Happy Word
วงดนตรีวงใดก็ตามที่บุคลากรของวงสามารถจบงานได้ด้วยตัวเองมักจะได้เปรียบ และการันตีความสำเร็จได้เสมอ วง Mild ก็เป็นหนึ่งในวงเหล่านั้น เพลงที่สนุกสนาน เพลงที่ไพเราะจับใจ พวกเขาสามารถทำได้ทั้งหมดด้วยตัวเองตั้งแต่กระบวนการแรก ยันขั้นตอนสุดท้ายนั่นก็หมายความว่าสมาชิกในวง มีความสามารถในเรื่องการผลิตงานเพลง หนึ่งในสมาชิกวงที่เป็นที่กล่าวถึงในวงการดนตรี และมีผลงานในฐานะคนเบื้องหลัง ที่โดดเด่นที่สุดก็คือเป้ บดินทร์ เจริญราษฎร์ นักร้องของวง ที่หลายๆ คนน่าจะผ่านตากับนามแฝงของเขาอย่าง Mildvocalist ที่ปรากฏชื่อในหลายๆ ศิลปิน The Rube, Lipta, พีท พีระ ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าตัวของเขาเองย่อมมีฝีไม้ลายมือในการเขียนเพลงในระดับที่ไม่ธรรมดา ซึ่งครั้งนี้เราจะมาทำความรู้จักเขา ในมุมมองของคนเขียนเพลง และงานเบื้องหลังกันครับ
สนใจเรื่องการเขียนเพลงแต่แรกเลยหรือเปล่า
เป้ : ผมเป็นคนชอบแต่งกลอน แต่งจีบสาว อะไรไปเรื่อยเปื่อยครับ จนมาถึงจุดนึงก็เล่นดนตรีก็อยากจะเขียนเพลง ก็เริ่มจากการแปลงเพลงก่อน จำได้ว่า เอาเพลง อย่าเสียน้ำตา ของพี่ๆ แบล็คเฮด มาแปลงเนื้อใหม่ จากเพลงเนื้อหาอกหัก เราก็แปลงเป็นเนื้อแบบไว้ใช้จีบสาวอะไรแบบนี้
เพลงแรกที่เขียนล่ะครับ
เป้ : โห นานมากเลยครับ นึกก่อน ถ้าเอาแบบในชีวิตผมเลยไม่ได้เกี่ยวกับผลงานนะคือแบบเพลงจีบสาว ช่วงม.ต้น แต่ถ้าเอาแบบเป็นเรื่องเป็นราวก็จะมีเพลงเซอร์ไพรส์ ที่แต่งเพลงนี้ก็คือเอาไว้ง้อสาวครับ มันมีเหตุการณ์ด้วย คือผมซื้อตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่าผมเนี่ยไปง้อแฟน แล้วคราวนี้เอาไปที่ที่เขาเรียนพิเศษ เราก็เอาไปวางบนหลังคารถเขา ด้วยความที่ตุ๊กตามันตัวใหญ่ ผมก็ต้องยืนเฝ้ากลัวหาย คนก็เยอะ (หัวเราะ) ก็ไปตั้งแต่ 4 โมง ไอ้ตอนแรกก็ไม่อายนะครับ แต่สักพัก ด้วยความที่มันสะดุดตาไง ผู้หญิงก็ไม่กล้าลงมาสิ ก็เขาเลิก 6 โมงต้องรอคนไปหมดกว่าจะลงมา 2 ทุ่ม ที่หนักกว่านั้นคือตุ๊กตามันยัดเข้ารถไม่ได้ แถมง้อไม่สำเร็จอีก โคตรร้าว (หัวเราะ) แต่ก็ได้เป็นเพลงมาล่ะครับ (หัวเราะ) ซึ่งพวก อีกนานไหม Unloveable รักเราไม่เท่ากัน ก็จะเป็นเพลงที่ผมเขียนช่วงแรกๆ
คราวนี้ในฐานะของ นามแฝง Mildvocalist งานเบื้องหลังตรงนี้เริ่มได้อย่างไร
เป้ : จริงๆ ผมทำตรงนี้มานานเหมือนกันครับงานแรกๆ ก็อย่างของ ตุ้ย เอ เอฟ ชื่อเพลง I Miss U แต่ที่แบบเป็นเพลงที่มีชื่อหน่อยก็จะเป็นความรักดีๆ อยู่ที่ไหน ของพี่พีท พีระ คือผมทำงานกับพี่จิม ซึ่งตอนนั้นแกอยู่ที่ Mono ก็มาบอกผมว่าจะทำงานของพี่พีท แต่ขาดคนเขียนเนื้อร้อง ผมก็เลยเอาเพลงที่มีไปเสนอ ซึ่งพี่จิมแกก็ชอบเลย เอาไปให้พี่พีทร้อง ซึ่งเนื้อก็แก้นิดเดียว ก็ถือว่าเป็นงานสร้างชื่อแรกๆ ของผม
