Growing Up
คอลัมน์ Music Insight ของเราเป็นคอลัมน์ที่สัมภาษณ์คนเบื้องหลังมาตลอดหลายๆ ปีนี้ มีบุคลากรทางดนตรีมากมายทุกสายแวะเวียนเข้ามาพูดคุย ให้ความรู้ ฝากทัศนคติต่างๆ ให้ท่านผู้อ่านได้ทำการเก็บเกี่ยวไปใช้กัน บุคลากรทางดนตรีคนแรกของคอลัมน์นี้ที่เราทำการสัมภาษณ์คือพี่หั่ง แห่งวงโปเตโต้ ณ วันนั้น เขายังอยู่ในฐานะเป็นโปรดิวเซอร์ให้ทั้งโปเตโต้และกับศิลปินคนอื่น ในวันเดียวกันที่สัมภาษณ์พี่หั่ง เราได้มีโอกาสคุยกับซาวด์เอ็นจิเนียร์หนุ่มคนนึงที่กำลังจะไปศึกษาต่อเมืองนอก ณ เวลานั้นเขายังเป็น คนทำงานเรื่องซาวด์ เรื่องเสียงอยู่ “บอม ดนุภพ กมล” คือคนที่สองที่ลงคอลัมน์ของเรา วันเวลาผ่านไป ปัจจุบัน บอมได้กลายเป็น Assistant Vice President ของค่าย Muzik Move ในขณะเดียวกันก็ยังทำด้านซาวด์ฯ อยู่ วันนี้เขาจะมาแถลงไข วิสัยทัศน์ มุมมองให้เราได้ฟังกัน มาดูว่าทิศทางของค่าย Muzik Move จะไปทางไหน และแนวคิดของเขาจะเป็นอย่างไร อ่านได้พร้อมๆ กัน ณ บัดนี้ครับ
ตอนนี้ บอม ทำอะไร ใน Muzik Move ครับ
บอม : ตอนนี้ผมทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจ ก็ดูแลงานด้านธุรกิจของบริษัททั้งหมดครับ โดยบริษัท Muzik Move จะมีอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกก็คือค่ายเพลงทั้ง 3 ค่าย Muzik Move Records, Me Records, Boxx Music บริหารโดยพี่ฟองเบียร์ ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม ส่วนที่สองที่ตัวผมเองดูแลเป็นด้านธุรกิจในภาพรวม ได้แก่การจัดจำหน่ายดิจิตอล ฟิสสิคอลโปรดักท์ งานลิขสิทธิ์เพลง ดูแลงานบริหารศิลปิน งานจ้างการแสดงต่างๆ รวมไปถึงธุรกิจโชว์บิสและแอคทิเวชั่น โดยทั้งหมดอยู่ใต้การดูแลของคุณจุ๊บ วุฒินันต์ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการบริษัท เรียกได้ว่าเป็นทีมบริหารหลักครับ ซึ่งว่ากันจริงๆก็เป็นคนละเรื่องกับงานด้านซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่เคยทำมาเลยครับ (หัวเราะ)
ในด้านค่ายเพลง วางทิศทางไว้ยังไง
บอม : ถ้าเรามองในภาพรวม Muzik Move ก็รีแบรนด์จากเดิมสหภาพดนตรีมาได้ปีครึ่งแล้ว เราก็พัฒนากันมาเรื่อยๆ กับทั้ง 3 ค่ายเพลงในเครือ โดยที่ Muzik Move Records ค่ายกลางจะเป็นโมเดิร์นป็อปร็อค ศิลปินที่ชูโรงเลยก็จะมีพี่แหนม รณเดช, เอิ้ต ภัทรวี, วงเปรม, วง Dose เป็นค่ายที่เพลงฟังง่าย ฟังสบาย แต่มีความเท่ของแนวดนตรีและศิลปิน ตามสไตล์แบบพี่โอ๊บ เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆการ เฮดใหญ่ของค่ายซึ่งจะมองดนตรีผสมแฟชั่น แต่ละศิลปินก็จะชัดเจนในแนวตัวเอง ค่ายที่สอง Me Records ดูแลโดยพี่ฟองเบียร์ ศิลปินก็จะออกแนวร็อคอย่าง Hugo, Silly Fools, Dax RockRider, Zeal, Ghost ที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว