“ลูกเศรษฐี” คำๆ นี้ในชีวิตจริง มันอาจจะบ่งบอกถึงสภาพชีวิตที่ไม่ลำบากของใครสักคน จริงๆ มันไม่น่าจะเป็นคำดูถูกได้เลย แต่ในแง่ของงานศิลปะ “ลูกเศรษฐี” กลายเป็นสถานะของเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ ในการประสบความสำเร็จ ต้นทุนทางสังคมที่ถูกปรามาส “ใช่ซิ มึงรวยนี่หว่า” คนพูดไม่เจ็บ แต่คนฟังรู้สึกว่านั่นคือแผลในใจของใครหลายคน “ป๊อก Mindset” (ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์) ทายาทเครือ Central คนนี้ก็เช่นเดียวกัน ความชอบในสไตล์ Rap, Hip Hop วัฒนธรรมการมีรอยสัก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขากลายสภาพเป็น “เด็กดื้อ” ของตระกูลจิราธิวัฒน์ ซึ่งเขาก็พยายามพิสูจน์ให้คนรอบตัวรู้ว่าสิ่งที่เขารัก มันมาจากจิตใจที่มุ่งมั่นจริงๆ ไม่ใช่แค่อยู่ๆ ก็ชอบ อยู่ๆ ก็เบื่อ และในที่สุดเขาก็มีผลงานที่ดีพอที่จะพิสูจน์ความมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินอย่างเพลง “วิบวับ” ซึ่งแลกมาด้วยอะไรหลายอย่าง และในเส้นทางดนตรีที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เราจะมาคุยกับหนุ่มคนในนี้ในฐานะศิลปินที่แตกต่างจากสื่ออื่นแน่ๆ และเรื่องราวบางอย่างที่เราจะรู้ที่นี่เป็นที่แรก และครั้งแรก ป๊อก Mindset
รู้จัก ป๊อก Mindset
ป๊อก : เอาจริงๆ ผมก็เหมือนเด็กไทยทั่วไปที่ชอบดนตรีในยุคที่ผมโตนะ อย่างยุคผมก็จะเป็น Y Not 7, Fly วงรุ่นนั้นเลย แต่ผมจะไม่ได้ทำวงดนตรี ผมว่าผมเป็นเด็กขี้อายประมาณนึงเลยล่ะ ก็เลยรู้สึกว่าแค่พอเล่นได้เท่ๆ ก็พอแล้ว โอเคเวลาที่โรงเรียนมีการแสดงผมจะมีส่วนร่วมอยู่บ่อยๆ อย่างร้องลิปซิงค์ แสดงบนเวทีอะไรแบบนี้ผมก็ว่ามากสำหรับผมแล้วนะ ก็ไม่ได้อยากเป็นศิลปินอะไร คนที่มีอิทธิพลกับผมมากคือ Travis Barker คือเท่มาก เก่งมาก ชอบมาตลอด ตอนก่อนไปเรียนเมืองนอกผมก็ยังฟัง Limp Bizkit อะไรแบบนี้อยู่แต่พอไปเรียนอเมริกา คราวนี้ Hip Hop เลย
จุดเริ่มต้นของความรักใน Hip Hop
ป๊อก : ผมว่าฐานการฟังเพลงของผมจริงๆ คือชอบฟังเพลง เพราะมากกว่าคอร์ด เมโลดี้เพราะๆ พอเราไปอยู่ที่อเมริกา ช่วงนั้น Hip Hop ก็กลายเป็นเมนสตรีมแล้ว คนแรกที่ผมฟังคือ Nelly จนถึงวันนี้ที่ผมเป็นจริงๆ ก็ได้มาจาก Nelly นี่แหละ เพราะเขาจะเป็นแร็ปเมโลดี้ เพลงผมเลยเป็นประมาณนี้ ส่วนถ้าเป็นแร็ปแก๊งผมเฉยๆ ก็ฟังอย่าง 2Pac ซึ่งจริงๆ ผมอยู่ฝั่ง East Coast นะ น่าจะฟัง Biggy แต่ผมชอบ 2Pac มากกว่า (หัวเราะ) Dr.Dre, Xzibit ผมจะทันพวกรุ่นนี้แหละ Snoop Dog ก็ชอบ หลังจากนั้นก็ฟังเพลงไทยก็ต้องเป็น Thaitanium ซึ่งเป็นช่วงที่อิน ถึงขนาดเริ่มไปซื้ออุปกรณ์มาทำเพลง ผมไปร้าน Guitar Center ก็ซื้อพวก Interface M Audio, Mini Keyboard อะไรแบบนี้ ตอนนั้นผมใช้ Garage Band ทำเพลงก็อาศัยที่พอเล่นดนตรีได้บ้างก็ทำไปเรื่อย ถ้าจะให้ตรงที่สุดคือผมอินกับการทำเพลง แล้วให้เพื่อนผิวสีที่อยู่ในหอเดียวกับผมมาแร็ปในบีทที่ผมทำ เพราะว่าโรงเรียนที่ผมอยู่เป็นโรงเรียนประจำ จะมี 2 ประเภทที่อยู่หอคือนักเรียนต่างชาติที่ไม่ได้กลับประเทศ กับพวกนักกีฬา นักบาสฯ ที่เป็นผิวสี พวกนี้จะติดอยู่กับผม พอเขาเห็นผมทำพวกบีทแบบปิดเทอมมันไม่มีคนอยู่ ผมก็เปิดเสียงดัง พวกนี้มาเห็นก็แบบเฮ้ย!! ยู ทำอะไรวะ พวกนี้ก็เลยมาร้องแร็ป แล้วก็กลายเป็นเพื่อนกัน ซึ่งผมก็เริ่มอยากร้องแร็ปเองก็ช่วงนี้แหละ
AKA Mindset
ป๊อก : จริงๆ ของผมเนี่ยไม่ได้คิดว่าจะต้องมี AKA อะไรขนาดนั้นนะ ที่ผมมี AKA ก็มาจากตอนนั้นมันก็เริ่มมีคนที่ได้ยินเพลงของเรา โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจด้วยนะ คือเราก็ทำไปแล้วกลับมาเมืองไทยก็เจอคนเคยฟังเพลงเราด้วย มันเหมือนกับเพื่อนของเพื่อนส่งต่อกัน ผมยังงงเลย เฮ้ย! เคยฟังได้ไงวะ (หัวเราะ) พอเริ่มมีอย่างนี้มากขึ้นมันก็ควรต้องมี AKA แล้วล่ะ คือผมไม่อยากให้คนรู้ แล้วก็กลัวคนไม่รับก็เลยคิดว่างั้นไม่ใช้ชื่อป๊อก ตั้งชื่อใหม่ไปเลยดีกว่า มิวสิควีดีโอเพลงแรกในชีวิตยังไม่มีหน้าผมออกเลย คราวนี้เรื่องชื่อ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเป็นคนจัดแจงทุกอย่างให้กับเพื่อนๆ ในกลุ่ม อย่างไปเที่ยวไหนผมจะเป็นคนจัดการ วางแผนทั้งหมด เพื่อนๆ ผมจะเรียกผมว่า Mindset อะไรๆ ก็บอก Mindset มันจัดการหมดแล้ว ได้ยินคำนี้มานาน เหมือนเป็นตัวแทนผมไปแล้ว ก็เลยคิดว่าเอองั้นชี่อนี้ก็ได้ เพราะผมไม่ได้ตั้งเอง มีคนเรียกผมแบบนี้แล้วก็ Represent ความเป็นตัวตนเราได้ดี เลยใช้ชื่อนี้
การเข้าสู่วงการแบบตกกระไดพลอยโจน
ป๊อก : ผมไม่เคยมีความมั่นใจเลยที่จะเป็นศิลปิน ความเข้าใจผมคือการเป็นศิลปินมีผลงานเพลงมันเรื่องใหญ่ ต้องมีค่าย มีทีม คุณภาพงานเสียงของผมก็ไม่ใช่ดีด้วย แล้วยุคนั้นเป็นยุคตั้งไข่ Hip Hop เฉพาะกลุ่มมากๆ แต่ที่สุดผมก็ปล่อยเพลง “ชื่ออะไร” ลง YouTube เพราะเพื่อนๆ ผมก็บอกว่า มึงก็ปล่อยๆ ไป ดังไม่ดังช่างแม่ง ไม่เห็นเสียหาย เพื่อนยุนั่นแหละ ผมเลยปล่อย พอมันมีฟีดแบ๊ค ผมก็แอบดีใจนะ พอมีคนชอบเราก็รู้สึกว่าอยากทำอีก แสดงว่ามันต้องมีคนชอบในระดับนึงล่ะ เริ่มมีกำลังใจ มันเริ่มมั่นใจขึ้นนิดนึง (ยิ้ม)