เป็นครั้งแรกที่ได้ทำเพลงที่มีลักษณะการบรีฟงานหรือเปล่า
เป้ : ผมโชคดีถ้ามีคนจะให้ผมเขียนเพลงเขาจะบอกว่าเอาแบบที่เราต้องการได้เลย อยากได้ภาษาแบบเรา เราแค่ถามเขาว่าจะเอาเพลงบวกหรือลบ ก็จะเจอพวกเพลงอกหัก กับเพลงเร็ว อะไรประมาณนี้ครับ นอกจากว่าเราแต่งแล้วมันไกลตัวศิลปินมากไปก็ต้องมาแก้ ซึ่งตรงนั้นถึงจะเริ่มมีการบรีฟงาน การแก้งานเกิดขึ้น เอาจริงๆ ผมจะเป็นคนที่ซีเรียสนะถ้าแบบเราเขียนไปแล้วมันไม่ผ่าน ต้องเอามาแก้ อย่างของวง Mild ผมจะค่อนข้างมั่นใจในสิ่งที่เขียน แต่ถ้าวงไม่ชอบ ผมก็จะแก้จนกว่าวงจะชอบ กับงานคนอื่นก็เช่นกัน เพราะตรงนี้มันเป็นการทำงานจริงจัง ไม่ใช่แต่งเพลงเป็นของขวัญให้ใคร ซึ่งจุดนี้ผมก็มองว่าเป็นการพัฒนาตนเองด้วย เพราะถ้าคนเราทำอะไรถูกหมด มันก็คงไม่มีการพัฒนา
ใน Spicy Disc เป้ก็ทำอยู่หลายงาน และแต่ละวงในค่ายก็มีสไตล์ที่ต่างกันมาก มีวิธีการจัดการตรงนี้ยังไง
เป้ : ผมจะต้องเรียกวงมาคุย ให้รู้ถึงคาแร็กเตอร์ของวงว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร คิดยังไง เพราะการใช้คนแต่งเพลงคนเดียวกันมันมีสิทธิที่จะซ้ำกันได้แน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าผมจะทำงาน ผมก็ต้องรู้วิธีคิดของเขา เหมือนถ้าเราจะรู้จักเพื่อนสักคน อย่างน้อยก็ควรจะรู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ยกตัวอย่าง The Rube ซึ่งเขาจะมีความแบบเป็นบ้านๆ หน่อย เราก็รู้แล้วว่าเราควรจะเล่าเรื่องยังไง หรือ Helmet Head ที่เซอร์ๆ เราก็รู้แล้วว่าเราต้องทำแบบดิบๆ นะ แน่นอนว่าบางครั้งการทำงานที่สไตล์ต่างกันอาจจะมีหลงๆ บ้าง แต่ผมจะยึดกฎไว้ 3 ข้อ คือตัววงเป็นตัววงอยู่เสมอ ตัวเราเป็นตัวเราอยู่เสมอ และทำอย่างไรก็ได้ให้คนฟังมีความสุข เราต้องบาลานซ์ 3 เรื่องนี้ให้ดี
คราวนี้มีแนวคิดเมโลดี้ให้ลงกับคำร้องยังไงครับ
เป้ : จริงๆ เมโลดี้มันเหมือนจริตจกร้านของแต่ละคน คำพูดคำจาก็เหมือนเสื้อผ้าที่เราใส่ คือผมจะพยายามไม่ฝืนอะไรที่มันไม่ใช่ ถ้าสมมติผมเป็นคนแรกที่ได้ยินเพลงก่อนศิลปิน ยังฟังแล้วรู้สึกอึดอัด ผมว่างานนั้นอาจจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ มันควรจะต้องรู้สึกดีตั้งแต่เริ่มเขียนเริ่มสร้างแล้ว คนเล่าเรื่องก็จะเล่าได้อย่างมีความสุข คนฟังก็จะฟังได้อย่างมีความสุข
อะไรที่เป็นลายเซ็นต์ของ Mildvocalist
