สองหนุ่มดูโอที่มีความโดดเด่นในผลงานเพลงกับวงดนตรีที่เหมือนจะอ่านชื่อยากอย่าง Mirrr พวกเขาปล่อยเพลงในแบบที่ชอบ อย่างไม่ลดละและในที่สุดเพลงที่ชื่อว่า “นิโคติน” ก็กลายเป็นเพลงฮิตติดหูทุกแพลตฟอร์ม ทำให้มีคน Cover มากมาย แต่พวกเขาก็ยังพัฒนาต่อไปไม่หยุด ปล่อยเพลงอย่างมาโซคิสม์ และจากนั้นไม่กี่วันก็ปล่อย EP Social Anxiety คู่หูทางดนตรีคู่นี้มีแนวคิดทางด้านดนตรีที่น่าสนใจคู่นี้ กำลังเป็นขวัญใจแฟนเพลงโดยเฉพาะสายอินดี้ เรียกว่ามาแรงเชียวล่ะ ต้องลองมาคุยกับพวกเขาดูสักหน่อย
Mirrr (เมอ) ขอแถลง
โต : ถ้าดูในเพจเราจะเห็นว่าใน About เราเขียนว่า Mirrr อ่านว่า มุแงปิ้วปิ้ว (หัวเราะ) จริงๆ ตอนนั้นผมว่าง ใน About มันมีให้ Edit ประกอบกับช่วงนั้นมีคนถามกันเข้ามาเยอะว่า Mirrr อ่านว่าอะไร ผมก็ว่างเลยเข้าไปแก้เป็นมุแงปิ้วปิ้ว จริงๆ เราก็คิดว่าจะอ่านว่าอะไรก็ได้ เมีย แม / มินลิ / เมลเล่ ขอให้รู้ว่าเป็นเราก็พอ ซึ่งก็มีอ่านทุกแบบเลย
“มาโซคิสม์” โรแมนติก ซาดิสม์ น้ำตาตก
โต : ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมจะรู้จักคำว่าซาดิสม์ก่อน ซึ่งมันหมายถึงผู้มีความสุขในการได้ทำร้ายผู้อื่น ได้กระทำความเจ็บปวดต่อผู้อื่น แต่มาโซคิสม์เป็นขั้วตรงข้าม คือจะมีความสุขเมื่อเป็นผู้ถูกกระทำ ผมก็เลยเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ว่าเราถูกทำให้เจ็บปวด เราเห็นเขาไปมีคนอื่น ทำให้เราเสียใจ แต่เราก็ไปจากเขาไม่ได้ กลับหลงรักเขามากขึ้นด้วยซ้ำ ผมก็เลยตั้งชื่อเพลงนี้ว่ามาโซคิสม์ เพลงนี้เราได้เนื้อเพลงมาก่อน ได้ชื่อเพลงทีหลัง ตอนแรกเพลงนี้ชื่อว่า “ยอม” ยอมเป็นเบี้ยล่าง ยอมเป็นฝ่ายตาม แต่เราไปจากเขาไม่ได้ ต่อให้มีใครดีกว่าก็ไม่สนไม่ว่าจะโดนทำร้ายขนาดไหน มันเป็นความรู้สึกแบบนั้น ในเนื้อเพลงมันไม่มีคำว่ามาโซคิสม์เลย แต่ผมแค่รู้สึกว่าเพลงนี้มันต้องชื่อนี้
นาว : ดนตรีก็เริ่มจากกีตาร์โปร่งกับร้อง แล้วได้พี่บุญชูวง Cold n’ Warm ซึ่งเขาเป็นมือกีตาร์ให้วง Scrubb
โต : เราอยากทำกับโปรดิวเซอร์หน้าใหม่ๆ คราวนี้พี่ชูแกเปิดร้านคาเฟ่ ข้างล่างเป็นร้านกาแฟ ข้างบนเป็นห้องอัด แล้วผมก็ไปที่คาเฟ่ จำได้เดินขึ้นไปเล่นกีตาร์โปร่งกับร้องแล้วเราก็ขึ้นเพลงกันวันนั้นเลย ซึ่งพอขึ้นเพลงไปวันนั้น หลังจากนั้น Covid มาก็ยาวเลย (หัวเราะ)
นาว : ถ้ารวมๆ จริงๆ ก็เลยไป 4-5 เดือน
โต : พอเราใกล้จะทำเสร็จเราก็ได้ พี่เมฆ Machina มามิกซ์ มาสเตอร์เพลงนี้ด้วย เลยเป็นอย่างที่ได้ฟังกัน