จุดเริ่มของชีวิตศิลปิน
ป๊อก : เพลงที่ 2 ของผมคือ Tat It Up เป็นช่วงที่ผมอินเรื่องรอยสัก เลยชวนพี่ เดย์ Thaitanium, Dennis Thaikoon แล้วก็โต้ง Twopee Southside พอปล่อยเพลงนี้ชีวิตเปลี่ยนผมเริ่มแฮงค์เอาท์กับพวกนี้มากขึ้น ไปปาร์ตี้มากขึ้น ก็เลยเจอพี่ขัน เขามาถามผมว่าเฮ้ย! มึงยังไงวะ ไปเห็น MV ทำเองขนาดนี้เลยเหรอ ซึ่งช่วงนั้นผมกลับไปทำงานออฟฟิศแล้วเพราะเรียนจบ แต่ก็ยังทำเพลงเรื่อยๆ นะ ไม่หยุด อาศัยทำหลังเลิกงานเอา คือตอนที่พี่ขันมาถามว่า ยังไงวะ ผมก็แอบคิดว่า พี่เขาสนใจเราจริงๆ หรือแค่คุยสนุกๆ ตอนเมาๆ มันสองจิตสองใจ ผมก็แบ่งรับแบ่งสู้ ก็ตอบว่าผมก็ทำได้ประมาณนี้แหละครับ ทำสนุกๆ แล้วแกก็มีมาดด้วย (หัวเราะ) นึกออกไหม ถ้าสมมติพี่ขัน บอกเฮ้ย! ป๊อกมาอยู่กับกูอะไรแบบนี้ เราก็ยังจะโอเคหน่อย แต่แกไม่ได้พูดแบบนั้น (หัวเราะ) ผมก็เลยไม่ได้อะไร แล้วก็ห่างๆ กันไป เป็นปีเลย ซึ่งผมก็ยังทำเพลงของผมไปเรื่อยๆ นะ ซึ่งระหว่างนั้น เพื่อนผมคือ Freddy Southside เป็นเพื่อนผมตั้งแต่เด็ก ก็เอาเพลงที่ผมทำไปบิ้วท์ มันบอก เฮ้ย! มึงทำเพลงมาขนาดนี้มาอยู่กับพวกกูดิวะ เอาเพื่อนไปขายแหละว่าง่ายๆ (หัวเราะ) จนผมไปเจอพี่ขัน รอบ 2 ที่ปาร์ตี้ แกก็พูดกับผมรอบ 2 เหมือนเดิม คราวนี้พอแกพูดกับเรารอบ 2 ผมก็คิดว่า เออ กูคงไม่ได้คิดไปเองแล้ว ผมเลยบอกกับพี่ขันว่าพี่เดี๋ยวผมไปหาวิธีก่อน ว่าจะออกจากที่ทำงานยังไง (หัวเราะ) คือถ้าผมไปบอกว่าผมลาออกจะไปเป็นนักร้องโดนเล่นแน่ๆ (หัวเราะ) ผมเลยเคลียร์ตัวเอง โดยใช้วิธีขอไปเรียนปริญญาโท ผมถึงจะออกจากบริษัทได้ แล้วต้องเรียนที่เมืองไทย เพราะผมจะทำเพลงอยู่ที่เมืองไทย ผมเลยไปสมัครเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาฯ พ่อก็แฮปปี้ แผนที่คิดคือระหว่างนี้ผมจะเริ่มทำเพลงแล้วเรียนไปด้วย แล้วก็เซ็นสัญญากับ Thaitanium แต่กลับกลายเป็นว่าเหนื่อยกว่าเดิมอีก ผิดแผนมากๆ เพราะตอนแรกเขาบอกว่าศศินทร์ฯ นี่ชิลๆ เรียนไม่หนักมาก แต่ผมไปเรียน แม่งไม่เห็นชิลเลย (หัวเราะ) รู้งี้กูอยู่ออฟฟิศแล้วหาเวลาทำเพลงยังง่ายกว่าอีก (หัวเราะ) ซึ่งโชคดีที่ค่ายของ Thaitanium เขาก็ไม่ได้บีบอะไรเรามาก เขาก็ไม่ได้บังคับเดดไลน์ผมนะ แค่ถ้าไม่ทำเพลงก็ไม่มีผลงานเท่านั้นเอง (หัวเราะ)
โชว์แรกในชีวิต
