“ซัดฟาง” การกลับมาอีกครั้งด้วยตัวตนแบบ “โดม ปกรณ์ ลัม”
โดม : เพลงนี้ผมตัดสินใจทำในช่วง Covid ที่ผ่านมา ผมมีเพลงใน Library ของตัวเองสต็อกอยู่ตั้งแต่ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพอไปดูก็รู้สึกว่า เฮ้ย! เรามีเพลงอยู่ตั้งเกินครึ่งทาง ทำไมไม่ทำอัลบั้ม เรามีเวลาเหลือเฟือเลย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร เลยขึ้นเพลงใหม่โดยเริ่มจาก “ซัดฟาง” เอามาทำเพื่อนำไปสู่อัลบั้มใหม่ เพลงนี้ตอนแรกมีแค่เมโลดี้ของพี่ ต้าร์ Cyndi Seui ซึ่งผมชอบ เพราะมันฟังดูกวนดี ก็เลยเริ่มทำดนตรีกันขึ้นมา ผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันมี Potential บางอย่าง ที่จะกลายเป็น Electronic Rock ได้ อีกจุดนึงผมร้องเพลงละคร เล่นละคร ร้องเพลงช้ามาตลอด 5 ปี จนคนจำว่าผมเป็นภาพนั้นไปก็เลยอยากได้เพลงเร็ว แล้วก็เป็นเพลงที่เล่าคอนเทนท์ที่เราอยากจะพูด ในเดโม่มันจะร้องเป็นแบบเมโลดี้ประมาณนึงมา เราได้ยินคำว่า แซ่ๆ แฟ่ๆ อะไรแบบนี้ ผมเลยตั้งชื่อว่าซัดฟางซะเลย (หัวเราะ) เพลงนี้ผมอยากจะพูดเรื่องของสังคม คือด้วยวัยของผมจะกลับมา ก็อยากจะพูดอะไรที่มันบูรณการสังคมได้ ไม่ใช่ลอยๆ ไปเป็นน้ำ เป็นอากาศ ซึ่งผมว่าเพลงนี้น่าจะเป็นประโยชน์อะไรได้บ้าง อีกอย่างนึงคือเราควบคุมตัวเองได้มากขึ้น ไม่ได้ฉุนเฉียวแบบตอนเราวัยรุ่น เราเข้าใจว่าโลกมีหลายๆ ด้าน ในยุคที่มี Fake News เต็มไปหมด ในยุคที่เราอยากจะเล่นงานใคร จะปั่นอะไร ปั่นสังคมไหนๆ เราสามารถทำได้หมด จะบูลลี่ใครก็ไวไปหมด ถ้าสิ่งเหล่านี้มันเป็นฟาง เราซัดมันไปเรื่อยๆ มันแย่นะ มันไม่จรรโลงใจ แล้วจะฉุดเราไปเรื่อยๆ ยิ่งนานไปเราจะยิ่งแยกไม่ออกอันไหนฟาง อันไหนฟาย (หัวเราะ) ก็จะงงไปหมด จริงๆ มันก็เป็นเพลงแบบแดกดันนิดนึงนั่นแหละ เพลงนี้ยากที่เนื้อร้อง ผมบอกพี่เดช (คงเดช จาตุรัตน์รัศมี) ที่เป็นคนแต่งเพลงคู่ใจว่าอยากได้เพลงแบบนี้ แล้วแกเป็นคนที่ร้องคำว่าซัดฟางขึ้นมาเลย (หัวเราะ) ถ้าใครรู้จักวงสี่เต่าเธอ ก็จะพอรู้ว่าแกจะมีคำอะไรที่มันดูกบฏๆ แบบนี้อยู่ แกมีความเป็นพั้งก์ ซึ่งพอได้คีย์เวิร์ดมาแกมายาวเลย เรื่องสังคม ศีลธรรม ละคร ซึ่งดูเหมือนจะไม่เชื่อมโยงกันแต่แก่นของมันเหมือนกันหมด เพลงนี้แต่งดุเดือดดี ซึ่งผมก็มีบางคำที่ผมรีเควสเลย ว่าต้องมี เช่น ซัดฟาง ฟาย ผมไม่เอาคำว่าควายด้วยนะ ผมว่าฟายดูสะใจกว่า (หัวเราะ) อะไรแบบนี้ครับ ให้สะใจปากมากๆ
