Positive Song
สไตล์และตัวตนเป็นสิ่งสำคัญอย่างนึงไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม โดยเฉพาะงานในวงการดนตรี จะร้ายจะดีอย่างไรถ้าหากมีเอกลักษณ์ในผลงาน มันก็จะยังสามารถยืนหยัดในวงการได้ เฉกเช่นเดียวกับศิลปิน นักแต่งเพลงคนนี้ เอกลักษณ์ของเขาคือการร้องเพลง แต่งเพลงรักในแบบที่ให้ความอบอุ่นในหัวใจแก่ผู้ฟัง มีความน่ารักในดนตรี แม้เรื่องราวนั้นอาจจะเป็นเรื่องเศร้า อาจจะเป็นมุมที่ดราม่า แต่เมื่อผ่านน้ำเสียงและการเขียน เรียบเรียงดนตรีผ่านงานของเขาแล้ว คุณจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในผลงานของเค้า เว่อร์ไปหรือเปล่า? ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณสงสัย แต่ถ้าผมบอกชื่อศิลปินท่านนี้ไปทุกท่านที่ติดตามวงการดนตรีจริงๆ ก็คงจะร้อง เออ ใช่ๆ ได้ไม่ยาก “บอย ตรัย ภูมิรัตน” คือชื่อของศิลปินท่านนี้ครับ ในวันนี้ตัวพี่บอย มีผลงานใหม่ และในเมื่อเราได้มีโอกาสสัมภาษณ์แกแล้ว ก็เลยถือโอกาสลองถามมุมมองในการเขียนเพลง เผื่อว่าใครสักคนที่ได้อ่าน จะได้ใช้เป็นแรงบันดาลใจ ในการสร้างผลงานต่อไปครับ
ก่อนอื่นพี่บอยมีผลงานใหม่ พูดถึงเพลงใหม่หน่อยครับที่มาที่ไปของเพลงนี้
บอย ตรัย : เพลงใหม่ของผมเป็นซิงเกิ้ลที่ 3 จากอัลบั้มที่จะปล่อยชื่อว่า “ขุนเขาแห่งหมี” ซึ่งซิงเกิ้ลแรกออกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว นานๆ จะปล่อยที (หัวเราะ) จากซิงเกิ้ลแรก “ฮานาบิ” แล้วก็ซิงเกิ้ลที่สอง “เรื่องน่าเบื่อที่สวยงาม” ซิงเกิ้ลที่สาม “ดวงอาทิตย์” ก็เป็นเพลงที่มีจังหวะแบบยิ้มๆ หน่อย ทั้ง 3 เพลงที่ปล่อยมาจะมีแนวทางดนตรีที่ไม่เหมือนกัน แต่เนื้อหาจะเกี่ยวเนื่องกันนิดหน่อย ซึ่งพอเห็นภาพรวมในอัลบั้มก็จะชัดเจนขึ้นว่าเกี่ยวเนื่องกันยังไง ซึ่งอัลบั้มทางค่ายก็บอกว่าให้ปล่อยเดือนสิงหาคม ก็ไม่รู้จะทันหรือเปล่า (หัวเราะ) เพลงดวงอาทิตย์ นี่ผมก็ชวนพี่ก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) มาช่วยทำทำนองให้ แล้วมาเรียบเรียงดนตรีกัน เพลงนี้เราตั้งไว้ว่าจะดึงบรรยากาศเก่า เหมือนตอนที่ทำ เบเกอรี่มิวสิค เหมือนตอนทำเพลง “เผลอ” เรารู้สึกว่าอยากย้อนไปสไตล์สยามสแควร์ 90’s เป็นย้อนยุคแบบนั้น ยิ้มๆ โยกๆ
เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรครับ
บอย ตรัย : ก็เกี่ยวกับเรื่องราวของคนที่มีความรัก แล้วก็อยากพัฒนาความรักไปอีกขั้นนึง คือไม่ได้มีแค่คนที่ชอบ แต่อยากให้คนที่ชอบเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน ผมก็เปรียบเทียบเป็นดวงอาทิตย์ อยากให้เธอมาเป็นพระอาทิตย์ส่วนตัวของเรา ตื่นเช้ามาเราได้เจอเป็นสิ่งแรกในชีวิต อะไรแบบนี้ครับ อบอุ่น จนร้อนเลย (หัวเราะ) ผมคิดว่าพระอาทิตย์กับความรักเหมือนกันอยู่อย่างคือเป็นสิ่งที่ให้พลังงานแก่มนุษย์ ให้ความอบอุ่น ให้แสงสว่าง ส่องแสงตอนใจมืดมน ก็เลยเอามาเปรียบเทียบกัน
MV ดูน่ารักมาก
บอย ตรัย : เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนนึง ที่เหตุเกิดจากผู้หญิงคนนี้อกหัก ในคืนนึง แล้วทำไมไม่รู้ว่าเจ้าหมีตัวนี้ มาช่วยปลอบเธอในวันที่เธอกำลังเศร้า ตอนจบก็จะรู้ว่าหมีตัวนี้ก็คือหมีที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ พอโตมาก็กลายเป็นหมีที่หน้าตาน่ากลัว กล้ามใหญ่ตัวนี้ (หัวเราะ) ซึ่งก็ชวนน้องจูน จูน มาเล่น แล้วก็เค้าแสดงเก่งมาก ผมชอบตอนจบมาก ต้องไปดูกันนะครับ (ยิ้ม)
ความคาดหวังในงานนี้
บอย ตรัย : ก็เป็นการบันทึกความคิดตัวเอง คือผมไม่ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวมาสิบปีแล้ว ก็คิดว่าจะต้องมีการจดบันทึก ความคิดเราตอนนี้เป็นอัลบั้ม เราอยากจะดูความคิดเราแก่ขึ้นมั้ยหรือเปลี่ยนไปแค่ไหน
เรารู้จักพี่บอยมานานในแง่ของทั้งศิลปิน และแน่นอนคนเขียนเพลง ในฐานะคนเขียนเพลงความรู้สึกวันแรกกับวันนี้ มีอะไรที่ต่างกันบ้างครับ
บอย ตรัย : แตกต่างกันเยอะนะครับ จริงๆ เราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันแตกต่าง ไปขนาดไหน แต่เวลาเราย้อนฟังงานเก่าๆ ที่เราทำไว้ เราจะรู้สึกว่าตอนเด็กๆ มันจะมีความไม่รู้เยอะ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำไปด้วยความลองผิดลองถูก แต่ตอนนี้พอรู้เยอะ ก็จะไม่ลองผิดลองถูก แต่ทำอะไรก็จะยับยั้งชั่งใจว่าจะทำอะไร คิดไม่เหมือนตอนเด็กๆ มันเป็นความท้าทาย บางอย่างที่เป็นโจทย์ใหม่ๆ แต่ก็จะไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง ซึ่งบอกว่าอันไหนดีกว่ากันก็คนละแบบ แต่ถ้าถามว่าเราสูญเสียอะไรไปก็น่าจะเป็นจุดนี้
ในดนตรีพี่บอยว่าคิดว่า ถ้าเทียบจาก 100 เปอร์เซนต์ เนื้อเพลงสำคัญกี่เปอร์เซ็นต์
บอย ตรัย : โห ถ้าถามผมนะ ผมว่า ถ้ารวมทำนองด้วยผมว่ามันสำคัญเท่าๆ กันนะ มันควรจะเป็นการแต่งงาน ให้กลายเป็นสิ่งเดียวกันทั้งเนื้อและทำนองน่ะ เพลงมันไม่ควรจะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า เพราะเมื่อถึงคนฟัง มันก็ควรจะเป็นสิ่งเดียวกัน