ป๊อก : โชว์แรกนี่เป็นอะไรที่แบบว่าไม่ได้คาดหวังอะไรเลย โชว์แรกของผมเป็นงาน Samed Beach Festival ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาบอกว่าไปป๊อก ขึ้นไปเล่น 2 เพลง ผมขึ้นไปปุ๊ป ผมมองลงมา เชี่ยยย (หัวเราะ) ผมไม่มีทีม ผมตัวคนเดียว ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่า DJ Tob Southside หรือพี่ Buddha เปิดให้ แต่มีแค่ 2 คนบนเวที มองลงมาแบบโอโห คือเขาบอกมีคน 5-7 พัน แล้วเป็นเวทีแรกผมสั่นทั้งโชว์ มันสั่นตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาเลย ผมเชื่อว่าคนที่อยู่ข้างหน้าต้อวงเห็นผมสั่น (หัวเราะ) ลงมาเสร็จผมยังสั่นอยู่เลย ตัวผมหยุดสั่นไม่ได้เลยครับ (หัวเราะ) นั่นอาจจะเป็นความโชคร้าย แต่ในโชคร้ายก็เป็นโชคดีเพราะเวทีต่อๆ มาผมไม่เป็นแล้ว พอเราเจอโหดแต่แรก ผมคิดว่ามันเป็นการ Break ตัวเองจริงๆ ทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น
Show Me The Money อีกก้าวของอาชีพศิลปิน
ป๊อก : กับ Show Me ผมเองก็ได้อะไรเยอะเหมือนกัน มันกดดันตอนที่ผมอยู่กับน้องในทีมนานๆ ผมก็อินกับน้องในทีม พวกนี้ก็อินกับผม คือรายการนี้ข้อดีทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น แต่ข้อไม่ดีคือเราต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด ถ้าพูดตรงๆ รู้งี้ผมไม่คิดเงินเขาเท่านั้นหรอกนี่พูดจริงๆ ขาดทุนมากบอกเลย (หัวเราะ) แต่พอไปอยู่ด้วยกันผมก็แบบช่างแม่งแล้ว ขาดทุนก็ขาดทุน น้องมันก็แพ้ไม่ได้ ผมก็อยู่ทำเพลงถึง 7-8 โมงเช้า ไม่รู้กี่วัน มันเลยทำให้อิน คือเราไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นนะ แต่เราอินกับน้องๆ มาก
กัลยาณมิตรที่ชื่อ เป้ MVL
ป๊อก : ผมอยู่ทีมเดียวกับเป้ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า เป้ มันเก่งมาก เรื่องการแต่งเพลงไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว ผมจะเป็นสายวิเคราะห์มากกว่า ผมจะมาวิเคราะห์การโหวตกติกาว่าเกมแบบนี้เล่นยังไง ผมจะเอาตรงนี้เข้ามาอยู่ในโชว์ผม โชว์นึงต้องเปลี่ยนกี่ครั้ง เพื่อให้คนโหวตเรื่อยๆ ให้ว้าวแล้วว้าวอีก ผมจะวางแผน คือใช้จุดแข็งเรา อย่างมีโชว์ที่ผมเล่นเปียโน ซึ่งคนไม่รู้ว่าเราเล่นได้ ก็ว้าวแรก พอน้องๆ แร็ป เสร็จแล้วเต้นก็เป็นรอบ 2 แล้วมาเต้นพร้อมกันเป็นการว้าวรอบ 3 คือต้องบอกว่าตั้งแต่แรกผมจะไม่ให้น้องเสนอไอเดียสักเท่าไหร่ ผมวางแผนให้หมดแล้ว (บอกแล้วว่าผมชอบจัดการ) ก็ชนะมาตลอด