เป้ : น่าจะเป็นเรื่องความประชดประชันของเนื้อหา ผมจะชอบอะไรแนวๆ นี้ อย่างเพลง I’m Sorry สีดา จะมีคำแบบ “เสียใจที่ทำผิดทุกที.. แต่จะให้ดีกว่านี้ก็คงไม่ไหว” หรืออย่างซาโยนาระ “ถ้ารักแล้วมันต้องฝืน ก็คงไม่ขืน ซาโยนาระ แจแปนนิส กู๊ดบาย” พวกภาษาพวกนี้น่าจะเป็นจุดเด่นของผม ตามมาก็พวกไอ้เมโลดี้ พยางค์เยอะๆ นี่แหละ บางครั้งก็เผลอนะแบบ เขียนเพลงให้คนอื่น แต่แบบ เฮ้ยใส่ไปเยอะขนาดนี้ นี่กูเขียนเพลงให้ Mild หรือเปล่า (หัวเราะ) ซึ่งพอเป็นแบบนี้ผมก็จะทิ้ง ทิ้งเพลงของคนอื่น แล้วเก็บไว้ใช้วงตัวเอง (หัวเราะ) มีเป็นประจำ ผมแต่งเพลงไม่ค่อยทิ้งหรอก แต่จะดูความเหมาะสมว่าควรเอามาใช้ตอนไหนระยะเวลาในการทำเพลง 1 เพลง
เป้ : ไม่ตายตัวครับ อย่าง รักเราไม่เท่ากัน ผมทำตั้ง 2 ปี มันก็ยังไม่ลงตัว แต่อย่าเพลงขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป 10 นาทีก็เสร็จ ซาโยนาระ 15 นาทีจบ อยู่ที่จังหวะของมันครับ คือถ้ามันเริ่มฝืน ผมก็จะรอแล้ว ไม่ดันทุรังต่อ สิ่งแวดล้อม มีผลต่อการทำงานกับผมมาก ถ้ามันตันๆ ผมจะหนีหายไปคนเดียวเลย บางครั้งกลับบ้านไป อยู่แต่ในห้องเลยก็มี แล้วด้วยวิธีนี้ผมก็เคยได้เพลงอย่าง “จัดไปอย่าให้เสีย”, “เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า” มาเหมือนกัน ผมมองว่าบางครั้งมันเหมือนการเปลี่ยนที่ทำงานมากกว่า
พอมาถึงจุดนี้ เริ่มเขียนเพลงเป็น จัดการกับเมโลดี้ต่างๆ ได้ มุมมองต่อเพลงอื่นๆ อย่างเด็กๆ อาจจะมองว่าบางเพลงไม่มีอะไร แต่ตอนนี้รู้สึกทึ่งมีบ้างไหมครับ
เป้ : ผมเป็นคนที่รู้สึกเซอร์ไพรส์กับเพลงง่ายมากนะครับ ถ้าผมชอบเพลงไหนผมก็จะอยู่กับมันเป็นเดือนๆ เลย คือพอเรามาถึงจุดนี้ เราสามารถฟังแล้วรู้ได้เลยว่าเพลงนี้ถูกสร้างมาจากอะไร มีวิธีคิดแบบไหน มันทำให้เราฟังงานละเอียดมากขึ้น วิธีคิดเราก็จะเปลี่ยนไป อย่างเพลงของพี่ๆ ซิลลี่ ฟูลส์ ตอนเด็กๆ เราจะคิดแค่ว่า เฮ้ย! เพลงมันเล่นยากร้องยาก แต่พอมาฟังตอนนี้ที่เราเข้าใจการทำงาน ผมรู้สึกทึ่งกับซาวด์ การมิกซ์ดาวน์ต่างๆ คำที่ใช้ในเพลง ซึ่งเมื่อก่อนเทคโนโลยีต่างๆ มันไม่ได้ขนาดทุกวันนี้ แต่พวกพี่ๆ ทำได้ขนาดนี้ หรืออย่างเพลงของวง Zeal, Blackhead หรืออย่างพี่ป้อม พี่โต๊ะ คำที่พวกพี่ๆ เขาใช้คือเป็นคำที่มันอยู่เหนือกาลเวลาไปแล้ว ไม่ว่าจะพูดในตอนไหนก็ยังฟังได้อยู่เสมอ ทุกคนมีคาแร็กเตอร์หมด แล้วทุกคนมี Detail ที่ต่างกันหมด ซึ่งยอดเยี่ยมมากๆ
การเป็นแต่งเพลงต้องมีฐานข้อมูลเรื่อง “คำ” ที่ใช้ อย่างของเป้ มีฐานจากไหนบ้างครับ