นาว : ส่วน MV เราได้ผู้กำกับคนเดิมจากเพลงนิโคติน เพลงนี้เราเริ่มจากให้เขาฟังเพลงก่อน แล้วก็ได้เนื้อเรื่องทีเขาตีความจากฟังเพลงมาโดยที่เราไม่ได้บรีฟเลยว่าเพลงจะเกี่ยวกับอะไร
โต : พี่มะปรางค์ที่เป็นผู้กำกับ แกเคยทำ MV นิโคตินให้เรามาก่อน ก็เลยค่อนข้างไว้ใจ เขาส่งพล็อตแรกมาให้เรา เราก็ซื้อเลย ค่อนข้างโดน เนื้อเรื่องเป็นความสัมพันธ์ของคน 3 คน ชาย 1 หญิง 2
นาว : แซนด์วิช (หัวเราะ)
โต : ใช่ๆ คือหมายถึงกินแซนด์วิชกันใน MV (หัวเราะ) ใน MV จะเป็นห้องกระจก มีผู้หญิงอยู่คนเดียว แล้วเฝ้าดูการกระทำของผู้ชายที่เป็นแฟนของเรา กับผู้หญิงคนอื่น เป็นกระจกด้านเดียว แล้วผู้ชายจะแวะเข้ามาบางครั้งบางคราว คือผู้หญิงฝั่งนู้นจะไม่เห็นว่ามีผู้หญิงฝั่งนี้อยู่ แต่ผู้หญิงอีกคนจะเห็นการกระทำทั้งหมด แล้วซึ่ง MV เราจะเข้าใจว่า ผู้ชายขังผู้หญิงคนนี้เอาไว้ แต่ในตอนสุดท้าย MV จะเฉลยว่ากุญแจที่จะไขออกไปอยู่ที่คอผู้หญิงคนนี้เอง ซึ่งหมายความว่าเขาเลือกที่จะอยู่ตรงนี้เอง โดยไม่ได้ถูกขังไว้
Social Anxiety EP เพลงรักแบบไม่ต้องพักของ Mirrr
โต : แล้วแทนที่เราจะปล่อยให้มาโซคิสม์ทำงาน เราก็ปล่อย EP ต่อเลย (หัวเราะ) เอาจริงเรารู้สึกว่ามันมันส์ เราเก็บเพลงไว้แล้วเราอยากปล่อยมาก
นาว : เก็บเพลงด้วย เก็บกดด้วย (หัวเราะ)
โต : ถ้าในเชิงมาร์เก็ตติ้ง ผมบอกเลยว่ามันผิดอย่างสิ้นเชิง มันผิดหลักมาร์เก็ตติ้งของวงการเพลง แต่ถ้าในแง่ของฟิลลิ่งในแง่ของศิลปะ เรารู้สึกว่ามันต้องปล่อย เราเก็บไว้ไม่ได้ เราอยากให้คุณได้ฟังจริงๆ ถ้าได้ฟังแล้วจะชอบ ถ้าไม่ชอบเพลงนี้ ก็ต้องมีสักเพลงที่ชอบแหละ (หัวเราะ) ผมว่ามันต้องมีลองไปฟังดู แต่ละเพลงใน EP นี้จะมีสตอรี่ที่ต่างกัน
เพลงใน EP
หนี : เพลงนี้เป็นเพลงแรกของวง Mirrr วงเราเริ่มต้นมาจากงานประกวดดนตรี Tiger Jam ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เราส่งเข้าประกวด มันเป็นเดโม่ซึ่งเราไม่เคยส่งมันออกมาเป็นมาสเตอร์เลย เพราะเรารู้สึกว่าตอนนั้นทำเท่าไหร่ก็ยังไม่ดีพอ ก็เลยอยากเก็บมันไว้เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญของเรา จนผ่านไปตั้ง 3-4 ปี ถึงได้เพิ่งปล่อยออกมา ไปฝึกวิชาเพื่อให้เพลงนี้ออกมาดีที่สุด
ว่างเปล่า : เพลงนี้แต่งในช่วง Covid เพราะเรารู้สึกว่างเปล่า ออกไปไหนไม่ได้ อยู่แต่ในห้อง ก็เลยเขียนว่ากลางคืนมันยังดูโหดร้าย เราไม่ได้คุยกับใครเลย คุยแต่กับตัวเอง อยู่กับตัวเองวนไป วนมาจนเหมือนกับว่า ที่สุดอยากจะออกไปจากตรงนี้ คืออยากออกไปข้างนอกแล้ว เป็นประมาณนี้