จนรอบไฟนอล 3 คน ทีมผมเข้า 2 คน แล้วทีมผมเป็น Underdog เพราะซีซั่น 1 ทุกคนเก๋ากว่าผมหมด พี่ดาจิม พี่เดย์ บุดด้าเบลส แล้วทีมผมกับเป้ก็เด็กสุด ซึ่งคนจะมองผมว่าเป็นลูกคนรวยร้องแร็ป กับไอ้เป้ นักร้องป็อปอยากแร็ป ดังนั้นทีมผมเป็นทีมที่แรงค์ต่ำสุดใน 4 ทีม แต่พอไฟนอลทีมผม ติด 2 ใน 3 ผมเลยบอกน้องว่า มึงทำสิ่งทีมึงอยากทำเลย ผมไม่จัดการอะไรให้เลย เพราะเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของน้องๆ สุดท้ายแม่งเสือกแพ้ (หัวเราะ) แต่อย่าวงน้อยผมก็ได้อะไรจากรายการนี้เยอะ แต่ที่ได้และสำคัญสุดคือมิตรภาพกับคนในนั้น โดยเฉพาะทีมของผมเอง ผมได้เพื่อนสนิทอีกคนนึงของผมมาก็คือไอ้เป้ MVL
DeejayB ขุนศึกผู้เงียบขรึม คู่ใจ
ป๊อก : อันนี้เป็นเรื่องตลกมาก แฟนเก่าของเค้ากับแฟนเก่าผมเป็นพี่น้องกัน (หัวเราะ) แล้วสาวๆ เขาอยากให้เรารู้จักกัน ทุกวันนี้สาวๆ หายไปไหนแล้ว เหลือผมกับเค้าจะเป็นแฟนกันเองแล้ว (หัวเราะ) แล้วแปลกมาก เราฟังเพลงคล้ายกัน แต่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง (หัวเราะ) พี่บีเป็นคนขี้อายหนักกว่าผมมาก แล้วก็ถามคำตอบคำ เดี๋ยวนี้กวนตีนแล้ว เพราะเริ่มสนิท (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นคือผมต้องเรียบเรียงทุกอย่างถ้าอยากจะได้อะไร ไม่งั้นเขาก็อือ อา โอเค ได้ๆ แม่งพูดอยู่แค่นี้ ใช้เวลาอยู่เป็นปีกว่าจะซื้อใจได้ ให้สนิทกันได้ (หัวเราะ) ก็เป็นคนที่ทำเพลงให้ผม 70-80 เปอร์เซ็นต์
“วิบวับ” เรื่องราวอลวนปนไสยศาสตร์ของเพลงดังเพลงนี้
ป๊อก : บอกตรงๆ ว่ ไม่มีใครเอาเพลงนี้ เพลงนี้จริงๆ ไม่ใช่ของผม พี่บีเป็นคนเริ่มขึ้นมา พี่บีนำเสนอพี่เวย์ก่อน กับ พีท Younggu คือมันเหมือนเพลงขำๆ พี่เวย์ไม่เอา ไอ้พีทก็ไม่เอา งั้นทิ้ง กลายเป็นทิ้งเพลงนี้ไปเลย แต่พี่บีเป็นคนทำเพลงนี้ขึ้นมา พี่บีเขาเชื่อ เขาก็เอามาให้ผมฟัง ก็มาเล่าว่าพวกนั้นเขาไม่เอา แล้วก็เพลงนี้ก็ไม่ใช่ของผม ผมก็หัวเราะนะ ผมไม่เอาพี่ แม่งตลก คือมันไม่ใช่เรา รู้สึกแบบนั้น สรุปคือไม่มีใครเอาสักคน จนผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ พี่บีเขาโทรกลับมาบอกว่า เฮ้ย! ลองเอาไปฟังอีกทีได้ไหม กูว่าแม่งมา พี่บีพูดแบบนี้ ผมก็ฟังเพลงนี้ตอนเข้าห้องน้ำ นั่งส้วม อาบน้ำไปเรื่อย ฟังไปฟังมา เฮ้ย! แม่งหลอนหูเหมือนกันนี่หว่า (หัวเราะ) ผมเลยโทรกลับไปหาแกบอกว่า โอเค เอาก็ได้ คราวนี้ผมเลยเปลี่ยนเนื้อใหม่ให้เป็นตัวเองมากขึ้น