ก็มีอีกหลายศิลปินที่เข้ามาอยู่ด้วยกัน ล่าสุดคือวง Ebola และสงกรานต์ รังสรรค์ คือพี่เบียร์จะช่วยดูแลในส่วนเนื้อร้องให้อยู่แล้วเป็นหลัก และปล่อยเรื่องดนตรีให้เป็นไปตามตัวตนและแนวทางของแต่ละศิลปิน ค่ายน้องเล็ก Boxx Music แนวเพลงเป็นป็อปนอกกระแส เป็นอินดี้ผสมโมเดิร์นป็อป ดูแลโดยพี่พล คชภัค ศิลปินเช่น Ink Waruntorn, Portrait, กันต์ ชุณหวัตร, มาร์ค ธัชพล, The Kastle จากความหลากหลายนี้ก็จะเป็นสีสันใหม่ๆ ให้กับตลาดเพลงไทยครับ
เรื่องมิกซ์เสียงยังทำอยู่ไหมครับ
บอม : ยังทำอยู่ครับ เพราะเป็นงานที่ผมรักที่สุดอยู่ดี (หัวเราะ) จริงๆ แล้วงานด้านซาวด์เอ็นจิเนียร์ผมเองทำมาตั้งแต่ยุคมอร์มิวสิค ซึ่งต้องขอบพระคุณพี่ป้อม อัสนี ที่ให้โอกาส เราได้เริ่มเรียนรู้จากตรงนั้น ได้อัดเสียงให้ศิลปินมากมายในช่วงนั้น เช่น อัสนี-วสันต์, Blackhead, Zeal, Fahrenheit ต่อมาได้ขยับไปมิกซ์ให้ Potato, เอ็ม อรรธพล, บอย พีซเมคเกอร์ แล้วก็ได้ทำอีกหลายๆ ศิลปิน Playground, AB Normal, Yes’sir Days รวมถึงงานของ Getsunova อย่างเพลงไกลแค่ไหนคือใกล้ ขยับมามิกซ์ 5.1 Surround กับคอนเสิร์ตดีวีดีพี่เบิร์ด ธงไชย, Retrospect, MRD, Clash Army ก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อ ทุกวันนี้กลางวันผมทำงานด้านธุรกิจ แต่พอกลางคืนกลับบ้านก็ยังมิกซ์และมาสเตอริ่งเพลง ยังทำงานโปรดักชั่นเหมือนเดิม ล่าสุดที่มิกซ์ก็จะเป็นเพลงโอ้เธอ สงกรานต์ เพลงอย่าปล่อยมือฉันได้ไหม Dax RockRider และเพลงของพี่ๆ วง Zeal มันเป็นความสุขของเรานะ (ยิ้ม) ผมเคยนั่งคุยกับพี่พล พี่เบียร์ ว่าเวลาที่เรามีความสุขที่สุดก็คือตอนอยู่กับงานด้านนี้ พี่เบียร์มีความสุขตอนเขียนเพลง พี่พลตอนอัดกีตาร์ ทำเพลง ผมก็ชอบตอนมิกซ์และมาสเตอริ่งเหมือนกัน (ยิ้ม)
ช่วงหลังก็มิกซ์เพลงป็อปซะเยอะ
บอม : ใช่ครับ ก็ได้ลองทำแนวเพลงใหม่ๆ ไปเรื่อย ยุคนี้ประสบการณ์มิกซ์แบบใหม่ๆ ที่ผมได้ก็งานของ Boxx Music นี่แหละ เพราะแนวเพลงแต่ละศิลปินมีความเป็นตัวเอง ไม่ใช่แพทเทิร์นเดิมๆ เสียงกลองอยากได้แบบนี้ กีตาร์อยากได้ซาวด์แปลกๆ หน่อย ผมว่าดนตรีในบ้านเรา ณ วันนี้เทียบๆ กับเมืองนอกได้เลยนะ ความเท่ ความแปลก หลายๆ ค่ายไม่ได้อยู่ในกรอบเดิมแล้ว มันหลากหลายขึ้น มันสนุกมากขึ้น เป็นความเจ๋งของยุคนี้ที่มีทางเลือกมากมายให้ฟังให้เสพ
แบ่งเวลายังไงครับเนี่ย เพราะทั้งงานบริหาร กับงานมิกซ์ก็ต้องละเอียดทั้งคู่
บอม : นั่นสิครับ (หัวเราะ) ก็อย่างที่บอกครับ ตอนกลางวันเราเข้าออฟฟิศตามปกติ พอเย็นกลับถึงบ้านก็ค่อยมิกซ์ ก็ค่อยๆ ทำไปทีละซิงเกิ้ลครับ เพราะเพลงก็ไม่ได้ออกแน่นเป็นอัลบั้มเหมือนสมัยก่อน พอมีเวลาปั้นบ้าง เสาร์ อาทิตย์ พี่ๆ โปรดิวเซอร์ก็จะมาสตูดิโอ ปิดมาสเตอร์กัน
งานส่วนไหนยากกว่ากัน บริหารกับมิกซ์