เป้ : ผมเป็นคนที่ขี้เกียจอ่านหนังสือและเขียนหนังสือมากๆ ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเรียนมา และเป็นอยู่นะ เพราะถ้าคุณอยากเป็นคนเขียนเก่ง คุณก็ต้องอ่านเก่ง มันเป็นตลกร้าย ผมต้องมานั่งหาคำ ต้องมานั่งเขียนเพลง ซึ่งผมมีวิธีนึงคือดูหนังที่เป็นซับไตเติ้ล แล้วดูคำที่แปล แล้วมานั่งแย้งกับเขาว่าเป็นกู กูจะไม่พูดคำนี้เด็ดขาด (หัวเราะ) ซึ่งเป็นวิธีที่ดูดื้อ แปลกๆ แต่ก็ได้ผลนะ (หัวเราะ) บางครั้งผมก็ได้คำมาจากตรงนี้ อย่างคำแบบ “โชคชะตามันช่างเล่นตลกนัก” ถามจริงๆ ว่าในชีวิตจริงใครมันจะพูดอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) จากวิธีนี้ทำให้เราสามารถได้คำที่เป็นคำพูดมากกว่าภาษาหนังสือ
ซึ่งนั่นก็รวมถึงเพลง Hip Hop ด้วยใช้มั้บครับ ที่เป้ได้อิทธิพลการใช้คำหรือเรื่องราวต่างๆ
เป้ : ใช่ครับ แต่เอาจริงๆ นะ พวกเพลงสากลที่เราฟังบางครั้งเนื้อหามันก็ไม่ได้ลึกซึ้ง ไปกว่าเพลงไทยเราหรอก ง่ายๆ เลย อย่างเพลง R&B ฝรั่งมันก็จะวนๆ แต่เรื่องไปซัดกันอย่างเดียว (หัวเราะ) แต่มันมีเรื่องกำแพงภาษาอยู่ครับ อย่างฝรั่งมันบิดคำได้ บิดเมโลดี้ได้ แต่ของเราจะใช้คำว่าอะไรล่ะ (หัวเราะ) ลองให้ศิลปินไทยเขียนเพลงแบบไปซัดกันเถอะสิ พัง (หัวเราะ) แล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาคำอะไรที่มันเพราะกว่านี้ด้วย นั่นก็เป็นปัญหานึงที่ทำให้เราอาจจะมองว่าเพลงไทยดูความหมายลึกซึ้งสู้เพลงสากลไม่ได้ แต่หลายๆ เพลงก็พูดเรื่องเดียวกันนั่นแหละ
เราเห็นเป้ แต่งเพลงรักเยอะ แต่จะมีแบบไปทางเรื่องชีวิต การเมืองอะไรแบบนี้ไหมครับ
เป้ : ผมเคยทำแล้วครับ แต่ไม่มีคนฟัง ชื่อเพลงอะไรสักอย่าง แต่อย่างว่าครับตอนผมว่า ณ ตอนนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังเด็กเกินไป เราถูกมองว่าเป็นคนทำเพลงป็อปแล้วอยู่ๆ จะไปเขียนอะไรแบบการเมืองเต็มตัวเลย ก็ดูว่าจะเร็วเกินไปหน่อย แต่ในอนาคตผมก็ว่าจะเขียนแนวอื่นๆ บ้าง คนเราพอมีอายุขึ้นจะพูดถึงความรักได้อีกนานสักแค่ไหนจริงมั้ยครับ ผมอาจจะเขียนเพลงแบบให้กำลังใจ เรื่องมิตรภาพบ้างก็ได้
การเป็นนักร้องทำให้ได้เปรียบเวลาแต่งเพลงมั้ยครับ
เป้ : ใช่ครับ ทั้งเรื่องคีย์และคำ เราจะสามารถหาได้แบบไม่ขัดเขิน ที่สำคัญจะรู้ว่าเวลาเราเอาไปเพอร์ฟอร์มบนเวทีเราจะรู้ว่าจะต้องใช้คำไหนอารมณ์แบบไหน ท่อนขายตอนไหน ยิ่งเขียนเองทำให้เราเห็นภาพได้มากขึ้น
ในการแต่งเมโลดี้ มีใช้เครื่องดนตรีอะไรช่วยไหมครับ
