ภาพของ สาวสวย มีความเซ็กซี่ เสียงดี ร้องเพลงถึงอารมณ์ ด้วยสไตล์เพลงลูกทุ่ง กับ ป๊อบ ผสมกัน นื่คือสิ่ง ที่แทบทุกคนคิดถึง มีนตรา อินทิรา สตาร์ลูกทุ่ง ที่มีความเป็นตัวเองชัดเจนที่สุดคนนึงในวงการ แต่เคล็ดลับของความมั่นใจนี้คืออะไร ภายใต้เส้นทางที่ดูเหมือนจะราบเรียบ กลับกลายเป็นว่าหนทางไม่เคยเรียบง่าย แต่เธอก็ทำให้ทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา การแก้ไขโจทย์ชีวิตด้วยสติ เสียงเพลงจากเธอคนนี้ อาจจะเป็นกำลังใจดีๆ ให้ใครสักคนก็ได้ เราจะมารู้จักตัวตนของ มีนตรามากขึ้น ผ่านบทสัมภาษณ์นี้
ดนตรี กับการร้องเพลง เริ่มเป็นส่วนนึงในชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่
มีนตรา : มันเริ่มซึมซับมาเรื่อยๆ จากแรกเริ่ม ที่เป็นบรรยากาศรอบๆ ตัว ครอบครัว เวลาที่บ้านต่างจังหวัด เขามีสังสรรค์ ก็จะมีการเอาดนตรีมาเล่น จากที่พ่อและญาติเล่าให้ฟังคือ พอเขาเอากีตาร์มาเล่น หนูก็จะร้องเพลง แล้วที่เขาเล่าก็บอกว่า เราร้องเพลงตรงคีย์ เราร้องตรงกับกีตาร์ แล้วจำเนื้อพอได้ ทางบ้านเลยน่าเห็นแวว พอโตขึ้นมาหน่อยเราก็จะเป็นเด็กกิจกรรมที่โรงเรียน งานวันเด็ก ตอนอนุบาลเราก็ไปร้องเพลงแบบ คุณลำไย อะไรแบบนี้ ก็เลยรู้สึกสนุกกับการร้องเพลง
การเป็นศิลปิน ถือว่าเป็นความฝัน หรือเปล่า
มีนตรา : เป็นกิจกรรมค่ะ เราร้องเพราะสนุกอย่างเดียว เวลามีกิจกรรมโรงเรียนคุณครูก็จะถามหาเราตลอด มันไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่มีการรำ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ การมีความฝันเป็นศิลปิน น่าจะเป็นตอนที่เราเริ่มโตแล้วมากกว่า แต่ตอนเด็กๆ เราก็คิดแค่ว่าร้องเพลงสนุก ได้แต่งตัวสวย ได้แต่งหน้า เวลามีกิจกรรมเขาจะเรียกเรามาซ้อมก็แบบสบาย ไม่ต้องเรียน (หัวเราะ)
เวทีแรก
มีนตรา : ถ้าจำไม่ผิดเป็นงานวัดแถว ชลบุรี สัตหีบ เป็นการประกวดช่วงแรกๆ ไม่แน่ใจ ว่าได้รองชนะเลิศ ได้ที่ 2 หรือที่ 1 ไม่รู้ไม่แน่ใจ ซึ่งก็เติมความมั่นใจว่าเราก็ไปได้ เพราะเราก็ร้องแค่งานโรงเรียนมาตลอด พอได้รางวัลมาก็รู้สึกว่า เออ งั้นลองมาสายนี้ดูเลยดีกว่า
ความรู้สึกของการประกวดร้องเพลงที่มาพร้อมปัญหาครอบครัว