บอม : งานบริหารมันก็เป็นอีกสกิลนึง มันก็ต่อยอดจากที่เรียนมา ตอนไปเรียน Music Business ที่อังกฤษ ผมก็เอาอะไรหลายอย่างที่เห็นในวงการดนตรีบ้านเราไป ประยุกต์ใช้กับการเรียน แชร์ประสบการณ์กับเพื่อนๆ แต่ละประเทศเค้าก็มีปัญหาและวิธีแก้ไขของตัวเอง แล้วพอจบก็นำมาใช้กับการทำงาน ถามว่ายากไหม ผมว่ามันเป็นการแชร์ระหว่างทีมบริหารมากกว่า คือทุกคนแชร์ไอเดีย พี่เบียร์เล่าประสบการณ์ พี่พลรู้เรื่องนี้ พี่โอ๊บให้มุมมอง ผมมองว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป วิถีเก่าๆ มันใช้ไม่ได้แล้ว ต้องปรับตัวให้ทัน และสร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆ
การที่เราทำงานด้านโปรดักชั่นได้ด้วยถือว่าได้เปรียบเวลามาบริหารหรือเปล่า
บอม : ก็ช่วยได้เยอะครับ คนธุรกิจทั่วไปถ้ามาทำงานธุรกิจดนตรีอาจจะช็อกกับวัฒนธรรมในวงการ เจอความติสต์ของศิลปินหรือคนเบื้องหลัง (หัวเราะ) ผมเองโชคดีที่มีโอกาสอยู่กับศิลปินตั้งแต่เริ่มทำโปรดักชั่น ได้มิกซ์และมาสเตอริ่งเพลงให้หลายๆ ศิลปินในค่าย ทำให้เข้าใจว่าศิลปินเขาคิดอะไรอยู่ เขามองตัวเองแบบไหน เขาอยากให้ผู้ฟังได้ยินอะไรจากงานของเขา เราคลุกคลีตรงนั้นทำให้เข้าใจ จากนั้นก็เอาเรื่องธุรกิจไปเสริมว่าเราควรจะใช้แคมเปญแบบไหน จะคุยกับแพลตฟอร์มอะไร เวทีไหนที่เหมาะสม หรือพรีเซนต์ออกมาแบบไหน พอเราอินแล้วก็สามารถนำเสนอได้ง่ายขึ้นครับการเปลี่ยนแปลงของวงการดนตรีมีผลต่อทั้งการมิกซ์และการบริหารขนาดไหน
บอม : ก็มีผลเยอะนะ คือผมอยู่ในยุคที่ยังทันเห็น “ล้านตลับ” (หัวเราะ) เริ่มงานกับห้องอัดเสียงอนาล็อค บอร์ดมิกเซอร์ขนาดใหญ่ ได้ทำงานในยุคที่ซีดียังขายได้ดี ต้องปรับตัวกับการทำงานในระบบดิจิตอล เริ่มรู้จักการ “Mix in the Box” แล้วโชคดีที่ไปเรียนต่อในยุคที่ต่างประเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอลเต็มรูปแบบเหมือนกัน เลยได้เห็นวิธีการที่เขารับมือกับยุคดิจิตอลในด้านต่างๆ พอกลับมาเมืองไทยก็คนละเรื่องกับตลาดเมืองนอกอีก มีความเป็นโลคอล พฤติกรรมคนฟังก็ต่างกัน ส่วนตัวผมมองว่าเป็นหน้าที่ของคนทำงานด้านดนตรี ทั้งศิลปิน ค่ายเพลง ที่ต้องเปลี่ยนตาม เข้าใจว่ามันคงไม่เฟื่องฟูในด้านเม็ดเงินเหมือนเมื่อก่อน แต่ความเป็นคนฟังเพลง ความเป็นศิลปิน มันยังมีอยู่แน่นอน เทคโนโลยียุคนี้ทำให้คนฟังเสพเพลงได้ง่ายมากผ่าน Streaming Platform ตลาดในรูปแบบค่ายใหญ่ครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จมันไม่มีอีกแล้ว ยุคนี้เป็นยุคของคนฟังที่เลือกฟังศิลปินไหนแนวเพลงอะไรที่ไหนก็ได้ ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเหล่านั้นได้มีประสิทธิภาพขนาดไหน ปรับตัวได้ทันมั้ย ในขณะที่ศิลปินยังคงต้องการให้มีคนดูแลในส่วนธุรกิจเหมือนเดิม ดังนั้นค่ายเองก็ต้องตอบโจทย์ในส่วนนี้ เป็นตัวกลางในการดีลกับ Music Platform การขายและจัดจำหน่ายต่างๆ ที่มีมากมาย รวมถึงการบริหารงานแสดงให้ศิลปินได้มีงานจ้างซึ่งเป็นรายได้หลักในยุคนี้ ที่สำคัญต้องมีความชัดเจนในแนวเพลงและเอกลักษณ์มากขึ้นด้วย