คราวนี้ด้วยความที่เพลงนี้ถูกแต่งมาให้ 2 คนก่อนหน้า ผมก็ให้เกียรติพวกเขาโดยการโทรไปบอกไอ้พีทก่อน บอกว่ากูเอาเพลงนี้นะ จะมาร้องไหม พีทมันก็บอก พี่เอาผมก็เอา คราวนี้พี่เวย์ ก็โทรไป ผมก็บอกว่าพวกผมเอาแล้ว ผมว่าเพลงนี้มา พี่เอาด้วยเถอะ แกก็ตอบเหรอๆ ก็ส่งเนื้อท่อนแกร้องมาก่อนวันถ่าย MV วันเดียว ตอนถ่าย MV แกยังจำเนื้อไม่ค่อยได้เลย (หัวเราะ) แล้วพอเพลงปล่อยไปก็เงียบ วันแรก 2 หมื่นกว่าวิว อีกสัก 7-10 วัน ถึงจะครบล้านวิว ก็ถือว่าธรรมดามันก็ทรงๆ แถวๆ นั้น แล้วเพลงนี้จังหวะการปล่อยก็ใกล้ปีใหม่ คือมันมั่วไปหมด ทำเหมือนเพลงสมัยทำเพลงในห้องนอน จนจุดเปลี่ยนคือผมไปไหว้พระที่มาเก๊า คือไม่ได้เกี่ยวกับเพลงด้วย แค่บริษัทผมทำเป้าถึงก็พาคนในออฟฟิศไปกัน คือผมบนไว้ว่าถ้าเป้าถึงจะพาทีมงานมากราบไหว้ท่าน คราวนี้พอมารอบ 2 ผมก็บนบานว่าผมทำเพลงมาชีวิตไม่เคยได้ร้อยล้านวิวเลย ผมขอได้ไหม อย่างน้อยสัก 2-3 เพลง ก็พวกที่ไปกับผมหัวเราะกันหมด ขอเหี้..อะไร (หัวเราะ) เฮ้ย! แต่ผมจริงจังนะ (หัวเราะ) คือผมก็บอกว่าถ้าถึงผมจะพาวงมากราบท่านแล้วก็จะบอกต่อคนเท่าที่ผมทำได้ว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ประมาณนี้ พอกลับมาเมืองไทยไม่กี่วัน ผมก็บอกเมียผมว่า เออ เรามาทำเต้นดีมั้ย คือเต้นแล้วก็ยังไม่รู้เลยจะเอาไปทำอะไร ซึ่งมีน้องในวงผมที่เป็น Hypeman บอกว่ามีน้องอีกคนชื่อทากะ มาออกแบบท่าเต้นให้สิ เราก็เอาๆ คือวันที่น้องมาสอนเต้นผมถ่ายลง Tik Tok ซึ่งตอนนั้นยังไม่บูมมาก ก็ถ่ายในห้องที่คอนโด แล้วลงเลย ยอดวิวก็เริ่มมา คราวนี้ผมก็เลยบอกเมียผมว่าไปเต้นในห้างดีกว่า มันๆ หน่อย ตอนนั้นผมไปถ่ายงานลูกค้า ซึ่งจริงๆ ปกติเขาไม่ให้ถ่ายนะ แต่เราถ่ายให้ลูกค้าเสร็จแล้วไหนๆ ก็ขอถ่ายของกูด้วยก็แล้วกัน (หัวเราะ) แล้วคราวนี้คนที่เดินในร้านทั้งหมดผมให้น้องในทีมทำเป็นหน้าเพชรให้หมดจะได้ไม่เห็นหน้ากัน แล้ววีดีโอนั้นเป็นไวรัล แล้วหลังจากนั้นยอดวิวมันก็วิ่ง วิ่งแบบ…อย่างที่เห็นล่ะครับ (หัวเราะ) แล้วจริงๆ ตอนแรกที่ปล่อยวิบวับ ไอ้พีท Younggu ก็จะมาปล่อยเพลงวันเดียวกับผม ซึ่งผมก็ไม่รู้มันคิดอะไร (หัวเราะ) น่าจะเลี่ยงๆ กัน แต่ผมก็ไม่อยากยุ่ง งั้นต่างคนต่างปล่อยละกัน ของมันวิ่งไปวันละ 3-4 แสน ของผม 2 หมื่นแปด (หัวเราะ) พอตอนหลังของผมแซงยับ (หัวเราะ) จากนั้นผมก็เต้นต่อเลย ก็เลยขึ้นมาอย่างที่เห็นครับ
ด้านมืดของวิบวับ
