อีกหนึ่งนักร้องเสียงดีของวงการดนตรี เพียว เอกพันธ์ หรือ เพียว The Voice ที่หลายคนคุ้นชื่อ นักร้องในสไตล์ นีโอโซล ชาวร้อยเอ็ด กับเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจจากเด็กต่างจังหวัดที่โตมากับเพลงลูกทุ่ง หมอลำ สู่การเป็นนักร้องในสาย โซล แจ๊ซ ระดับประเทศ จุดเชื่อมต่อของการเดินทางนี้ มีหลากหลายเรื่องราว แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การ ”พลิกชีวิตด้วยการศึกษา” การเป็นนิสิตในรั้ว ม.รังสิต ดุริยางคศาสตร์ สาขาแจ๊ซ ได้หล่อหลอม เพียวขึ้นมา บทสัมภาษณ์นี้อาจจะมีประโยชน์ สำหรับใครที่อยากจะรู้ว่า “การเรียนดนตรีจะสร้างอาชีพได้อย่างไร” และกับการตั้งคำถามว่า “เรียนแจ๊ซแล้วได้อะไร” เราลองมาฟังเพียวเล่าให้ฟัง คุณอาจจะมีมุมมองใหม่ๆ กับการเรียนดนตรี ก็เป็นได้
ย้อนไปสมัยเด็ก ดนตรี กับ เพียว เริ่มต้นเจอกันได้อย่างไร
เพียว : ที่บ้านเพียวคุณแม่จะชอบฟังเพลง ชอบ พุ่มพวง ดวงจันทร์ หรืออย่าง อัสนี วสันต์ก็ชอบเปิดเพลง แล้วเราก็ได้ยินตั้งแต่เด็กๆ ก็ชอบร้องตาม สนุกๆ แบบเด็กๆ
เริ่มสนใจดนตรีมากขึ้นช่วงไหน
เพียว : พอเราเริ่มร้องได้ก็ไปประกวด พวกร้องทำนองเสนาะ คือ เราไม่ได้คิดถึงอาชีพนักร้องจริงจัง มีแค่แวบๆ แต่พอเราเริ่มอยู่มัธยมปลาย เราก็ไปถามครูที่ศูนย์ภาษาอังกฤษ บ้านโนน ที่นี่เป็นศูนย์ภาษาอังกฤษของคริสเตียนที่เปิดแถวร้อยเอ็ด แถวบ้านเพียว พี่ที่นั่นเขาแนะนำว่าถ้าชอบดนตรี ชอบร้องเพลง ลองเรียนดนตรี เรียน Voice ไหม ซึ่งเพียว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับดนตรี สอนร้องเพลงจริงจัง ก็เลยเริ่มศึกษา แล้วเราก็ได้เห็นในรายการทีวีเขามีแบบ นักศึกษามหาวิทยาลัยมาออกรายการร้องเพลงประสานเสียงจริงจัง ก็เลยรู้ว่าเออ เขามีการเรียนการสอนเรื่องนี้ด้วย ก็เลยตัดสินใจสอบตามมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนทางด้านดนตรี ก็เลยได้มาที่ ม.รังสิต
ที่บ้านสนับสนุนความฝันด้านดนตรีขนาดไหน
เพียว : ไม่สนับสนุนเลยค่ะ (หัวเราะ) คือต้องให้คุณครูที่สอนภาษาอังกฤษที่บ้านโนน ไปลองคุยกับคุณแม่ ซึ่งก็ต้องไปคุยหลายรอบว่า เราเรียนตรงนี้ได้นะ จบไปเป็นอาจารย์ เป็นครูได้ คือแม่หนูก็ทำนา เขาก็คงไม่เห็นภาพว่าเราจะไปเป็นนักร้องได้ยังไง แล้วเขาก็ฟังหมอลำ ลูกทุ่ง ก็ไม่ได้รู้จักเพลงแจ๊ซ สิ่งที่ทำให้แม่ปล่อยไปเรียนได้คือการที่เพียว สอบได้ทุนไปเรียนที่ ม.รังสิต แม่ก็เลยเข้าใจว่าเราไปในสายนี้ได้ ก็เลยได้เข้าเรียน