การขายโชว์ต่างๆ ต้องเปลี่ยนด้วยไหมครับ
บอม : เหมือนกันครับ ต้องเปลี่ยนตามตลาดรวมๆ ตอนนี้คนก็ไม่ได้มาดูคอนเสิร์ตเยอะๆ เหมือนสัก 5 ปีที่แล้ว ทางเลือกมันเยอะขึ้น คนฟังสามารถเสพดนตรีในโซเชี่ยล ใน YouTube หรือ Facebook Live ได้ มันก็สามารถเติมเต็มการเข้าถึงศิลปินได้จากตรงนั้น แต่ยังไงสุดท้ายก็ไม่เหมือนการเสพดนตรีสดอยู่ดี มันมีเสน่ห์ในรูปแบบของตัวเอง ซึ่งคนมาดูสดก็จะได้อะไรที่ต่างจากหน้าคอมฯ ธุรกิจโชว์บิสในยุคนี้เราต้องหาอะไรที่คนฟังไม่สามารถหาดูได้ในโซเชี่ยลมากกว่า ในส่วนของ Muzik Move เองก็มีคอนเสิร์ต Silly Wars II ของพี่ๆ วง Silly Fools ที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งผมว่างานแบบนี้หาดูยาก บรรยากาศการดูคอนเสิร์ตร็อค เสียงร้องตามของคนดูแบบลั่นฮอลล์ การที่สนุกไปพร้อมกัน ฟิลลิ่งแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่สามารถดูได้หน้าจอคอมแน่นอน ส่วนงานต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือคอนเสิร์ตใหญ่ของพี่ Hugo “ภาษาแม่” วันที่ 15 กันยายนนี้ ซึ่งก็จะต้องเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ แน่นอน
ตอนนี้ค่าย Muzik Move อยู่ในระดับไหนของวงการดนตรีบ้านเรา
บอม : ผมว่าก็เท่าๆ กันทั้งหมดนะ ในยุคนี้ไม่มีค่ายเล็กค่ายใหญ่ โซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้คนฟังเข้าถึงเพลงและศิลปินได้ไม่ต่างกัน จริงๆ แล้วค่ายเพลงคุยกันเยอะขึ้นมาก ตัวผมเองได้คุยกับค่ายอื่นๆ ในมุมของการร่วมงานกัน เช่นกับ Spicydisc, What The Duck, BEC Tero Music ซึ่งจะเห็นได้จากงานเพลงหรือโชว์ต่างๆ ในช่วงนี้ ที่มีการแจมกันระหว่างค่ายเยอะขึ้น เช่นโปรเจ็กต์ Boxx Session หรือคอนเสิร์ต The Switch ซึ่งมีการแจมกันระหว่าง Portrait กับ Better Weather หรือระหว่าง Ink Waruntorn กับ Nap A Lean เป็นต้น ยุคนี้ไม่ใช่ยุคการแข่งขันของค่ายเพลงแล้ว มันเป็นยุคที่โอเพ่นมากๆ แล้วผู้บริหารในแต่ละค่ายเองก็มีความเห็นตรงกันว่ามันจะดีกับวงการและคนฟังมากที่สุด ที่สำคัญคือมันสนุกมากๆ ครับนอกจากดนตรีแล้วจะลุยด้านไหนต่อหรือเปล่า
บอม : ค่ายนี่ไม่เปิดเพิ่มแล้วครับไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) คือถ้าย้อนไปดูสิ่งที่เราทำในครึ่งปีแรก เราจะเน้นความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ Apple Music, iTunes, Line TV ซึ่งอันนี้จะเห็นได้ชัด เช่นแคมเปญฟังเพลงนี้ได้ก่อนใครที่นี่ รวมไปถึงภาคการศึกษา กับมหาวิทยาลัย ABAC ภาคธุรกิจดนตรี มีการจัด Music Camp, Internship