มีนตรา : มันเป็นช่วงชีวิตที่เราจำเป็นต้องหาเงิน การขึ้นไปร้องเพลงมันจะไม่ชิลเหมือนเดิมแล้ว เราจะไม่ได้ร้องเพลงแค่เฉพาะเวลาที่เราอยากร้องแล้ว กลายเป็นว่าเราต้องไปประกวดเพื่อหาเงิน ช่วยเหลือครอบครัวในช่วงนึงของชีวิต ซึ่งมันก็จุดประกายว่า โอเค เราอยากเป็นนักร้อง อาชีพแล้ว อยากเป็นศิลปินอยากมีเพลง
คาดหวังมากขึ้น
มีนตรา : ใช่ค่ะอารมณ์มันต่างออกไปนิดนึง เพราะมันมีความคาดหวังมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าเวทีไหนเราจะไม่ได้ เราก็จะแบบไม่เป็นไรขนาดนั้น มีน กับ พ่อ จะไม่มานั่งแบบ โอ้ยผิดหวังทำไมไม่ได้ เสียใจ ชีวิตพัง จะไม่มีแบบนั้น แค่รู้สึกว่า โอเคเวทีหน้าไปใหม่
การตัดสินใจใช้ชีวิตในฐานะนักร้องอาชีพ
มีนตรา : ตอนนั้นอายุประมาณ 16-17 ไปร้องตามร้านอาหาร เป็นร้านอาหารที่เขาเล่นโฟลค์ซอง เราชอบร้องกับที่เป็นเครื่องดนตรีสดเพราะเราจะอิน ที่ได้ร้องเพราะเหมือนกับว่าตอนนั้นเขาหาคนแทน มีใครว่าง ก็เลยไปแทน ซึ่งพอเราได้ไปแทนบ่อยๆ ขึ้น เขาก็คงพูดกันปากต่อปาก ตอนนั้น มีน จะร้องเพลงอยู่แถวประชาชื่น ก็ใช้ชีวิตแถวนั้น จากนั้นค่อยๆ ขยับไป RCA จำได้ว่าเงินก้อนแรกที่ได้คือ 700 ภูมิใจมาก โอเคเราอาจจะหาเงินจากการประกวดร้องเพลงได้ แต่อันนี้เป็นอีกเส้นทางนึง เรารู้สึกโตขึ้น มาร้องเพลงในร้านอาหาร ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นช่วงชีวิตที่สนุกนะ เป็นช่วงเวลาที่หนูรู้สึกสนุกที่สุดในอีก 1 พาร์ทของชีวิตเลย บางคืนวิ่ง 3 ร้านบวก Tips ด้วย เป็นช่วงที่ชีวิตสนุกอยู่
กับการมาเป็นศิลปินฝึกหัดใน Grammy
มีนตรา : ถ้าเรียงไทม์ไลน์ หนูมาเป็นศิลปินฝึกหัดก่อนเล่นดนตรีอาชีพ เพราะเราประกวดร้องเพลงในรายการคว้าไมค์ คว้าแชมป์ ตอนนั้นหนูอายุ 15 ตอนเป็นศิลปินฝึกหัด ไม่ได้เรียนอะไรเพิ่มเติมมีแต่ออกกำลังกาย ตอนนั้นเรายังเป็นสาวตุ้ยนุ้ย เขาเลยบอกว่าออกกำลังกายก่อนเลย เสียงร้องไม่มีปัญหา ก็เลยลดน้ำหนักอยู่ 1 ปี เต็ม เราก็ทำตามอย่างที่เขาบอก จนหมดสัญญา 1 ปี แต่เราก็ยังอยู่ด้วยสัญญาใจ ทีนี้ก็มีรายการ The Voice เข้ามา หนูเลยมาคุยกับทาง Grammy ว่าถ้ายังไม่มีแพลนที่จะทำอะไร ก็จะขออนุญาตไปประกวดรายการนี้ เขาก็โอเค ซัพพอร์ต เราเต็มที่
มีนตรา : ไมค์ทองคำ หรือ The Voice