ถ้านับจากช่วงแรกๆ ที่แต่งเพลง ช่วงไหนที่พี่บอยรู้สึกว่าเจอวิธีการจัดการกับงานง่ายขึ้น แบบหาคำง่ายขึ้น มีหลักในการคิดงาน
บอย ตรัย : จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังลองผิดลองถูกอยู่นะ เวลากระดาษเปล่าอยู่ข้างหน้าก็ยังหวั่นเกรงมันอยู่ แต่สิ่งที่มันมีเพิ่มขึ้นก็คือทักษะ พอยิ่งทำมันบ่อยๆ ซึ่งผมพยายามที่จะทิ้งมันนะ หรือว่าฝืนเพื่อที่จะไปรู้ทักษะตรงนี้ เพราะมันจะทำให้ทำงานง่ายไป พอมันง่ายไปก็จะไม่มีจิตใจ แต่บางงานที่ต้องการความเร็วก็ต้องใช้ แต่ถ้าเราจะทำงานให้รู้สึกสัมผัสมันได้ บางทีก็ต้องทิ้งเรื่องพวกนี้ไป เอาจริงๆ แต่งเพลงมันไม่ได้ยากนะ ถ้าใครจับทางได้หรือแต่งเยอะๆ ก็จะรู้วิธี แต่เราก็ทำเพลงฮิตหรือครองใจคนไม่ได้ทุกครั้งเพราะมันไม่ได้ใส่จิตใจลงไป
สมมติมีโจทย์ให้พี่บอยง่ายๆ ว่าแต่งเพลงรัก พี่บอยจะเริ่มต้นยังไงครับ
บอย ตรัย : รักใคร เรารู้จักเค้าแค่ไหน มันก็ต้องเป็นเพลงของเค้าคนเดียว ถ้าเพลงรักนะ ไม่ใช่เพลงรักสำหรับทุกคน ผมจะเชื่อเรื่องว่าเวลาแต่งเพลงเราจะต้องนึกภาพถึงคนสักคนไม่ใช่ว่าสำหรับทุกคน และเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกว้าง เป็นเรื่องเล็กๆ ถ้ามันจริง คนก็จะเชื่อง่ายกว่า เห็นภาพกว่าการที่เราสมมติมันขึ้นมา
เพลงที่แต่งเนื้อออกมาได้ดี มีมาตรฐานการวัดยังไง ในมุมมองพี่บอย
บอย ตรัย : ก็สำหรับผมนะ ถ้าเป็นรางวัล ตรัย สุพรรณหงส์ (หัวเราะ) ผมจะชอบเพลงที่ฟังจบแล้วเหลืออยู่กับเรา ฟังจบแล้วมันสะท้อนหาตัวเอง ว่ามันสะท้อนถึงเรื่องของตัวเองสักเรื่องนึง ที่มันคล้ายกับเรื่องนี้ ถ้าเพลงมันไม่ใช่เรื่องจริง มันก็ดีในแง่นึง แต่ว่าพอฟังแล้วมันก็จะผ่านไป คือถ้าจะเอาหลักเกณฑ์จริงๆ มันก็ต้องวัดกันหลายแบบเช่น เพลงอนุรักษ์ภาษา เพลงฮิต เพลงฟังแล้วเหงา เพราะสไตล์ดนตรีต่างกัน ก็วัดไม่ได้แล้ว ถ้าจะมีก็คงต้องมีหลายๆ รางวัลในเวทีเดียวกัน (ยิ้ม)
ในการเขียนเนื้อเพลง สิ่งสำคัญที่สุดคืออะไรครับ
บอย ตรัย : ก็ถ้าคุณจะต้องแต่งเพลงที่จะต้องเอาไปร้องในวันสงกรานต์ เรื่องท่อนฮุคที่มันสะใจ เข้าปากก็สำคัญ จำได้ ไม่ต้องมีเรื่องราวอะไรมาก โจทย์มันก็เป็นแบบนั้น แต่ถ้าเป็นเพลงแบบต้องปูเล่าเรื่องออกมา ต้องใช้คำสวยงาม มันก็ไม่มีทางฮิตในสงกรานต์แน่นอน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของเพลง
พี่บอยมีวิธีในการหาคำหรือเนื้อร้องต่างๆ ยังไง อ่านหนังสือหรือภาพยนตร์อะไรหรือเปล่า
บอย ตรัย : เอาจริงๆ นะ ผมไม่เคยสะสมพวกคำหรืออะไรแบบนั้นเลย ไม่ใช่คนอ่านหนังสือเยอะด้วย แล้วเวลาฟังเพลงผมจะไม่คิดแบบถอดรหัสเพลงว่าถ้าเพลงมันจะฮิตต้องมีอะไรยังไงบ้าง เพราะว่าพอไปทำแบบนั้น มันก็จะลืมฟังสิ่งที่ศิลปินอยากจะบอกจริงๆ มันจะกลายเป็นเราใช้ทฤษฎี ผทพยายามฟังให้มันรื่นรมย์ คือผมไม่ได้เริ่มจากการเรียนแต่งเพลง เราก็ไม่รู้ว่าโครงสร้างมันควรจะต้องเป็นแบบไหน เพราะฉะนั้นเรื่องราวของเพลงที่แต่ง ก็จะเป็นบาดแผลในชีวิตตอนนี้แหละ (หัวเราะ) หรืออาจจะเป็นเรื่องคนอื่นที่เรารู้สึกด้วยว่าถ้าสมมติเป็นตัวเราแทนเข้าไปล่ะ จะเป็นยังไง อะไรแบบนี้
ในวงการแบบนักเขียนเพลง จะมีแบบเทรนด์ในการเขียนเพลงบ้าง
บอย ตรัย : อาจจะมีนะ แต่ผมก็ไม่เคยคุยกับคนอื่นเรื่องนี้นะ แต่ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่าบางเพลงแต่งมา รู้สึกเชยมันก็มี แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าทันสมัยมันจะเป็นยังไง ซึ่งผมก็ตามงานใหม่เรื่อยๆ แหละ
เพลงในปัจจุบัน พี่บอยว่าความแตกต่างในการแต่งในเนื้อเพลง ต่างจากสมัยก่อนอย่างไร
บอย ตรัย : ไม่เคยวิเคราะห์อ่ะดิ (หัวเราะ) แต่โอเค เรื่องความสละสลวยของคำ อย่างเพลงสมัยก่อนเขาจะไม่อ่อนข้อให้กับการไม่มีสัมผัส แต่สมัยนี้อาจจะเป็นเรื่องราวมาก่อน คำคล้องจองก็อาจจะนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ แต่เนื้อเรื่องต้องครบถ้วนก่อน แต่มันก็อาจจะเป็นเทรนด์ก็ได้นะ คือก็ต้องหาสิ่งใหม่ๆ ให้ดูน่าตื่นเต้น มันก็ต้องมีการพัฒนาวิธีการของมัน
แล้วส่วนตัวพี่บอย เพลงต้องสัมผัสแบบคำกลอน กับเล่าเรื่องราวพี่บอย ชอบแบบไหนมากกว่ากัน
บอย ตรัย : ผมชอบแบบที่มีสัมผัสนะ แต่เพลงผมเองก็ไม่ได้มีคำหรูหรามากมาย คือเพลงมันก็ควรมีสัมผัสนะ ก็มันเป็นเพลงไม่ใช่การพูดนี่ ไม่งั้นก็พูดเอาดีกว่า (หัวเราะ)
เพลงที่พี่บอยแต่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความรัก อบอุ่น สักหน่อย หรืออาจจะมีแอบคาร์กๆ ปนนิดๆ แต่พี่ บอย ไม่ค่อยแต่งอาจจะแนวๆ เพลงชีวิต สังคม เป็นเพราะพี่บอยไม่อยากแต่ง หรือเพราะเรื่องเอกลักษณ์ของตัวพี่บอยเอง
บอย ตรัย : เคยมีนะของ Friday ก็มีเพลงการเมือง เพลงเพื่อชีวิตแบบเราก็มีนะ แต่มันไม่ใช่เพลงแบบเพลงประท้วง อย่างซิงเกิ้ลแรก “ฮานาบิ” ก็เป็นเรื่องชีวิตไม่ใช่เรื่องความรัก ถ้าเพลงโปรโมตก็เป็นเพลงความรักแหละก็ปนๆ กันอยู่ เพราะร้องเพลงและแต่งเพลงก็อยากจะพูดเรื่องราวอื่นๆ ด้วย