เป้ : เวลาเขียนเนื้อผมมักจะได้เมโลดี้มาเลย แล้วก็มาเทียบคีย์กับกีตาร์เอา แต่บางครั้งก็ต้องใช้กีตาร์ขึ้นมาก่อนบ้างไม่งั้นมันจะออกมาซ้ำๆ หรือบางครั้งก็ได้จากเครื่องดนตรีแปลกๆ มีอยู่ครั้งนึงผมได้กรู๊ฟร้องจาก Mute ของ Trumpet มาจากหนังดนตรีสักเรื่อง ซึ่งเร็วๆ นี้มีแน่นอน
การแต่งเพลงแบบแมสกับอินดี้ มีความยากง่ายต่างกันยังไงในความเห็นของเป้
เป้ : จริงๆ แล้วเพลงที่ผมแต่งก็เป็นแมสนะ เพราะก็อยากแต่งให้คนฟังทุกคนมีความสุข งานผมก็เป็นป็อปนะ มันอยู่ที่คนที่เล่าเรื่องด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเพลงแมสๆ เลยแบบขอใจแลกเบอร์โทร เพลงเนื้อหาแบบนั้น Mild ก็มีนะครับ แต่พอเราเป็นคนเล่าเรื่องมันก็จะเป็นอีกแบบ บางทีเราใส่ท่อนแร๊พลงไป มันก็กลายเป็นอีกแบบไปเลย ทั้งๆ ที่ก็เล่าเรื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน จะเป็นวง Mild หรือแค่คนแต่งเพลงแมสไม่แมส มันอยู่ที่คนฟังตัดสินมากกว่า เราทำยังไงให้เราเล่าออกมาแล้ว เรามีความสุข คนฟังมีความสุขด้วยผมว่าดีที่สุดมีจุดไหนที่อยากพัฒนาอีกไหมครับ
เป้ : เยอะไปหมดเลยครับ ผมอยากจะเป็นนักวางแผนที่ดีกว่านี้ เพราะพอเป็นโปรดิวเซอร์มันต้องมีการวางแผนในการทำงบ วางแผนอัดเสียง ผมอยากเป็นนักวางแผนที่เก่งกว่านี้ อยากจะมี Vision ที่มากกว่านี้ อยากจะมีคำพูดใหม่ๆ ให้มากกว่านี้ ผมอยากเขียนอะไรใหม่ๆ ที่นอกจากความรักบ้าง แล้วประสบความสำเร็จ แล้วก็อยากทำอัลบั้มอินเตอร์ โอ๊ยอีกเยอะ แต่ก่อนอื่นผมต้องทำเพลงให้ทันคอนเสิร์ตก่อน ดังนั้น ผมขอตัวไปเขียนเพลงครับพี่ (หัวเราะ)
ถ้ามีคนอยากเขียนเพลงบ้างมีคำแนะนำมั้ยครับ
เป้ : มนุษย์เราสิ่งที่จะสื่อสารได้คือฟัง พูด อ่าน เขียน Input เรามีเยอะแค่ไหน เราก็มี Output มากเท่านั้น ก่อนที่จะเป็นผู้สื่อสาร ก็ต้องเป็นผู้รับสารที่ดีก่อน หลักการง่ายๆ เลย ไม่มีใครเกิดมาเป็นผู้นำได้เลย ยังไงก็ต้องเริ่มจากศูนย์ก่อน Kanye West เคยบอกว่าคุณทำอะไรก็ได้ถ้ามันเกินหมื่นชั่วโมง คุณจะกลายเป็นอัจฉริยะ ดังนั้นถ้าอยากเขียนเพลงเก่งก็ต้องเขียนบ่อยๆ แล้วก็ต้องฟังบ่อยๆ ฟังคอมเม้นต์จากคนอื่นๆ เพื่อมาพัฒนาตนเอง แม้แต่พวกเกรียน เราก็ยังเอามาฝึกอารมณ์ได้ (หัวเราะ)
ฝากข้อคิดถึงนักดนตรีหน่อยครับ
เป้ : ผมหวังว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับดนตรีที่คุณทำอยู่ ผมหวังว่ามันจะทำให้คุณมีความสุขได้อยู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่ามันฝืน จงเลิกมันซะ งานศิลปะที่ดีจะต้องเริ่มจากความสุขเสมอ อย่าทุกข์แล้วทำงานเพราะนั่นไม่ใช่งานศิลปะครับ
ขอขอบคุณ : เพิร์ล Spicy Disc ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