ป๊อก : ก็ต้องบอกว่าซวยเหมือนกัน เพราะท่อนที่เขาด่าไม่ใช่ท่อนผม มันเป็นท่อนของ Younggu (หัวเราะ) ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงก็โดนที่บ้านด่า เวลาทำอะไรพวกนี้ก็คิดถึงครอบครัวบ้าง ผมก็บอกว่าให้พูดตรงๆ ผมเข้าใจนะ แต่อาจจะคิดน้อยไป แล้วด้วยความที่ผมฟังดนตรีแบบนี้มา คือ Hip Hop มันจะพูดอะไรก็ได้ เอาจริงๆ สมัยก่อนเพลงอย่าง AA Crew นี่โหดกว่าผมอีก แต่ปัญหาคือเพลงนี้มันดันเป็นไวรัล แล้วทุกคนรู้จัก มันเลยเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ ผมก็อธิบายให้พ่อฟัง ซึ่งพ่อก็เข้าใจ แต่ที่หนักคือผมโดนตระกูลเรียกไปด่า….อันนี้เป็นอะไรที่ไม่เคยมีใครรู้ แต่อ่านถึงตรงนี้ ก็ได้รู้แล้ว ผมบอกที่นี่ที่แรกเลย!! แบบนัดเข้าออฟฟิศเลย ผมก็คือแบบฉิบหายแล้ว อะไรวะเนี่ย มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เห็นเยอะเลยนะ แล้วคราวนี้ช่วงนั้นไอ้พีทก็เดือด คนไปโพสต์ด่ามัน มันก็ด่า จนผมต้องโทรไปบอกพีทมึงอยู่เฉยๆ ยิ่งทำแบบนั้นมันจะไม่จบไม่สิ้น อยู่เฉยๆ ดีกว่าเชื่อพี่ หลังจากนั้นพีทก็เงียบๆ ไป คือให้พูดตรงๆ พีท เองมันก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ อายุงานจริงๆ ก็ไม่เยอะแล้วสไตล์พีทมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เราก็ต้องอธิบายแหละ ว่ากูโดนหนักกว่ามึงเยอะ (หัวเราะ) ส่วนพี่เวย์เข้าใจ แกเลยเลือกจะเงียบ ไม่สนใจ เพราะรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้แหละ สุดท้ายประเด็นนี้มันก็หายไป แล้วในที่สุดคนก็เข้าใจ เพราะเจตนาเราไม่ได้เป็นแบบนั้นผมทำให้ทุกคนสนุกสนานกันมากกว่า ก็เป็นประสบการณ์ที่สอนผมว่าจะทำอะไรอาจจะต้องคิดเพิ่มขึ้นนิดนึง แต่ถ้าจะให้ผมร่วมงานกับพีทอีก ผมก็ไม่มีปัญหา ในมุมนึง ในฐานะคนสร้างศิลปะเราต้อง Respect กัน ผมจะไม่ไปบอกเขาว่าให้ทำอะไรได้หรือไม่ได้ เราต้องให้อิสระเขา นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น
เครื่องยืนยันความสำเร็จของ ป๊อก Mindset
ป๊อก : อืม ผมว่ามันก็บอกได้ในระดับนึง แต่ผมเองต้องเก็บเลเวลอีกเยอะเลย ผมว่ามันมีสิ่งใหม่ๆ ที่เราต้องเจอในแต่ละวัน มันคงไม่มีจุดเต็มแม็กซ์หรอก อ่อ แล้วมีอีกเรื่องคือเพลงนี้ เอาจริงๆ ผมทำ MV คลีนเวอร์ชั่นไว้แต่แรกแล้ว เพราะผมเห็นเด็กๆ เต้นกัน เอาจริงๆ ผมเองก็มีลูก ผมก็ยังไม่อยากให้ลูกฟังท่อน Fucking Lit เลยซึ่งในคลีนเวอร์ชั่นก็จะมีการปรับเนื้อเพลงเป็น “ฟัง English” แทน แล้วก็มีไม่ถึงท่อน Younggu ด้วย ปัญหาคือเวอร์ชั่นนี้ต้องเอาไปทำเป็นแอนิเมชั่น มันเลยใช้เวลานาน เลยเสร็จช้ากว่า แล้วพอเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็กลายเป็นเราปล่อยเพื่อไปแก้ตัว แต่ก็นั่นแหละครับ มันเป็นราคา ความสำเร็จที่ต้องจ่ายมา (ยิ้ม)