“ตอนนั้นมีวิชานึงที่ชื่อว่า Vocal Jazz Style ซึ่ง อ.เด่น อยู่ประเสริฐ เป็นคนสอน อาจารย์ให้ลองไปฝึกแกะ Scat Singing ออกมาเป็นโน้ต ซึ่งวิชานั้นทำให้เพียวอ่านโน้ตได้เร็วขึ้น แล้วก็เข้าใจเรื่องทางคอร์ดของแจ๊ซ”
แล้วเพียวรู้จักกับ แจ๊ซ หรือยัง
เพียว : เพียว รู้จักแรกๆ เลยก็ก็คือพี่เกล ดีล่า ตอนนั้นมีอัลบั้มแจ๊ซ ที่เป็นอัลบั้ม Cover เพลงป๊อบ เพลงของพี่เจ เจตริน เอามาทำเป็นแจ๊ซ เราไม่เคยได้ยินแบบนี้ก็เลยชอบ อยากศึกษาต่อ ก็เลยเริ่มหาเพลงแจ๊ซฟัง แต่ที่ทำให้เพียวรู้จัก แจ๊ซมากขึ้นก็คือ ครูที่ศูนย์ภาษาอังกฤษเขาฟังพวก Nina Simone ฟัง Natalie Cole อะไรแบบนี้ ซึ่งเวลาครูขับรถไปส่งเพียวที่บ้าน ก็จะเปิดเพลงพวกนี้ เราก็เลย อ๋อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง ทำให้เราได้ตรงส่วนนี้มา
ตอน เลือกเรียนสาขาวิชาดุริยางคศาสตร์ แขนงวิชาดนตรีแจ๊ซศึกษา ตอนนั้นสอบยากง่ายขนาดไหน
เพียว : ยาก (หัวเราะ) ต้องบอกแบบนี้เพียว เป็นนักร้องโบสถ์คริสเตียนตั้งแต่อายุ 14 เริ่มร้องเพลง Gospel เพราะฉะนั้นเรื่องการร้องเพลง การสอบปฏิบัติจะไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ แต่เรื่องทฤษฎีดนตรี เพียว ไม่ได้เลย อ่านโน้ตไม่เป็น (หัวเราะ) เพียว ต้องสอบทฤษฎีตั้ง 4 รอบ (หัวเราะ) ซึ่งต้องขอบคุณอาจารย์ที่ ม. รังสิต ที่ให้โอกาส ตอนนั้น พอเราต้องสอบทฤษฎีทางโบสถ์ที่อยู่ในเครือ ก็ส่งมือเปียโนจากโบสถ์ในกรุงเทพฯ มาสอนเพียวถึงที่ร้อยเอ็ดเลย แล้วพออายุ 17 เพียวก็ขึ้นมาเรียนร้องเพลงจริงจังที่กรุงเทพฯ คราวนี้พอเรามาเรียนทฤษฎีมันปวดหัวมาก (หัวเราะ) ไม่รู้เรื่องเลย ตอนแรกก็คิดว่าสอบไม่ได้แล้ว แต่ก็เข้ามาจนได้ (หัวเราะ) พูดตรงๆ เพียวพึ่งมาเข้าใจพวกทฤษฎีดนตรีต่างๆ ตอนเรียนจบนี่แหละ (หัวเราะ)
พอเข้ามา เรียนดนตรีที่ ม.รังสิต ตอนนั้น ทำให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างไรบ้าง
เพียว : ตอนแรกตั้งโจทย์แค่ว่าว่าอยากเรียนจบ เท่านั้นเลย เพียว รู้สึกแค่ว่าอยากร้องเพลงให้เก่งขึ้น เราเลยมาเริ่มเรียน ฝึกหนักที่ ม.รังสิต ตอนนั้นมีวิชานึงที่ชื่อว่า Vocal Jazz Style ซึ่ง อ.