อู๋ ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ คือชื่อของนักร้องนำ มือกีตาร์ และผู้ที่เป็นกำลังหลักด้านดนตรีให้วงอย่าง The Yers มาตั้งแต่แรกเริ่ม ความสามารถที่รอบด้าน ไอเดียดนตรีมีครบถ้วน ในด้านที่เป็นของ The Yers อู๋ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในอีกด้านนึงที่เป็นรสนิยมส่วนตัวของเขานั่นคือดนตรีที่ร็อค เมทัล ที่มีเสียงแนวทางเฉพาะตัวอย่าง Doom Metal, Shoegaze, Blackgaze, Noise กับเนื้อหาที่อยู่กับความมืดมน และเมื่อสบโอกาสอู๋จึงได้ปลดปล่อยไอเดียในส่วนนี้ออกมาเป็นผลงานในนาม Torrayot ซึ่งวิธีการทำงานไอเดียน่าสนใจมากๆ เราจึงนำเรื่องของเขามาให้ได้อ่านกันอย่างจุใจเลย
จาก “ยศทร” สู่ “ทรยศ”
อู๋ : เอาจริงๆ ที่มาของอัลบั้มนี้ผมตั้งใจนำเสนอพาร์ทดนตรีมากกว่าเนื้อหา อยู่ที่ 65 ต่อ 35 เปอร์เซ็นต์ ผมอยากโชว์เอฟเฟ็กต์กีตาร์ อยากซื้อเอฟเฟ็กต์ที่ใฝ่ฝันมานานแล้ว คือไม่ได้ซื้อมาเพื่อมาเก็บอย่างเดียวแต่อยากใช้ ในการนำเสนอเพลงด้วย นั่นคือ 65 เปอร์เซ็นต์ที่ผมบอก อีก 35 เปอร์เซ็นต์คือเรื่องที่ผมอยากให้คนรับรู้ในมุมที่ลึกลงไปกว่า The Yers เพลงสุดท้ายที่ชื่อว่า “หมอกที่เริ่มจางหาย” คือเพลงแรกที่เสร็จในอัลบั้มนี้ เป็นช่วงที่ผมหาซาวด์ของ Torrayot อยู่ เราจะเล่นกีตาร์แบบไหน เราจะจูนสายกีตาร์แบบไหน ด้วยความที่ The Yers จูนสายกีตาร์ปกติหมดเลย เราก็อยากได้เพลงที่มีกีตาร์จูนสายต่างจาก The Yers จริงๆ ผมเริ่มจากจูนกีตาร์แบบ Drop D ก่อน แล้วก็พยายามหาโน้ตที่กัดมากที่สุด เอฟเฟ็กต์ก็ยังไม่อลังการมากมีแค่บูสต์ Gain นิดๆ มี Flanger เป็นช่วงค้นหาซาวด์ของ Torrayot พอทำเสร็จแล้วผมก็เก็บมันไว้กะว่าจะเอาออกจากอัลบั้ม แต่พอมาฟัง ก็เห็นว่าเนื้อหาและดนตรีพอจะอยู่ในอัลบั้มได้ จากนั้นพอผมมีเงินเอาไปซื้อเอฟเฟ็กต์ได้ เลยยาวเลยทีนี้ (หัวเราะ) อัลบั้มนี้จะเป็นผมทำ 100 เปอร์เซ็นต์จะมีแค่น้องเซ้นส์ ที่เป็นคนมิกซ์อยู่ห้องอัดผม อยู่กัน 2 คนคอยให้คำปรึกษาระหว่างที่ทำอัลบั้ม เช่นผมทำซาวด์มา 3 แบบ ก็จะมาถามว่าเอาแบบไหนดีให้มาช่วยเลือก ซึ่งโชคดีที่ผู้ช่วยผมเทสต์ดนตรีใกล้เคียงกัน และสุดท้ายเซ้นส์ก็เป็นมือเบสที่มาเล่นในอัลบั้มนี้เป็นแบ็คอัพตอนเล่นสด อัลบั้มนี้เพื่อนๆ ในวงผมได้ฟังพร้อมๆ กับทุกคนคือผมแทบไม่ได้บอกใครในวงเลย
Facing Death By Now