ดนตรีในแบบ Real ปกรณ์ ลัม
โดม : โจทย์ของดนตรีเพลงนี้คือ 90-2000 Electronic ให้ฟิลเป็นแบบ Prodigy มีความเป็น Chemical Brothers เพราะผมโตจากยุคนั้น ผมเอา Sampler พวก Loop จากยุคเก่าๆ มาใช้เลย เอา Sampler จากแผ่นเสียงมาวาง พอมาฟัง ก็ต้องมีกีตาร์ อย่างที่บอกผมไม่ได้โตมากับยุค EDM ที่มันมีความเป็น Dance Floor Music มาก ผมได้รับแรงบันดาลใจจากวงแบบ Depeche Mode, Duran Duran, Joy Division ยุคที่เราโตแล้วฟังมามันต้องมีกีตาร์ แต่มาตอนนี้ เราฟัง Don Broco เราฟัง Bring Me The Horizon เพลงมันก็ต้องมีกีตาร์หนักๆ เพลงก็เลยผสมกันระหว่างความเป็นร็อคซาวด์แบบกีตาร์แบนด์ กับ Rhythm ที่มันเป็น Drum Machine แล้วโหยหวนด้วยโซโล่ Synth อะไรแบบนี้ครับ ซึ่งเป็นทรงเพลงที่ผมอยากทำมากๆ ในยุคะนึง แต่ก็กลัวคนจะไม่เข้าใจ พอมายุคนี้ไม่มีขอบเขตแล้ว เพลงนี้สิ่งที่ยากที่สุดเป็นขั้นตอนการมิกซ์ดาวน์ เพราะมันมีเสียง Bass Synth ที่ใหญ่มาก คือมันยากตรงที่จะทำยังไงให้ใหญ่และกระชับ ก็เลยยาก กีตาร์ในเพลงนี้ผมแทบไม่ Edit เลยเหมือนเราฟัง Foo Fighters กีตาร์แบบดิบแต่ได้อารมณ์มากกว่า เราก็อยากได้แบบนั้นซึ่งพอทำออกมาเสร็จผมฟังแล้วก็ชอบมาก ผมตั้งใจในทุกขั้นตอนรวมไปถึง MV คอนเทนท์ใน MV ก็ลุยเองทุกอย่าง จนได้เกินกว่าที่คิดไว้มากเลย
อัลบั้มที่จะเกิดขึ้น
โดม : ถ้าจากเพลงซัดฟาง เพลงนี้ก็จะสามารถบอกทิศทางคร่าวๆ ได้ อัลบั้มนี้ผมอยากใช้ชื่ออัลบั้มว่า 6 Was 9 ซึ่งผมได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงชื่อนี้ของ Jimi Hendrix แต่ผมไม่ได้พูดถึงคอนเทนท์ในเพลงนั้นนะเราแค่รู้สึกว่าเลข 6 กับ 9 มันต่างกันที่กลับหัวกลับหาง มันเหมือนหยินกับหยางเหมือนกัน แล้วผู้ชายวัยกลางคนแบบผม มันเริ่มจะเข้าใจว่าชีวิตมันมีขึ้นและลง เพราะเราผ่านจุดที่ขึ้นและลงมาแล้ว มันดูเป็นสัจธรรมนิดนึง เพราะฉะนั้นเพลงอัลบั้มนี้มันก็อาจจะไม่ได้เหมือนซัดฟางทั้งหมดแต่เราพูดในมุมที่เข้าใจมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่รักแบบหญิงชายขนาดนั้น ยังไงก็ตามเพลงที่ 2 ที่จะตามออกมาก็ยังมีความเป็นเพลงแบบซัดฟางอยู่ แต่มันก็ไม่ได้เครียดแบบนี้ทุกเพลงนะ แต่หลักๆ ก็จะเป็นฐานของพวกดนตรีที่มี Drum Machine มี Synth เป็นพวก Industrial หน่อย
ความหลงใหลใน Electronic Music