มีแนวทางการเขียนเพลงแบบไหนที่พี่บอยอยากเขียนบ้าง
บอย ตรัย : ความรักก็ยังชอบนะ เพราะมันเป็นสื่อกลางที่เรายังสื่อสารกับคนดูได้ด้วย แต่ที่อยากแต่งอีก ก็เรื่องพ่อ หรือเรื่องหลังเวทีที่เราเจอ หรือเพลงความรักแบบตรงๆ อะไรแบบนี้
ตอนนี้หลายๆ วง หลายๆ คนทำเพลง เขียนเพลงกันเอง พี่บอยว่านักเขียนเพลงใหม่จะยังเกิดขึ้นมาไหมครับพี่
บอย ตรัย : คือเราเชื่อว่าวงดนตรีควรจะแต่งเพลงเอง คืออาจจะไม่ต้องถึงขนาดแต่งเองทุกเพลง แต่ควรจะมีกระดูกของวงไว้ คือสิ่งที่ทำให้วงมีลายเซ็นตัวเอง แต่อาจจะมีนักแต่งเพลงเข้าไปเสริม คือมันมีงานอื่นอีกมากมาย ไม่ใช่แค่วงดนตรีแต่งเพลงกันเองได้ แล้วนักแต่งเพลงจะไม่มีงานทำนะ งานเพลงโฆษณา งานเพลงโปรเจ็กต์ มันมีงานที่เกี่ยวกับเพลงอีกเยอะ แต่ว่าสมมติมีคนบอกอยากเป็นนักแต่งเพลงเลย ในอนาคตจะยากมั้ย ก็ต้องยากขึ้นเพราะงานมันน้อยลง มันคงไม่ได้แบบเมื่อก่อนที่ค่ายเพลงจะมีนักแต่งเพลง 8 คน คงไม่มีแบบนั้นแล้ว เพื่อนๆ ผมที่เป็นนักแต่งเพลงก็ไม่ค่อยบ่นเรื่องนี้นะ เพราะเปลี่ยนอาชีพไปหมดแล้ว (หัวเราะ) แต่เชื่อเถอะแบบพี่ดี้คนที่สองอะไรแบบนี้ยังไงก็จะมีขึ้นมาแน่นอน
มีคำแนะนำน้องๆ ในการเขียนเพลงมั้ยครับ
บอย ตรัย : เอาอีเมลล์เราไปเลย (หัวเราะ) ถ้ามีเพลงเอามาให้ฟังอันนี้คุยกันได้ แต่ถ้าสามารถสมมติว่ามีคำถามว่าอยากจะแต่งเพลงทำยังไง แสดงว่ายังไม่ได้อยากเป็นนักแต่งเพลงสักเท่าไหร่ ถ้าอยากเป็นนักแต่งเพลงก็ต้องแต่งแล้ว ต้องเริ่มแต่งแล้วรู้สึกหยุดแต่งไม่ได้ ถ้าอยากจะแต่งให้ดีขึ้น เราเชื่อว่าแต่งไปเรื่อยๆ เพลงที่ 100 เพราะแน่นอน เพราะเพลงที่ 100 กับ เพลงที่ 1 ยังไงก็ต่างกัน เพลงที่ 100 คุณต้องรู้จักตัวเองมากขึ้นแน่นอน
ฝากข้อคิดในวงการดนตรีให้น้องๆ
บอย ตรัย : มีความสุขกับการเล่นดนตรี อย่าไปคิดในการแข่งขัน ผมเชื่อว่าเพลงมันคือเพื่อนเรา ถ้าเราไปคาดหวังอะไรกับมันมาก มันก็จะไม่เชื่อเรา เพราะฉะนั้นทำให้มันเป็นเพื่อนเรา เราอยากรู้จักมันยังไง ก็ต้องทำตัวแบบนั้น
ฝากผลงานครับ
บอย ตรัย : ฝากซิงเกิ้ลใหม่ “ดวงอาทิตย์” และอัลบั้มใหม่ของผม “ขุนเขาแห่งหมี” ด้วยนะครับ ในปีนี้ และฝากติดตามได้ที่ Facebook SpicyDisc และเพจของผมเองได้เลยครับ
ขอขอบคุณ : เพิร์ล Spicydisc ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