เด่น อยู่ประเสริฐ เป็นคนสอน อาจารย์ให้ลองไปฝึกแกะ Scat Singing ออกมาเป็นโน้ต ซึ่งวิชานั้นทำให้เพียวอ่านโน้ตได้เร็ว ขึ้น แล้วก็เข้าใจเรื่องทางคอร์ดของแจ๊ซ ตอนนั้น เพียวลองเขียนโน้ตเองเลย ใช้โปรแกรม Sibelius ช่วยทำให้ตอนนี้เพียว เข้าใจเรื่องทฤษฎีดนตรีหมดแล้ว ซึ่งมันเห็นผลนะ ถ้าเทียบกับตอนที่เพียวเข้ามาเรียนใหม่ๆ จังหวะเราดีขึ้น แต่ก่อน เพียวจะร้องเพลงไม่ค่อย Swing เราไม่รู้เรื่องการร้องเลย ไม่เข้าใจ แต่พอเราเรียนวิชานี้ ทำให้เรารู้ว่าเราต้อง Swing ยังไง ต้องร้องให้เป็น Groove ยังไง ร้อง Ballad ยังไงให้ Phasing สวยงาม แล้วตอนนั้น มีวิชารวมวง ก็ต้องร้องกับวง เราเลยรู้เรื่องจังหวะมากกว่าเดิม แล้วก็มีวิชา Chorus ซึ่งเพียว ประทับใจมาก เพราะว่าพอเราไปเรียนวิชานี้ ซึ่งจะมีคนเรียนใน Class 20-30 คนทำให้เราได้เรียน Harmony แล้วเราก็จะเข้าใจเสียงประสานที่ออกมา ได้ยินเสียงที่ฟังยากๆ ตอนเรียน ร้องคอรัส ได้ฝึกหู ซึ่งก็ช่วยเพียวได้เยอะมาก แต่ก็มีวิชาที่ยากอยู่เหมือนกัน อย่างพวกทฤษฎี Jazz มีวิชานึงชื่อ Jazz Arranging เรียนกับ อ.พลังพล ทรงไพบูลย์ เขาให้เราเขียนโน้ตให้ไลน์เครื่องเป่า ต้องอะเรนจ์ใหม่ ตอนนั้นบ่ฮู้เรื่อง (หัวเราะ) เราก็ได้รู้ทฤษฎีอย่าง Drop 2 หรือ Drop 4 แต่ใน Class เราก็มีเพื่อนๆ ที่เป็นนักดนตรีช่วย อย่างเพียว เรียนตรงนี้ไม่ผ่าน จำได้ว่ามีเรื่อง Avoid Note ซึ่งเพียว ติดอยู่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร ก็ได้ คนช่วยสอน จนเรามารู้ว่านี่คือโน้ตที่ห้ามเล่นในคอร์ดแบบแจ๊ซนะ อะไรแบบนั้น ซึ่งช่วยเพียวได้มากๆ เลย
การเรียน แจ๊ซ เป็นส่วนสำคัญ ช่วยผลักดันในการหา Identity ของตัวเองหรือเปล่า
เพียว : ใช่ค่ะ มีส่วนสำคัญมากเลย เพราะดนตรีแจ๊ซ สามารถแตกแขนงไปได้หลายแนวทางมากๆ อย่างของ เพียวจะไปทางฝั่ง นีโอโซล ไปทางฝั่ง อาร์แอนด์บี ซึ่งเทคนิคต่างๆ เช่นการ Swing หรือ Subdivision จังหวะในการร้องต่างๆ ก็ได้มาจากการเรียนดนตรีแจ๊ซทั้งสิ้น ซึ่งทุกอย่างได้ใช้ในการร้องเพลงจริงทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดช่วยทำให้เพียว เก่งขึ้น และหาตัวเองเจอได้จริงๆ
คราวนี้การใช้ชีวิตนอกห้องเรียนในฐานะนักศึกษาดนตรีที่ ม.รังสิตเป็นยังไงบ้าง
เพียว : ก็อยู่นอกห้องเรียนเราก็คุยเรื่องอื่นนอกจากดนตรีไปเลย (หัวเราะ) แต่พอเรามาเจอเพื่อนที่เรียนดนตรีด้วยมันก็เป็นการส่งแรงบันดาลใจให้กัน อย่างมีเพื่อนเพียวที่สนิทกัน เขาก็จะเอาเพลงแจ๊ซลึกๆ มาลองให้เราฟัง เราก็ได้รู้จักโลกดนตรีอีกแบบนึง มันเก๋ดีเหมือนกัน คราวนี้ส่วนตัวเพียวเอง ตอนปี หนึ่ง เพียวเรียนได้เกรด 3.5 แต่พอปี 