โดม : ส่วนนึงผมต้องขอบคุณคุณแม่ แล้วก็เพื่อนอีกคนชื่อออย ที่รู้จักกันตั้งแต่มัธยม เรื่องตลกคือออยมันเป็นเด็กดื้อ มันถูกส่งไปเรียนนิวซีแลนด์ตั้งแต่จบ ม.3 คราวนี้ช่วงที่ผมอยู่ ม.5 ออย มันจะกลับมาเมืองไทย แต่มันกลับมาก่อนอาทิตย์นึง ไม่บอกที่บ้าน เลยมาขออยู่บ้านผม (หัวเราะ) คราวนี้มันแบก Turntable มา แบก Mixer Gemini รุ่นเก่าๆ เลย แล้วมี Vinyl มาด้วย แล้วตอนนั้นมันเปิดเพลงแบบ Techno Dance มันเปิดโลกเรามาก ผมเป็นเด็กสเก็ตบอร์ด ก็อยู่กับพี่โจ้ โจอี้บอย เราก็จะชอบพวก Hip Hop สาย West Coast G Funk อะไรแบบนี้ ซึ่งพวกเพลง Dance มันห่างตัวเรามาก เพราะพวกนี้มันจะเปิดในแบบออสเตรเลีย ยุโรป พอฟังเราก็รู้สึกชอบ จนเพื่อนกลับไปอยู่เมืองนอก ก็เลยไปขอคุณแม่ซื้อ รู้ราคาตกใจเลย 60,000 สมัยก่อนนะ ผมก็รอไป 2 เดือน จนถึงวันเกิด แม่ผมก็ซื้อให้ คืออันนี้ผมต้องขอบคุณคุณแม่ผมจริงๆ ที่สนับสนุน แม้ว่าช่วงปีแรกจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร นอกจากสร้างเสียงดังรบกวนอย่างเดียว (หัวเราะ) ฝึกจนลงตัวอยู่ 1 ปี ผมก็ไปลงสนามไปเป็น Club DJ ก่อนที่จะมาเป็นศิลปินฝึกหัดที่ RS ด้วย ตอนนั้นผมเดินสายเปิดเพลงก่อนเจอแมวมอง RS ซึ่งพอเราเข้าไปเซ็นกับ RS เขาก็จะถามเราว่าเราเป็นคนยังไง คิดอะไรยังไง พอมาถึงจุดที่ว่าชอบฟังเพลงอะไร ซึ่งที่เราตอบก็แม่แบบ Fat Boy Slim, Prodigy ซึ่งพี่ๆ ทีมโปรดิวเซอร์เขาก็บอกว่า “โดม แบบนี้มันขายยาก” ซึ่งเอาจริงๆ ตอนนั้นพี่ๆ ทีมโปรดิวเซอร์ ก็พยายามมากนะครับ ซึ่งผมก็ต้องขอขอบคุณเหมือนกัน เพราะเขาเอาความเป็น Teen Pop Idol ยุคนั้น มาผสมกับความเป็นซาวด์ดีไซน์ ก็กลายเป็นอัลบั้มแรกของผมออกมา ซึ่งผมดีใจที่มันเป็นก้าวแรกของผม และทำให้ผมรู้สึกว่าเราชอบทางนี้จริงๆ เราได้เรียนรู้ตรงนี้ ผมไม่ได้ไปโรงเรียนเลย ก็กลายเป็นมีเพื่อนเป็นโปรดิวเซอร์ (หัวเราะ) พี่ผมอยากทำตรงนี้ ตรงนั้น ก็ได้ศึกษาการทำเบื้องหลังตั้งแต่ตอนนั้นเลย แล้วยุคก่อนทุกอย่างมันใหม่มาก ผมจำได้เห็นเครื่องทำ Sampler ที่อัดเสียงอะไรเข้าไปก็ได้ ผมก็ตาลุกแล้ว เพราะเรารู้จักแค่เครื่องแบบเปียโน กีตาร์ พอเราเห็นว่า Sampler มันทำอะไรได้เราก็โอ้โห ว้าว ซึ่งมันก็ดึงดูดเราให้เข้าสู่โลกของงานโปรดักชั่นเรื่อยๆ
โดมผู้มาก่อนกาล