มีนตรา : เอาจริงๆ พ่อหนูตอนนั้นอยากให้ลงรายการ ไมค์ทองคำ แต่หนูอยากมารายการ The Voice เพราะคุณพ่อน่ะ เขาเป็นแฟนรายการไมค์ทองคำอยู่แล้ว เพราะเรามาเวย์ลูกทุ่ง ตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้น หนูเองรู้สึกว่า The Voice ก็ร้องลูกทุ่งได้ เราไม่ได้ทิ้งลูกทุ่ง แต่เราอยากเอาลูกทุ่งมาให้คนอีกกลุ่มนึงได้เห็นบ้าง ตอนนั้นก็ ไฟว้กับพ่ออยู่ แต่ก็ไปให้พ่อนะ แล้วก็ติดด้วย แต่ต้องเลือก เพราะในรายการก็ต้องมีเซ็นสัญญาว่าถ้ามารายการนี้ ก็จะดูไม่ดีถ้าไปอยู่อีกรายการนึง หนูเลยบอกพ่อว่า ไป The Voice แต่ก็จะร้องลูกทุ่งให้
แสดงว่ามีแนวคิดแบบลูกทุ่งผสมเพลงป๊อบ
มีนตรา : ไม่ได้คิดละเอียดขนาดนั้น เพราะตอนนั้น ดนตรียังไม่ได้มามิกซ์กันเยอะขนาดนี้ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าลูกทุ่งก็คือลูกทุ่ง สตริงคือสตริง สากลคือสากล เราแค่คิดว่าอยากให้เพลงลุกทุ่งกระจายไปในกลุ่มที่กว้างขึ้น ได้ฟัง ได้เห็น ว่าเราเด็กลูกเสี้ยวคนนี้ก็ร้องแบบนี้ได้ ก็ได้ เฮียโจ้ โจอี้บอย ซึ่งก็เหมือนเข้าทาง เพราะเฮียแกก็จะเป็นลูกทุ่งร่วมสมัยหน่อย
บรรยากาศตอนประกวด The Voice
มีนตรา : ก็ตื่นเต้นมาก ทุกวินาทีตั้งแต่รอบ Blind ไปจนถึง Semi Final ที่ร้องเพลงสากล ขนาดมีเพื่อนมาร้องด้วยเรายังสั่นเลย แม้หลายคนจะคิดว่าเราคูล เราเอาอยู่ มั่น แต่จริงๆ ไม่เลย กังวลมาก มันไม่เหมือนตอนเราร้องร้านอาหาร ที่เวลาคนมาทานข้าว คนก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่อันนี้ทุกคนจับจ้องเรา ก็ประหม่าพอสมควร
ชีวิตหลังจาก The Voice
มีนตรา : เป็นช่วงเวลาสับสนของชีวิต เพราะว่าตอนนั้นมันต้องเลือกว่าเราจะอยู่ลูกทุ่งหรือสตริง ก็เลยกลับมาถามตัวเองว่าเราจะกลับมาร้องเพลงลูกทุ่งอยู่ไหม เวลาเราร้องเพลงสากล ร้องเพลงสตริงตอนกลางคืนเราก็แฮปปี้ดี มันก็ได้เหมือนกัน จนมีอยู่สถานการณ์นึง ตอนนั้นหนูกลับบ้านที่อุดรฯ ก็นั่งรถกับที่บ้านกำลังจะเข้าบ้าน มันเป็นช่วงพลบค่ำ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ทุกอย่างเป็นสีทอง กระทบกับนา แล้วเพลงพี่ ต่าย อรทัย ในรถดังขึ้นมา มันเป็นเหมือนภาพใน MV เลยรถแล่น ฟ้าสีทอง เพลงดังขึ้นมา ก็เลยรู้สึกว่า โอเค เราคือสาวลูกทุ่ง เรายังฟังเพลงลูกทุ่งแล้วยังอิน ยังขนลุกอยู่ เรารู้หมดเลยว่าในเพลงลูกทุ่งเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราสามารถเรียง ได้เป็นฉากๆ เพลงแนวอื่นๆ เราก็ชอบ ก็อินนะ แต่ถ้าถามว่าผูกพันกับเพลงแบบไหนมากที่สุดก็ต้องเป็นเพลงลูกทุ่ง ก็เลยตัดสินใจมาประกวดรายการลูกทุ่งอีกครั้ง ในรายการ สมรภูมิชิงเพลง เป็นรายการลูกทุ่งเพื่อจะบอกว่า เรากลับมาเป็นสาวลูกทุ่งเต็มตัวแล้ว