ยังอยู่ : เพลงนี้ถูกเริ่มทำเมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา อยากปล่อยแต่ไม่มีโอกาส จนพอจะทำ EP นี้ ช่วงนั้น “โต” รู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเราเลยจินตนาการว่าเราสูญเสียใครไปบางคนสูญเสียคนรัก สูญเสียตัวตน สูญเสียความฝัน แต่ในแง่นึง เราก็มีความรู้สึกว่าสิ่งนั้นมันอยู่รอบตัวเรา เช่นสมมติเราสูญเสียคนรักเราไป แต่ในแง่นึงเราก็เจอเค้าในความฝัน ก็มีวูบนึงที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย! หวังว่าคุณจะมากอดฉันแล้วแค่บอกว่า จะไม่ไปไหน ต่อให้เป็นเวลาสั้นๆ ก็เหมือนชีวิต ต่อให้เราบอกว่าเราไม่มีหวัง มีความฝัน ไม่มี Passion อะไรในชีวิตแล้ว แต่เราก็ยังใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน มันมีเสี้ยวนึงที่ไม่รู้ตัวว่าในทุกวันสิ่งที่มึงทำอยู่ กำลังจะทำหรือเคยทำ มันไม่ได้ทำร้ายมึง แต่ทำให้เป็นมึงในทุกวันนี้ อะไรแบบนี้ครับ ก็เขียนขึ้นมาเตือนใจตัวเอง และอยากให้คนอื่นได้ฟังด้วย
ย้อนเวลา : เพลงนี้ตั้งแต่สมัยประกวดเหมือนกัน เพลงนี้เป็นบีทของพี่เดียร์ T Biggest เราเคยคุยและทำกันไว้นานมาก จนได้โอกาสกับ EP นี้พอดี ก็อยากให้ไปฟัง ทุกเพลงมีเรื่องราวของมันอยู่
นิโคติน กลุ่มควันแห่งความเศร้าที่ทำให้ Mirrr แจ่มชัด
โต : เพลงนี้เริ่มมาจากชื่อเพลง ผมเขียนคำว่านิโคตินขึ้นมาก่อน ผมอยากให้นิโคตินเป็นตัวแทนของ สิ่งไหนก็ตามที่เราใช้ เราเห็นคนอื่นใช้ แต่ไม่ให้คุณค่า เช่นเหล้า เบียร์ บุหรี่ ยาเสพติดต่างๆ ที่ใครบอกว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ก็แวะมาเยี่ยมเยียน แวะมาใช้แบบชั่วครู่ชั่วคราว โดยไม่มีใครบอกว่าฉันจะดูดบุหรี่ไปตลอดชีวิต คุณคือตัวจริงในชีวิตฉัน ขอบคุณมากที่คอยอยู่เคียงข้างในวันที่เป็นทุกข์ ในวันที่กูไม่มีใครขอบคุณมึงมาก (หัวเราะ) มีแต่แบบทำร้ายกูอีกแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกได้ ติดเพราะสารของมัน ผมก็เลยคิดว่าถ้านิโคตินมันมีความรู้สึก มันจะคิดอะไร เขาอาจจะคิดว่า โอเค คุณไม่เคยเห็นคุณค่าฉัน คุณไม่เคยมองว่าฉันเป็นสิ่งที่ดี แต่หน้าที่ของฉันก็มีแค่มอบความรู้สึกดีๆ ให้กับคุณแล้วสุดท้าย คุณก็โยนฉันทิ้งไป แล้วไปหาตัวจริงในชีวิตคุณก็เหมือน ความรัก ความสัมพันธ์ ที่ไม่มีวันได้เป็นตัวจริง พอเราปล่อยเพลงนี้ออกมาจริงๆ แค่ชื่อเพลงเราก็เสี่ยงจะโดน