อู๋ : อัลบั้มนี้ทำขึ้นในระยะเวลาเดียวกับที่ทำอัลบั้ม Cry ระดับความแย่ของจิตใจกับสภาพทุกอย่างคือเท่าๆ กัน มันเป็นช่วงที่เจอเรื่องแย่ๆ เยอะมากๆ แล้วผมเป็นคนอ่อนไหว แล้วก็จิตตกกับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ อัลบั้มนี้มันพูดเรื่องความผิดหวังในชีวิต ความตายแทบจะเป็นจุดประสงค์หลักของอัลบั้มนี้เลย มันเป็นเรื่องราวเดียวกันกับอัลบั้ม Cry นะ เพียงแต่เราทำให้มันย่อยง่ายขึ้น แต่ใน Torrayot มันเป็นเรื่องราวที่ย่อยยากกว่า The Yers เยอะ
Track List : Stairway To Death
อย่างที่เธอต้องการ
อู๋ : เพลงนี้เกิดจากเราชอบเก็บประโยคนึงมาคิด เวลาเราทะเลาะกับใคร หรือโกรธใครมันจะมีประโยคที่ทุกคนเคยเจอก็คือ “มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป” เราเก็บตรงนั้นมาคิดว่า ถ้าวันนึงเรายอมรับคำเสนอนั้นจริงๆ แล้วเรายอมตายไปจริงๆ คุณจะรู้สึกอะไรกับเราไหม ในตัวเพลงผมจะเล่าว่าไม่ช้าหรือเร็วก็จะหายไปจากโลกนี้ อย่างที่เธอต้องการเลย ไม่ต้องห่วง ถ้าพูดอย่างนี้บ่อยๆ เดี๋ยวจะไปทำสิ่งนั้นให้ คือถ้าเปรียบกับ The Yers เราก็จะพูดให้ง่ายขึ้นใส่ตัวละครชาย-หญิงลงไป ในพาร์ทดนตรี กีตาร์เริ่มจากเสียง Fuzz ที่คนในสาย Stoner หรือว่า Doom จะใช้กัน แล้วใช้คู่กับตู้ Orange ซึ่งเป็นมาตรฐานของซาวด์กีตาร์ในแนวเพลงนี้ เราอยากเล่นริฟฟ์กับซาวด์แบบนี้มานานแล้ว แต่เราเล่นไม่เคยถึงเลย เรามีแค่ Distortion กับแตกตู้ High Gain มันก็ยังไม่ใช่ เล่นแล้วมันไม่ถึงสักที คราวนี้พอผมได้เซ็ตอัพนี้บวกกับกีตาร์ที่ปกติเขาจะใช้ Humbucker จาก SG หรือ Les Paul แต่ผมใช้ Single Coil จาก Jaguar ซึ่งแม่งโคตรไม่เข้าเลย แต่พอมารวมกันแล้วมันได้ (หัวเราะ) อันนี้มันมีย่านแหลมที่จัดการไม่ได้ล้นออกมา แต่เป็นสิ่งที่เราชอบริฟฟ์กีตาร์เป็นอะไรที่สาย Stoner ชอบเล่นกันแบบมีนิ้วเดียวยังเล่นได้เลย แต่พอหักไปเสียงคลีน ก็จะคลีนมากๆ ในโปรเจ็กต์นี้ผมใช้ตู้แอมป์ 2 ตู้ คือ VOX กับ Orange ผมเป็นคนหลงใหลเสียงคลีนของ VOX มาก จนถอนตัวไม่ขึ้น (หัวเราะ) ตอนแรกว่าจะใช้ซาวด์คลีนที่เสียงแข็งกว่านี้ ปรากฏมันแข็งเกิน เลยใช้เป็น VOX กับเอฟเฟ็กต์ Reverb ที่ฉ่ำมากๆ ซึ่งเป็นเอฟเฟ็กต์ที่ผมหลงใหล ผมอยากให้เพลงมีทั้ง 2 มู้ดนี้ เราอยากให้มีความหนักแน่นกับเสียงหลอนๆ Reverb แบบนี้ด้วย ก็เลยตัดสินใจว่าท่อน Hook ให้มันแบบตกเหวไปเลยดีกว่า (หัวเราะ) ส่วนซาวด์กลองท่อนสุดท้ายจะเป็น Sampler เสียงโลหะที่ผมเอามาซ้อนกัน ถ้าเคยฟังพวก Industrial อย่าง Nine Inch Nails, Rammstein จะเคยได้ยิน ผมชอบซาวด์โลหะมานานมาก ตั้งแต่ The Yers เพลงแรกผมก็เอาซาวด์ล้อแม๊กมาใช้ จริงๆ ซาวด์พวกนี้มันอยู่กับ The Yers ไม่ค่อยได้เพราะมันรบกวนหูมากๆ พอได้โอกาสผมเลยใส่ให้มันเยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ (หัวเราะ) ใส่เป็นกรู๊ฟกลอง เสียงปิดประตูเป็นเสียงกระเดื่อง เสียงฟาดท่อนเหล็ก เอามาเป็นเสียงสแนร์ แล้วเทคนิคในการใส่ชองผมคือไม่ได้ใส่ใน Layer เดียวกัน แต่ใส่ให้มัน “แฟลม” (เหลื่อมๆ กัน) เพ่อให้ความรู้สึกที่ใหญ่และหนามากที่สุด แต่สิ่งที่เรียบง่ายที่สุดคือ ฟอร์มของเพลงที่เป็น Verse มา Hook ไม่มีท่อนอะไรที่มากกว่าเพลงของ The Yers เลย
สะกด
อู๋ : เพลงนี้พูดถึงเวลาเราทำไม่ดีกับใครคนนึง หรือเวลาที่เขาทำไม่ดีกับเราด้วย แต่เรายังหลงใหลในตัวคนๆ นี้อยู่ ไม่รู้ว่าจะเข้าไปต่อหรือถอยออกมาดี ผมเปรียบเสมือนว่าเรากำลังโดนคนๆ นี้สะกดอยู่ ผมเปรียบเทียบเพลงนี้ด้วยสายตา ซึ่งผมมองว่าสายตาเป็นสิ่งที่สื่อถึงจิตใจคนเรา เพลงนี้ตอนทำผมไม่ได้คิดถึง Blackgaze นะ อยากแค่ให้มันเป็น Shoegaze มากที่สุด ซึ่งเป็นแนวดนตรีที่ผมหลงใหลมากๆ ปัญหาคือวิธีการเล่นของ Shoegaze มันจะแบบนึงที่ทุกคนชอบเล่น คือเสียงกีตาร์ที่มากับคันโยก กับเสียง Reverb ที่มาก่อน Fuzz ให้เสียงพล่าแล้ววนมากๆ ผมเซ็ตระบบเอฟเฟ็กต์ แอมป์ ให้เป็น Shoegaze มากที่สุด แต่ผมเอามาเล่นเป็น 16th Note คือถ้ากลองเบิ้ลเป็น 16th Note ตามก็จะเป็น Blackgaze แต่กลองเพลงนี้ผมตีแบบกรู๊ฟร็อคปกติ ความตั้งใจแรกผมแค่อยากเล่น Shoegaze ให้ต่างจากปกติเท่านั้นเองไม่ได้คิดถึง Blackgaze แล้วคอร์ดนี่ป็อป 2 คอร์ด ซาวด์ก็จะเป็นแตกมากๆ แล้วมาคลีนซึ่งเรียกว่าเป็นคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนี้ได้เลย เพลงนี้ก็ตั้งใจให้มันตกเหวเหมือนเพลงแรก แต่จะต่างกันตรงท่อนท้ายผมก็จะเลี้ยงไว้ยาวๆ ผมดีไซน์ว่าอยากให้เวลาโชว์ผมโฟกัสกับกีตาร์ในฐานะมือกีตาร์ไม่ต้องโฟกัสกับไมค์และการร้อง อยากจะเล่นกีตาร์กับท่อนนี้นานๆ
Beads
อู๋ : คำว่า Beads แปลว่าลูกประคำ ตอนแต่งเพลงนี้ผมคิดถึงเวลาเข้านอน แล้วผ้าห่ม ห่มไม่ถึงเท้า แล้วมันจะเย็นๆ รู้สึกเหมือนกลัวผีมาจับเท้า (หัวเราะ) ผมว่าหลายคนเป็นนะ ไม่ใช่แค่ตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ผมนึกถึงเหตุการณ์นี้ตอนที่ขับรถอยู่แล้ว ตอนนั้นผมมีลูกประคำแขวนอยู่บนกระจกรถ เราได้ดนตรีเพลงนี้มาก่อนแต่ยังไม่มีเนื้อ มาคิดดูเรื่องลูกประคำไม่มีใครเคยเขียนถึงเลย ก็น่าสนใจแล้วลูกประคำมันสอดคล้องอะไรกับชีวิตเราได้ คือผมชอบคำว่าลูกประคำมาก คือผมเอาเรื่องพวกนี้มาลิงค์กับเรื่องราวต่างๆ ลูกประคำ มาเข้าเรื่องผี เราก็ไม่เคยเจอผี ก็เลยมาคิดถึงเรื่องผ้าห่มที่เราหลอนไปเอง พอตอนหลังเรามาเข้าอิสลาม