แต่ก็ต้องปรับตัวอยู่สักหน่อย
มีนตรา : จำได้ว่าโดนคอมเมนต์ว่าร้องเพลงไม่เก็บรายละเอียดเลย ไม่เห็นเป็นลูกทุ่ง เลือกเพลงอะไร ตอนนั้นเป็นคนชอบนั่งอ่านคอมเมนต์ ก็แบบแหมสมัยตอนเราประกวดลูกทุ่งเราเก็ยรายละเอียดเป๊ะนะ แต่พอมาตกผลึกได้ ก็เพราะเราไปเก็บประสบการณ์ ทั้งฝั่งสากล เพลงสตริง มันเลยมามิกซ์ตัวเรา ให้กลายเป็นตัวตนแบบนี้
จนได้มีผลงานของตัวเอง และมีเพลงดัง “ห้ามตั๋ว” รู้สึกตื่นเต้นขนาดไหน
มีนตรา : ตอนนั้นตื่นเต้นกับการที่คนเปิดเพลงทักทาย แต่เรายังไม่ได้ดูยอดวิว ก็เป็นคน Low Tech นะ เราไม่รู้ว่ายอดวิวแบบนี้คือเยอะมั๊ย เราต้องดีใจหรือยังถ้ายอดวิวนี้เราต้องโอเคใช่ไหม แต่ว่าเราจะดีใจ แล้วตื่นเต้นเวลาเราไปตลาดนัด หรือไปที่ไหนก็ตามแล้วคนจะไม่กล้าทักเรา แต่เปิดเพลงนี้ทักทายแทน เราก็รู้สึกดีใจ ฟูลฟิลดี จนเราได้เห็น #1 On Trending เราก็แบบ นี่ถึงเวลาของเราแล้วเหรอเนี่ย เป็นเราจริงๆ เหรอ ซึ่งก่อนหน้านั้น หนู หรอยค่ายเอามาปล่อย ลง TikTok ก่อน มันเป็นไวรัล พอเพลงเต็มออกมา เขาก็เลยไปฟังกัน ปล่อยเป็นกับดัก (หัวเราะ) ก็เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผล (หัวเราะ)
แต่ก็เหมือนทุกศิลปินในช่วง Covid ที่ไม่สามารถจะนำเพลงนี้ไปโชว์ได้ ตอนนั้น จัดการความรู้สึกตัวเองยังไง
มีนตรา : ภาษาอีสานเขาเรียกว่า เซเว่ (หัวเราะ) มันเป็นอาการแบบเหม่อลอย เราคาดหวังเพราะมันอันดับ 1 เทรนด์ดิ้ง ไปไหนมาไหนคนเริ่มเปิดทัก เดี๋ยวเราจะทัวร์ แล้วปล่อยช่วงปีใหม่ด้วยช่วงนั้น เราแพลนทุกอย่างไว้อย่างดี มองไปถึงสงกรานต์ด้วยซ้ำพอ Lockdown ก็ร้องไห้เลย เพลงดังมันไม่ทำง่ายนะ มันเป็นความฝันของเรา เราอุตส่าห์สู้ประกวดร้องเพลงมา ภาพมันย้อนมาเป็นฉากๆ เลยนะ เราอยากเป็นศิลปิน อยากมีเพลง มาร้องอาชีพเพื่อที่จะหาโอกาสดีๆ ที่เราจะได้มาทำเพลง มาเป็นศิลปินฝึกหัด สับสนกับตัวเองก็แล้ว เลือกตัวตนได้แล้ว ว่าจะเป็นสิ่งนี้ ได้ทำเพลงแล้ว เพลงก็ดังแล้ว มันเลยรู้สึกแบบ โห ร้องไห้ เลย