2 เพียวเริ่มไปประกวด KPN เริ่มออกไปทำงานข้างนอก เริ่มออกไปร้องเพลงกลางคืนกับเพื่อนได้คืนละ 500-600 วงแรกชื่อเดจาวู เพียวได้เงินจากการเล่นกลางคืนครั้งแรกที่ร้าน Play Yard ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในการเล่นกลางคืนเท่าไหร่ แต่เราก็ได้เล่นที่นี่ยาวๆ นะ จนเริ่มไปออดิชั่นที่อื่นๆ อย่างร้าน เรา ศรีนครินทร์ ก็ไปนะเล่นอยู่นานด้วย (หัวเราะ) จนเราต้องขอลาออกไปประกวด The Voice ก็หลังจากนั้นไปเล่นร้าน Saxophone ทำวงไปเล่นโรงแรม เพียวเคยเล่นเยอะสุดคือ 8 เบรก เบรกละ 45 นาที เช้า 3 หัวค่ำ รอบดึกอีก 5 แล้วเราก็เป็นคนปาร์ตี้ด้วย ก็ฉ่ำมาก ก็เมาไปเต้นยั่วอาจารย์เด่น (หัวเราะ) อาจารย์คงรู้ฤทธิ์เดชดี (หัวเราะ) ซึ่งมีอยู่ครั้งนึง เราไปร้องในงานภายในมหาวิทยาลัย เป็นงานใหญ่ แล้วแบบลืมเนื้อเพลง ร้องไม่ได้ ลงมาโดนดุ จนทำให้เราคิดได้ว่าถ้าเราจะทำงานอาชีพนี้ เราต้องไม่ทำแบบนี้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนเลย ก็เลิกดื่มเหล้า แล้วฝึกร้องเพลงจริงจัง หาเรียนร้องเพลงเสริม ซึ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ทำให้เรากลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้
จนช่วงที่เพียวเริ่มเป็นที่รู้จักจาก เวทีประกวดทั้ง KPN ทั้ง The Voice ได้ทำงานดนตรีจริงจังชีวิตต่างจากตอนเรียนขนาดไหน
เพียว : ซึ่งช่วงนั้นเพียว ก็ยังเรียนไม่จบนะ คือเราทำงานไปเรียนไป จนเริ่มโดนตัดทุน คือต้องยอมรับว่าเกรดเราลดลง จาก 3.5 มาเป็น 2.7-2.8 ก็โดนตัดทุน (หัวเราะ) ก็ต้องเปลี่ยนไปขอทุนศิลปินก็ช่วยได้บ้าง (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่า เราก็อุตส่าห์ไปคุยกับแม่ว่าอยากมาเรียนดนตรี ก็ต้องเรียนให้จบ ก็เลยสู้จนจบ แล้วตอนนั้นแม่ก็ส่งเงินให้เพียวนะ มาใช้ค่ากิน ค่าอะไร แต่บ้านก็ยังเป็นหนี้อยู่ จนเราประกวดพวก KPN ประกวด The Voice แล้วได้ทำงานก็ช่วยปลดหนี้ที่บ้านได้
พอเริ่มทำงานดนตรีที่จริงจังขึ้น Scale งานใหญ่ขึ้น มันมีปัญหามากขึ้น เพียว มีแนวทางในการพัฒนาเรื่องของ Soft Skill เช่นการคุยกับผู้คน เรื่องของการประสานงานต่างๆ กับ แนวทางการฝึกเพิ่มทักษะเฉพาะตัวอย่างไร