ไม่ใช่เสี่ยง คือโดนแล้วด้วย (หัวเราะ) อย่างที่บอกครับเราอยากจะสื่อความรู้สึกของสิ่งพวกนี้จริงๆ อยากให้คนมีมุมมองในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่ตัดสินว่าใครเป็นยังไงในด้านเดียวไปหมด ไม่ตัดสินว่าใครเป็นคนเลว เป็นคนดี หรือเป็นคนยังไง ถ้าเราไม่ได้มองแบบตัดสินเขา เราทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน พอมาเปรียบเทียบเป็นเรื่องความรักมันก็แค่ชอบหรือไม่ชอบ สุดท้ายแล้วเราไม่อยากให้ไปตัดสินใครจากภายนอกเลย ในแง่ของเพลงผมว่าต้องใช้ชื่อนี้เลย MV ก็ต้องแบบที่เห็น จริงๆ ชื่อเพลงกับ MV มีนดูสุ่มเสี่ยงแต่ในเพลงเราไม่ได้พูดเรื่องนี้ เราแค่ตั้งเป็นเชิงสัญลักษณ์เฉยๆ
เมื่อควันแห่งความไพเราะ “พวยพุ่ง”
นาว : ตอนที่ยอดวิวขึ้น เราก็ทั้งตื่นเต้นและตกใจ เพราะจริงๆ เราคุยกับที่ค่ายว่าเพลงต่อจากนิโคตินมันดังแน่ๆ (หัวเราะ)
โต : ใช่ๆ (หัวเราะ) คือพวกเราคุยกับพี่ๆ ทีมงานว่า พี่ถ้าเพลงนี้มันไม่มา ก็ใจเย็นๆ ก่อนนะ ผมว่าเดี๋ยวเพลงหน้ามาแน่ (หัวเราะ) เพราะเราตั้งชื่อเพลงเอาแบบตามฟิลมันไม่ได้เน้นขาย ผมว่าเป็นที่ช่วงจังหวะเวลาด้วย เอาจริงๆ ผมก็ไม่กล้าคิดว่าเกิดจากอะไร แต่มันเปลี่ยนชีวิตเราจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เราเห็นดาราที่เราติดตาม Cover เพลงเรา แล้วก็มีอีกหลายๆ คน จนผมคิดว่า เชี้ย!! เรามาอยู่ในจุดนี้แล้วเหรอวะ (หัวเราะ) แต่พวกเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม
นาว : เราเริ่มตื่นเต้นตอนมีงานทัวร์ เราก็คุยว่าไปโชว์ต้องมีอะไร ขาดอะไร ผมนี่ถอย Line6 Helix มาเลย Covid มาปั๊บ Cancel หมด (หัวเราะ) เล่นงาน Cat งานเดียวก็เก็บเข้ากรุ (หัวเราะ)
โต : แต่ช่วงนั้นเราเครียดเลยนะ ก็มาคุยกับแบบ Positive ว่าในแง่นึงเพลงของเราเป็นที่รู้จักแล้ว มันเปลี่ยนเกมทำให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้น อย่างน้อยถ้าหลัง Covid สถานการณ์ดีขึ้นเราก็น่าจะเดินทางได้ง่ายขึ้น พอหลัง Covid จบก็เริ่มมีงานเข้ามาจริงๆ อย่างน้อยก็ยังรอดตาย ยังไม่ต้องขาย Helix (หัวเราะ)
นาว : อย่างน้อยผมเจอน้องๆ เรียกพี่ๆ วงนิโคตินนี่ (หัวเราะ) ผมก็ดีใจแล้ว
โต : ผมว่าเราผิดเองแหละที่ตั้งชื่อวงอะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ)
ทิศทางของ Mirrr
โต : จริงๆ วงเราคุยกันตั้งแต่ต้นว่าเราอยากจะทำอะไรเราก็จะทำแนวเพลงของเราคือ “ไม่มี” เราจะใช้คำว่าแนวเพลงในการตอบสื่อ ตอบผู้คนที่มาทักทายเรา ถ้าวันนึงนาว ทนไม่ไหวอยากจะกีตาร์ฮีโร่ แล้วผมจะว๊าก 2 กระเดื่อง ก็อาจจะทำก็ได้ ก็แล้วแต่