เราก็ได้รู้ว่าลูกประคำมีอีกประโยชน์นึง ทางอิสลาม เขาใช้ลูกประคำเพื่อทำสมาธิในการนับคำในบทสวดที่เราต้องท่อง แต่ตอนที่ผมเขียนเพลงนี้ผมยังไม่ได้เข้าอิสลามผมก็เลยนึกถึงลูกประคำที่มันถูกปลุกเสกมา เพื่อกันสิ่งลี้ลับ ซึ่งสิ่งลี้ลับมาท้ายเพลง (หัวเราะ) ดนตรีเพลงนี้ท่อนท้ายๆ เพลง Beads เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ยัดความอยากได้ของผมมาตั้งนานแล้ว ในเพลง The Yers ผมอยากได้กลองแบบนี้มานานแล้ว แต่มันโหดเกิน หาที่ลงไม่ได้ ส่วนท่อนกีตาร์ที่เป็นยูนิซั่น คล้ายๆ 3 พยางค์คั่นมาจากที่ผมเวลาคิดเพลงมันจะเริ่มจากดนตรีนำมากๆ พอเราได้ยินว่าอยากได้แบบไหนก็เลยใส่ท่อนนี้เข้าไปซึ่งจะเจออยู่เรื่อยๆ ในเพลงนี้
Mendacious Life
อู๋ : เนื้อหาเพลงนี้ Brutal Death มาก เพลงนี้คำแปลคือชีวิตตอแหล เหมือนเราเจอคนๆ นึงแล้วรู้สึกว่าเลิกส่งสายตาแบบนี้กับเราได้ไหม แต่ไม่รู้จะไปบอกเขายังไงเลยเขียนเพลงนี้ขึ้นมา เนื้อหาก็เล่าประมาณว่าเธอกำลังเต้นรำอยู่ใต้ต้นไม้ ด้วยแววตาที่สดใสร่าเริง แบ๊ว โดยที่เธอไม่มีเรื่องกังวลอะไรในโลกนี้ แต่หารู้ไม่ว่าคืนนี้เป็นคืนที่ฉันเตรียมมีดมา โดยการที่จะฆาตกรรมเธอโดยที่จะถลกไส้พุง แล้วเอาเครื่องในเธอไปให้ปีศาจกิน แล้วในขณะที่เธอยังไม่ตายจะเอากระดูกเธอไปปั่นเป็นน้ำ ให้เธอกินเข้าไป Cannibal Corpse มาก (หัวเราะ) แต่ผมกลับได้แรงบันดาลใจจากวงฝรั่งที่ไม่ใช่แนวนี้เลยนะ สาเหตุที่ผมเขียนเพลงนี้เพราะผมไปฟังเพลงของวง White Lies รู้สึกจะเพลง Power And Glory หรือ Holy Ghost อะไรสักอย่างนี่แหละ เราอ่านเนื้อเพลงแล้วรู้สึกว่าภาษาอังกฤษมันพาเราไปได้ไกลกว่าภาษาไทยไม่รู้กี่เท่า เราสามารถพูดคำว่าปีศาจ เครื่องใน ไส้ พุง การเอากระดูกมาปั่นรวมกับน้ำแล้วให้เธอกิน คือถ้ามันเป็นภาษาไทยมันจะกลายเป็นตลกเลย ถ้าเล่าด้วยภาษาไทยมันจะกลายเป็นมึงพยายาม มึงไม่เรียลเลย แต่พอเป็นภาษาอังกฤษขอบเขตมันไปได้ไกลมาก แล้วผมอยากเล่าเรื่องอะไรที่เราไม่ได้ทำจริงๆ ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว (หัวเราะ) เราพยายามจะสร้างหนังเรื่องนึงที่มันเป็นหนังสยองขวัญ หนังโรคจิตที่บทมันโหดร้ายมากๆ ซึ่งเราก็เคยดูหนังแบบนั้นมา ก็เลนรู้สึกว่าไหนๆ ไม่มีขอบเขตก็จอหน่อยเถอะวะ เราอยากเล่าให้แบบไม่มีเพลงไหนเคยเล่าอย่างนี้มาก่อน จุดประสงค์หลักของผมคืออยากใส่คำอย่าง ปีศาจ หรืออะไรแบบนี้ลงในเพลงซึ่งการเขียนเนื้อเพลงภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ใหม่กับผมมากๆ แล้วก็เขียนเท่าที่ความรู้จะมี