จากเจ้าของเพลงแห่งรอยสักสู่เพลงคนรักภรรยา
ป๊อก : หลังๆ ผมก็ทำงานกับหลายๆ คน ครับอย่างเพลง Tat 2 ก็เหมือนกับ เราทำเพลงรำลึก Tat It Up ก็มีน้องๆ รุ่นใหม่หลายคน ซึ่งจริงๆ เพลงนี้มันไม่ได้ดังเลยนะครับ แต่น้องๆ ก็บอกว่าพี่เพลงนี้เป็นเหมือนเพลง Anthem ของคนมีรอยสัก แล้วพอเขาก็ชอบเพลงนี้กัน เป็นเพลงที่ขลังมาก ซึ่งถามผม ผมก็ว่าไม่ได้ขลังขนาดนั้น แต่ก็ดีใจที่มีน้องๆ ชอบเพลงนี้ ส่วนอีกเพลงนี่ก็จากดุๆ ก็ดรอปเลย Happy Wife Happy Life เพลงนี้ไอ้เป้ชวน ก็ร้องกับพี่กอล์ฟ เพราะเรา 3 คนก็มีภรรยากันแล้ว เป้ บอกเพลงนี้ก็ตามผมเลย มีเต้นลง Tik Tok ด้วย ยอดวิวก็ดีนะ แต่จะให้แซงวิบวับคงยากหน่อย (หัวเราะ) ก่อนหน้าจะเป็นเพลงล่าสุดก็เป็น Eyes On Me แต่เพลงนี้เป็นเพลงเนื้อภาษาอังกฤษผมอยากทำให้เป็นฟิลเพลงสากลสักหน่อย เพลงนี้ก็ feat. โต้ง Twopee Southside กับมารีน่า คนนี้ต้องผลักดันเต็มที่ น้องเมียอ่ะนะ (หัวเราะ) แล้วก็ได้รับการสนับสนุนจาก Apple Music ด้วยก็ต้องขอขอบคุณครับ
ก้มต่ำ เพลงล่าสุด
ป๊อก : เพลงนี้เริ่มต้นที่ DeejayB อีกครั้ง แต่คราวนี้ทำมาแล้วผมเอาเลย บีทมันกวนดี มันมีเสียงคล้ายๆ ปี่ แล้วยังไม่ต้องใส่เนื้อร้องอะไรเลยมันก็สนุกในระดับนึง ซึ่งผมขาดเพลงมันๆ ในลิสต์ของตัวเอง ซึ่งเพลงผมส่วนใหญ่จะเป็น Medium เพราะๆ สบายๆ ผมอยากได้เพลงฟังก์ชั่นนี้ที่เอาไว้เฉลิมฉลอง สนุกสานหน่อย แล้วเพลงนี้เต้นเยอะ ในฮุคแรก ผมใส่คำที่บอกให้คนเต้นตาม ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน แล้วก็เป็นเพลงที่สั้นที่สุดที่เคยทำ 2 นาทีหน่อยๆ ผมอยากลองสูตรนี้ดู อยากให้ลองเปิดวนซ้ำๆ จะมีท่อนคอรัสตอนหลังที่เป็นเสียงผู้หญิงร้องประมาณว่า ทำไมหูพี่ไม่ดี ซึ่งก็อาจจะมาอีกก็ได้ (หัวเราะ) แต่อันนี้ไม่มีคำหยาบแน่นอน ถ้าใครผวนก็แล้วแต่ แต่ผมไม่ได้พูดนะ (หัวเราะ) แล้วก็ที่แปลกก็คือท่อน Verse ปกติแร็ปเขาทำ 8 บาร์ 16 บาร์ แต่ของผมมี 20 บาร์ก็ไม่มีใครเขาทำกัน แล้วเปลี่ยน Rhythm ตลอด ก็ต้องลองฟังกันครับ ซึ่งก็จะมีดารา Youtuber มาเต้นกับเพียบ อย่าง แต้ว ณฐพร ก็อยากให้ ลองติดตามกัน แล้วก็ติดตามผลงานของผมทั้งหมดได้ในช่อง Mindset Mob นะครับ