เพียว : เพียวมีวิธีคิดง่ายๆ ว่า ทำยังไงก็ได้ที่เขาจะไม่เอาเราออก (หัวเราะ) ก็ต้องทำไป อย่างเช่นเวลาที่ผู้ใหญ่เตือนที่บางเรื่องมันจริงก็ต้องรับฟัง การเล่นกลางคืนทำให้เพียว พัฒนาเรื่องของการเอ็นเตอร์เทน เราได้เรียนรู้ว่าการไปร้องกลางคืน แล้วเราร้องไปเรื่อยๆ ไม่พูดเลย มันจะประหลาดมากๆ ก็เลยเริ่มฝึก เอ็นเตอร์เทน อีกอย่างนึงที่ช่วยก็คือ เพียวได้เล่นกลางคืนกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนเพียวเป็นพวก Extrovert ส่วนเราเป็น Introvert (หัวเราะ) ซี่งพอเราอยู่กับเขาเราก็ได้ซึมซับมามากขึ้น ซึ่งพอเราทำบ่อยๆ เราก็สามารถก้าวข้ามกำแพงนั้นไปได้ ทุกคืนสิ่งที่ต้องทำบนเวทีก็คือ ต้องสวัสดีแล้วก็คุยกับลูกค้า เพื่อเอ็นเตอร์เทนทำให้เป็นอัตโนมัติ จนเราชิน ซึ่งเพียวเองก็เคยโดนว่าเหมือนกันว่าทำไมไม่พูดเลย ตอนเล่นกลาง เราก็โดนว่ามา ก็ได้เพื่อนมาเตือนสติ แล้วก็ต้องลองไปดูคนอื่น พี่ๆ นักร้องคนอื่น เราก็จะได้เห็นวิธีการเอ็นเตอร์เทน ว่าทำยังไงจะทำให้สนุก
“เราต้องถามตัวเองว่า อยากเป็นอะไร อยากเป็นนักร้องแบบไหน บางทีสกิลเยอะก็อาจจะไม่ได้จำเป็นกับการเป็นนักร้องทุกวันนี้ แต่ที่สำคัญคือหาความเป็นตัวของตัวเองให้ได้”
อยากให้เพียว แนะแนวทางให้ เด็กใหม่ๆ ที่อยาก พัฒนาทั้ง 2 ด้านทักษะดนตรี และการเข้าถึงผู้คน สักนิดนึง
เพียว : จริงๆ เด็กรุ่นใหม่ทำเรื่องพวกนี้ได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่เพียวอยากเสริมก็คือ อยากให้ฟังเพลงเยอะๆ แล้วก็หมั่นปรับปรุงทักษะตัวเอง เพียวเชื่อว่ามันจะทำให้เราไปได้แบบไม่มีวันจบ
จากวันแรกถึงวันนี้ เพียว มี วิธีคิด หรือแนวทางการตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อผลักดันให้ตัวเองยืนอยู่บนเส้นทางอาชีพนี้ อย่างไร
เพียว : เราต้องถามตัวเองว่า อยากเป็นอะไร อยากเป็นนักร้องแบบไหน บางทีสกิลเยอะก็อาจจะไม่ได้จำเป็นกับการเป็นนักร้องทุกวันนี้ แต่ที่สำคัญคือหาความเป็นตัวของตัวเองให้ได้ มันมีความต่างกันของนักร้องที่เป็น Vocalist ที่ใช้เทคนิคต่างๆ ในการร้องเพลง กับคนที่ร้องมาแค่ประโยคเดียวแต่โคตรโดนใจเลยที่เป็น Artist ซึ่งส่วนตัวเพียวต้องการจะเป็นทั้ง 2 อย่าง แต่อาจจะเอนเอียงไปทาง Vocalist บ้าง แต่การเป็นนักร้องสำคัญที่สุดคือการเล่าเรื่องในเพลงให้ได้
ฝากผลงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพียว : ตอนนี้เพียว ตั้งเป้าหมายว่า อยากจะเป็นศิลปินที่แต่งเพลงเองได้ ก็ติดตามที่ช่อง Youtube ของเพียว ก็อาจจะได้ฟัง Single ของเพียว สักเพลง แล้วก็ทุกปี ม.รังสิตจะมีงานปฐมนิเทศใหญ่ ซึ่งปีนี้เพียวก็จะได้ไปด้วย แล้วคงได้เจอกัน