Program, Campus Concert รวมไปถึงการส่งศิลปินหรือคนเบื้องหลังเข้าไปเป็นวิทยากรพิเศษ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือเราพยายามสร้างระบบธุรกิจดนตรีให้แข็งแรงขึ้น เป็นการร่วมมือกันในทุกด้านทั้งค่ายเพลง ดิจิตอลแพลตฟอร์ม การศึกษา รวมถึงสื่อ ซึ่งก็ต้องขอบคุณทาง The Guitar Mag ที่ช่วยให้เราถ่ายทอดข้อมูล ศิลปิน รวมถึงแนวคิดไปถึงผู้บริโภคได้ ส่วนในครึ่งปีหลังหลักๆ ก็คือการร่วมงานกันทำโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ระหว่างค่ายแบบที่เล่าไป ทุกอย่างจะสัมพันธ์กันครับ พอค่ายเพลงร่วมมือกันศิลปินร่วมมือกัน ต่างก็จะได้ขยายฐานแฟนเพลง และทำให้อุตสาหกรรมดนตรีมันขยายตัวขึ้นอีก ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนจะไม่ได้เห็นภาพแบบนี้แน่นอน ผมว่ามันสร้างสีสันให้วงการเพลงได้มากทีเดียวครับ
มีความเห็นกับช่องทางในปัจจุบันอย่างพวก Apple Music, Joox อะไรแบบนี้ยังไงบ้างครับ
บอม : เอาจริงๆ ตอนนี้เทรนด์เมืองนอกรายได้ของค่ายเพลงจาก Music Streaming กลับมาจะเท่าๆ กับพวกยอดเทปซีดียุคก่อนๆ แล้ว และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าในเมืองไทยเองก็ดีขึ้นในภาครวม คนฟังเริ่มเปิดรับช่องทางใหม่นี้มากขึ้น ซึ่ง Muzik Move เองก็ร่วมกับ Digital Platform ทำแคมเปญให้คนฟังหันมาใช้กันมากขึ้น ทุกวันนี้เราจะได้ยินเรื่องโหลดบิตหรือฟังเถื่อนน้อยลง เพราะความสะดวกและคุ้มค่าของ Streaming Platform ต่างๆ ก็ต้องใช้เวลาสักพักนึงให้คนรู้สึกว่า เฮ้ย! การจ่ายเงินตรงนี้มันไม่ได้เยอะเลย ฟังที่ไหนก็ได้ แถมยังถูกกว่ากาแฟเจ้าดังๆ แก้วเดียวด้วยซ้ำ (หัวเราะ)
ทีมงานเบื้องหลังมีเพียงพอหรือยังครับ
บอม : ไม่พอครับ (หัวเราะ) เพราะตอนนี้มีศิลปินเพิ่มมากขึ้น แต่จะขยายเร็วก็ไม่ได้ ต้องค่อยๆ ปรับกันไป แล้วถ้าพูดตรงๆ ทีมเบื้องหลังเราก็ถือว่าไม่เยอะมากแต่ทุกคนเต็มที่และสนุกกับงาน สำหรับ Muzik Move แม้จะมีจังหวะที่ก้าวกระโดดบ้าง แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะที่ก้าวช้าๆ แต่มั่นคงเช่นเดียวกันครับ (ยิ้ม)
ฝากค่ายหน่อยครับ
บอม : ผมเชื่อว่าศิลปิน Muzik Move ในค่ายของเราทั้ง 3 ค่าย น่าจะเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับคนฟังได้นะครับ ผมว่าแฟนๆ The Guitar Mag เองก็น่าจะชอบศิลปินในค่ายเราอยู่บ้าง และคงสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของทุกศิลปินและทีมงานในการผลิตเพลงแต่ละซิงเกิ้ลออกมา ก็อยากให้เป็นกำลังใจและติดตามกันต่อๆ ไปนะครับ ส่วนใครที่ยังไม่ได้กด Subscribe ก็ตามมากันได้เลยครับ Muzik Move Records : Me Records : Boxx Music ขอบคุณมากครับผม
ขอขอบคุณ : จ๋า Muzik Move ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