แบบทำไมหนอ มันเป็นอะไรหนอ คือเราเข้าใจเลยบางคนอาจจะหนักกว่าหนูด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยที่สุดเรามีต้นทุนที่อยู่กับเรา คือเสียง ความสามารถ ความไม่ย่อท้อของตัวเอง ถ้ามันยังอยู่ไม่เป็นไร เดี๋ยวทำใหม่ได้ ทำจนกว่าจะมาอีกครั้งนึง แล้วท้ายที่สุดแล้วเพลงนี้ก็ย้อนกลับมา หนูเอาเพลงนี้ไปร้องทีในรายการ The Voice All Star กลายเป็นไวรัลใหม่ ก็เลยได้เริ่มต้นทัวร์คอนเสิร์ตจริงๆ ด้วยเพลงนี้เหมือนเดิม แล้วมันยิ่งทำให้สไตล์เราชัดมากขึ้นทั้งความรู้สึกเรา ความรู้สึกทีมงาน โปรดิวเซอร์ โปรโมเตอร์ แฟนเพลงที่มองเราก็เข้าใจเรามากขึ้น
แล้วก็กลับมาดังมากๆ อีกครั้งกับเพลง “ว่าว”
มีนตรา : ก็ได้คุยกับพี่ แบงค์ รัฐวิชญ์ ตอนนั้นเขาทำเพลงดังให้พี่ โจอี้ ช่วงนั้น แล้วก็เนื้อหอมมาก เราอยากร้องเพลงที่พี่แบงค์แต่งจัง เขาจะมีเวลาว่างไหมนะ (หัวเราะ) ก็ฝากพี่ๆ ไปจีบ พี่แบงค์แกก็โอเค เขาบอกว่า พี่มีเพลงตุ่นๆ อยู่เพลงนึง (หัวเราะ) เราก็งง พี่แบงค์ มันเป็นยังไงนะ เพลงตุ่นๆ เนี่ย คือมันเป็นเพลงแบบจะรักก็ไม่รัก จะเลิกก็ไม่เลิก จะอะไรก็ไม่ยังไง ฟิลแบบนี้ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวไปเขียนมามาให้เสร็จก่อน พอเสร็จแล้วจะส่งให้ฟังอีกที
เพลง “ว่าว” ที่เกือบจะว่าว
มีนตรา : จริงๆ หนูเกือบจะไม่ร้องเพลงนี้แล้วนะ (หัวเราะ) เพลงนี้เกือบไม่มีตัวตนแล้ว (หัวเราะ) ปัญหามันเกิดจาก หนู ไม่รู้ว่าจะเล่าเพลงนี้ออกไปยังไง หนูเล่าไม่เป็น เราเข้าไปเป็นมือที่ 3 เขา เรารักเขามากจนจะกลับก็กลับไม่ได้ จะไปก็ไปไม่ถึง หนูเอามาคุยกับโปรโมเตอร์ว่า ทำไมไม่เลิกไปเลยล่ะ เพราะคาแรกเตอร์ความเป็นตัวเราคือ เลิกคือเลิก แล้วเราค่อนข้างเด็กมาก เลยรู้สึกว่า เราสื่อสารตรงนี้ไม่เป็น มีนตรา อินทิรา ไม่ใช่คนครึ่งๆ กลางๆ ด้วย จะขวาก็ขวา จะซ้ายก็ซ้าย ทำอะไรต้องชัดเจน จน พี่อั๋น-ประพัฒน์ คูศิริวานิชกร มีน เรียก พ่ออั๋น เขาพยายามมาแบบ ชักแม่น้ำทั้ง 4,500 สาย (หัวเราะ) เขาบอกว่าเพลงนี้จะเป็นภาพลักษณ์ใหม่ สไตล์ดนตรีใหม่ ไม่ใช่แค่ของตัวเรา แต่มันเป็นของวงการลูกทุ่งเลย ที่สำคัญเพลงนี้ถูกเอาไปประชุมกับผู้ใหญ่หมดแล้วด้วย เป็นเรื่องเป็นราว เพราะเขาวางทุกอย่างหมดแล้ว แต่ศิลปินจะไม่ร้อง (หัวเราะ) จนแกยอมแพ้ไปเรียบร้อย