรื่องนะ ก็มีตอนไปเล่นที่ภาคใต้ ตอนนั้นฝนตกหนักมาก มันเป็นงานตอนกลางปี ฝนตกหนักมากๆ คือต้องขี่คอกันไป แล้ววิ่งฝ่าไปหลังเวที พอออกมาหน้าเวทีมีคน 2 คน แต่เราก็เล่นเต็ม พอสักพักฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ 2 คนนั้นเขาก็ไป (ฮ่าๆ) ก็เลยรู้สึกว่ากลับเถอะ ก็จะเรื่องอะไรแบบนี้ที่มันฮาๆ คือเรื่องฮาๆ มันเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะว่าเรามีความสุขกับมัน แล้วเราก็จะแวะทำบุญ ไหว้พระ ต้องขอบคุณเฮียฮ้อมากๆ ถ้าไม่มีเฮียก็ไม่มีดังในวันนี้ ทำให้เราได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น หลายจังหวัดที่เราไม่คิดว่าเราจะได้ไป ล้วนแต่เป็นประสบการณ์ชีวิต เป็นกำไรชีวิต ซึ่งถ้าเราไม่ได้ทำงานตรงนี้ เราก็คงไม่ได้ไป แล้วก็เจอแฟนเพลงที่น่ารัก ทำให้เราได้เจอคนหลากหลาย ได้เรียนรู้อะไรมากมายกว่าคนอื่นๆ เขา มันก็ทำให้เราเป็นดัง พันกร มาถึงทุกวันนี้
ขอขอบคุณ : คุณเก่ง ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์