นาว : แล้วแต่ความตึงเครียดของชีวิตช่วงนั้น (หัวเราะ)
โต : ช่วงนั้นเพลงป็อปๆ ก็คือหาเงิน ถ้าติสต์ๆ หน่อยก็คือพอมีกินแล้ว (หัวเราะ) เราแค่อยากมีความสุขในการทำดนตรีของเราได้ ในขณะที่มันก็สามารถเป็นอาชีพหล่อเลี้ยงชีวิตของเราได้เพราะฉะนั้น แม้แต่พวกเราเองก็อยากจะให้วงของเราทำอะไรใหม่ๆ ออกมาเพื่อเซอร์ไพรส์ตัวเองแล้วก็เซอร์ไพรส์คนที่รอฟังด้วย ส่วนโชว์เราก็ต้องปรับมาตรฐานให้สูงมากขึ้น ทำงานให้ประณีตมากขึ้นจากที่เราทำตามฟิล แต่หลังจากนี้เป็นการทำงานที่แท้จริงแล้ว เราตามฟิลไม่ได้เพราะมีทีมงานคนอื่นๆ ด้วย เราต้องปรับตัว ซึ่งมันก็เครียดขึ้น แต่ก็สนุกเพราะเราอยากจะทำมันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปสิ่งที่แฟนๆ รออยู่ไม่น่าจะผิดหวัง
ความตั้งใจของ Mirrr
โต : ผมไม่เคยกล้าคิดว่าวงเราจะมาได้ขนาดนี้ โอเคเราอาจจะคุยกันเล่นๆ กับนาวว่า เฮ้ย! วงเราต้องไป Coachella สิ มันแค่คุยกันขำๆ จนวันนึง ผมไม่รู้ว่าเพลงเราดังหรือไม่ดัง แต่พอเพื่อนแท็กมา คนนู้นคนนี้แท็กมาบอกว่าเพลงมึงดังนะ ผมยังอยู่เหมือนเดิม แต่มีคนมาบอกเรา เราก็ไม่ได้คิดเราก็แค่ทำ มันมาจากเด็ก 2 คน เรียนมหา’ลัย อยากทำดนตรี อยากทำในสิ่งที่เราชอบแค่นั้น เราก็ยังคาดหวังว่าเราจะไม่โกรธตัวเองถ้าเราจะทำอะไรลงไป เราก็ยังจะรักตัวเองในสิ่งที่ตัวเองทำเพราะเราเลือกเส้นทางนี้แล้ว มันต้องแลกอะไรมาหลายอย่างเพราะฉะนั้นผมจะไม่ทำให้สิ่งที่มันเสียไปมันสูญเปล่า คือ EP นี้ถึงเราบอกว่าเราทำตามฟิล แต่เราไม่อยากเก็บเพลงไว้ เรามีความเชื่อ จะว่ามีศรัทธาในเพลงตัวเองก็ได้เพราะเราตั้งใจทำมันจริงๆ ก็เลยเชื่อว่าลองส่งมันออกไปเพราะเราอยากรู้เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้โปรโมทหรือมาร์เก็ตติ้งอะไร ไม่ได้ใช้ทริกอะไร จะมีคนเข้ามาฟังไหม แล้วจะมีคนที่ชื่นชอบเพลงของเราไหม มันน่าสนใจหรือเปล่า ผมอยากรู้ข้อมูล Organic เหล่านี้เพื่อที่จะได้ไปปรับปรุงในอนาคต ซึ่ง EP นี้เราตั้งใจทำมากๆ อดหลับ อดนอน มากมาย เครียด สุข เศร้า เรากล้าพูดร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ดูถูกคนฟัง ต้องขอบคุณ Joox ที่ทำให้เราได้ทำ EP นี้จนเสร็จสิ้น มันทำให้เรารีเช็คตัวเองว่าเรามาถึงบั้นไดขั้นแรกของการทำงาน ต่อไปนี้เราต้องเดินอย่างมีสติแล้ว เพราะเราทำงานด้วยหยาดเหงื่อ แรงกายจริงๆ