ไปขอโทษ ขอโพยทุกคน ขอโทษพี่แบงค์ เหลือแค่เอาพานพุ่มไปกราบ คราวนี้ พ่ออั๋น ของหนู ไม่รู้ไปคุยอะไรมา หรือไปคุยมิติไหนไม่รู้ ผ่านไปไม่รู้กี่เดือน จนเขามาบอกว่า ขอได้ไหม เขาใช้คำนี้ เราก็แบบ โห เขาบอกว่า ขอได้ไหม ร้องเพลงนี้ให้หน่อย แล้วเอ็งจะเอาอะไร พี่ให้หมด หนูก็เลย อ่ะ โอเคได้ เดี๋ยวหนูไปปรับเปลี่ยนมายเซ็ตตัวเอง
คีย์เวิรด์สำคัญ
มีนตรา : คือพี่อั๋นบอกว่า เราไม่ต้องเอาตัวเราเข้าไปร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ เราแค่ถ่ายทอดในฐานะนักสื่อสารก็ได้ เรียกว่า เขามาปรับมุมมองของเราเป็นการใหญ่เลย หนูเลยได้มาคุยกับตัวเองด้วย ดูเนื้อเพลง แล้วมาคุยกับตัวเอง ผู้หญิงคนนี้เขาเป็นยังไงนะ ทำไมถึงเลิกไม่ได้ ก็มาทำความเข้าใจ ก่อนจะเข้าห้องหัด สุดท้ายก็ออกมาเป็นเพลง “ว่าว” อย่างที่ทุกคนเห็น ต้องขอบคุณทุกคนค่ะ
พูดถึงเพลงล่าสุด “กรวดน้ำตา” เล่าถึงเพลงนี้ให้ฟังหน่อย
มีนตรา : เพลงนี้หนูชอบเลย เพลงนี้หนูขอบคำ แต่ละเพลงมันมีคอนเซ็ปต์แตกต่างกันออกไป เพลงนี้เราชอบคำที่มีความรู้สึกว่าเหมือนเราอ่านกลอน อ่านอะไรที่ใช้คำสละสลวย ก็รู้สึกชอบจังเลยเพลงนี้ เป็นมุมมองของผู้หญิงที่โดนอะไรมาเยอะมาก แต่ก็คงรักมากจนสุดท้ายเลือกที่จะกรวดน้ำตาให้ ก็ได้พี่แจ๊ป The Richman Toy แล้วก็ได้ทีมมาช่วยดูเพลงนี้ให้
จากเส้นทางที่ผ่านมา เหมือนทุกอย่างจะกำหนดให้เป็น มีนตรา มาเป็นนักร้อง แต่ เคยมีโมเมนต์แบบสงสัยในความสามารถ ตัวเอง หรือ คิดจะเบนไปทำงานสายอื่นบ้างไหม
มีนตรา : เหมือนว่าเป้าหมายของหนูชัดด้วยค่ะ เรารู้ว่าท้ายที่สุดเราอยากเป็นอะไร เราอยากเป็นศิลปินที่ดี ที่มีคุณภาพ แล้วพอเป้าหมายตรงนั้นมันชัด หนูเลยรู้ว่าระหว่างทางเราต้องทำอะไร มันมีบ้างตามสัจธรรมของมนุษย์ที่เราอยากจะแวะข้างๆ ไปเล่นสนุก แต่ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายมันชัดว่าเราอยากเป็นศิลปินที่เก่ง ที่ดี แล้วก็มีคุณภาพ อาจจะโชคดีด้วยที่เราเป็นคนมีสติ มันอาจจะมีหลุด แต่ท้ายที่สุดมันจะกลับมาอยู่บนเส้นทางได้อย่างดี และไว ด้วยตัวเองเป็นหลัก และอีกสิ่งก็คือมีคนรอบข้างที่ดีมาก ถ้าใครไม่โอเค เรารู้ เราจะไม่ให้เขาอยู่ เพราะฉะนั้นคนที่อยู่กับเราตอนนี้ เป็นคนที่ดีกับเรามาก ก็เป็นคนที่คอยเตือนสติเราอยู่ตลอด