โดม : ผมดีใจนะที่ฐานของดนตรีโลกมันวนมาที่ Electronic Music กว่าจะมาก็ 20 ปีเหมือนกัน คือทุกอย่างมันไปในทางที่ดี ถึงแม้อย่าง EDM มันจะมีความ Commercial มากๆ แต่มันก็คือพาร์ทนึงของ Electronic Music ร็อคเองก็มีซาวด์แบบ Electronic Music แทบทุกวง ผมว่าพลังงานของทั้งดนตรีร็อค หรือแม้แต่ Electronic Music มันเชื่อมโยงกัน ความดุดันของกีตาร์ หรือความทรงพลังของ Drum Machine ที่มันพาคนทั้งสนามกีฬาไปได้ ผมว่าที่ 2 แนวนี้มาเจอกันมันเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว เพียงแต่จะมาบรรจบกันก็นานนิดนึง
วันที่เครื่องไม้เครื่องมือพร้อมสำหรับ Electronic Music
โดม : จริงๆ ผมก็ทั้งเสียดาย และไม่เสียดาย พอเราต้องอยู่กับเพลงนานๆ สมัยก่อนกว่าเราจะทำเพลงได้ทีนึงเราต้องอยู่กับเพลงนานมาก กว่าเราจะ Samp กว่าเราจะโหลด Loop มาได้ แต่พอเราอยู่นานความพิถีพิถันก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราเห็นข้อบกพร่องในชิ้นงานของเราก็มีเวลาแก้ไข ไม่ต้องรีบ สมัยนี้รอบในการปล่อยเพลงหรือทุกอย่างมันสั้นไปหมด ซึ่งข้อดีมันมีตรงที่เราได้ศิลปินใหม่ๆ ที่มีคุณภาพเกิด ค่าโปรดักชั่นที่ถูกลง แต่ก่อนกว่าจะได้อัดแต่ละที ใช้ทุนสูง แค่ค่าห้องอัดก็หลายแสน วันนี้ Laptop ตัวเดียวทำ Master ได้แล้ว ผมรู้สึกว่านี่คือข้อดีของยุคนี้ ซึ่งถ้าเราผนวกเอาข้อดีของทั้ง 2 ยุคมาเจอกันได้ มันก็จะดีที่สุด ส่วนตัวผมทำงานแบบ Hybrid ผมโหลดพวก Plug In อะไรมาใช้ตลอด แต่อะไรที่เป็นข้อดีของ Analog ก็ยังใช้อยู่ แล้วว่ากันตามจริงพวก Analog Synth หรือ Compressor พวก Plugin มันก็แทนไม่ได้จริงๆ แต่เรื่องการ EQ ใน Plug In การ Recall ได้ ผมว่าอันนี้คือข้อดีของยุคนี้
วงของ โดม ปกรณ์ ลัม
โดม : ตอนนี้ผมก็กำลังเซ็ตวงอยู่คือเล่นเป็นแนวนี่แต่ไม่มีคอมพิวเตอร์เลย มันเป็นเทรนด์ที่เรียกว่ DAWless อาจจะต้องมี Synth สักตัวเป็น Master Clock แล้วเราก็ Link Midi กัน เพื่อลากวงไป ซึ่งมันจะสนุกมากเพราะเราสามารถกำหนดโชว์ของเราได้ว่าจะให้เริ่มให้หยุดตรงไหน เพราะถ้าเป็นคอมฯ มันก็จะโปรแกรมแบบนั้นยาวๆ เลย มันไม่ยืดหยุ่น อีกอย่างนึงคือทีม Visual ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวนี้ก็ต้องมี ยิ่งผมไปดู Nine Inch Nails มาด้วย หลอนตาแตกเลย (หัวเราะ) อยากทำขึ้นมาทีเดียวก็ต้องเซ็ตกันสำหรับผลงานใหม่ที่จะเกิดขึ้น อะไรที่ชอบผมใส่อัลบั้มนี้หมดแน่นอน ผมแค่เห็นคนชอบเพลงอย่างซัดฟาง ผมก็ดีใจมากแล้ว ยังไงก็ติดตามผมในทุกช่องทางได้นะครับ