ส่วนดนตรีท่อนที่ค้างเสียงนี่ถ้าไม่มีเมโทรนอมนี่เล่นจริงๆ ลงกันไม่ถูกเลย (หัวเราะ) ช่วงท้ายของเพลงนี้คือ Doom Metal 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นช่วงที่เรารอมานานแล้ว คือตอนปล่อยเพลงไปช่วงแรก 4 เพลง ผมจั่วหัวไว้ว่าเป็น Doom Metal แล้วพอคนสายนั้นมาฟังจริงๆ ก็รู้สึกว่าเฮ้ย มึงแอ๊คเหรอ เอาคำนี้มาแอ็คตัวเองเหรอ มึงจั่วหัวเอาเท่เหรอ ซึ่งเพลงนี้มีส่วนของ Doom Metal อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าอยากฟัง Doom Metal ก็เพลงนี้เลย จริงๆ Doom Metal บ้านเราก็มีคนเล่นนะแต่ก็เป็นกลุ่มเล็ก ผมอาจจะเป็นคนที่พอมีคนรู้จักหน่อยที่เอาแนวนี้มาเล่นก็อยากให้คนที่ชอบรู้จักมากขึ้น ผมไม่เคยฟังดนตรีเมทัลที่มันช้าและมันหนืดขนาดนี้มาก่อน ตอนผมฟังครั้งแรกผมตั้งใจเลยว่าจะเอาซาวด์แบบนี้มาอยู่ในอัลบั้มให้ได้เราอยากเล่น แบบนี้มากๆ
เหนือเวลา
อู๋ : เพลงนี้พูดถึงความตายเลย ผมจินตนาการว่าถ้าเราตายจริงๆ มันจะมีหน้าตาเป็นยังไง เป็นช่วงที่สภาพจิตใจมันแย่มากๆ เพลงมันเล่าว่าไม่ทันได้ทิ้งคำลาเราก็จากกันซะแล้ว จากกันโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเราส่งยิ้มให้กันทางใจเท่านั้นเราไม่สามารถเห็นกันได้แล้ว แล้วผมเล่าปิดท้ายว่าทุกๆ คนไม่ต้องเสียใจนะ เพราะตอนที่ฉันมีชีวิตอยู่บนโลกก็ไม่ได้มีคนสนใจฉันอยู่แล้ว แต่ทางดนตรีคอร์ดจะฟังดูสดใสๆ Reverb จะดาร์กๆ หน่อยอารมณ์มันได้ จริงๆ ถ้าเป็นแบนด์เต็มเพลงนี้จะเป็นเพลงป็อปร็อคเพลงนึงเลย เราสามารถเรียบเรียงเพลงนี้เป็นอีกแบบได้
Disdane
อู๋ : เพลงนี้ผมแต่งให้แฟน เขาไปเจอคนๆ นึงที่น่วมงานด้วย แล้วแฟนผมพยายามทำสิ่งดีๆ ให้เขา แต่โดนดูถูกกลับมา โดนมองไม่ดีกลับมา แล้วโกรธมาก ไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน โกรธกว่าตัวเองโดนเองอีก ก็เลยเขียนขึ้นมาว่าไม่ว่าจะทำสิ่งดีอะไรลงไปก็โดนดูถูก Disdane แปลว่าดูถูก เหยียดหยาม เราตอบโต้อะไรไม่ได้ เหมือนผีเสื้อที่จำศีล รอวันจากไป เพลงนี้ผมเลยปล่อยเต็มเลย เป็นเพลงที่ผมชอบมาก ผมไม่เคยคิดว่าจะแต่งเพลงที่มัน Gloomy (มืดมน) ขนาดนี้ได้ โดยที่เราไม่ต้องพยายามเล่นให้มันหนักหน่วง แค่เสียงคลีน ก็แบบโคตรหม่นมาก นอกจากริฟฟ์ที่หม่นแล้ว ผมอยากให้โซโล่มันเซอร์ไพรส์ด้วยการมีความเป็น Shoegaze เข้ามาเฉยเลย ผมจะคิดถึงโซโล่ Shoegaze ที่เป็น Brit Pop หน่อย อย่าง Ride หรือ Lush แต่ว่าเล่นให้มันเละมากๆ แล้วโน้ตที่เล่นคือบางโน้ตแทบไม่ได้อยู่ในคอร์ด ในคีย์ด้วย แล้วบิดเอฟเฟ็กต์เต็มข้อเลย แล้วเปลี่ยนบีท กลองให้เป็น Drum And Bass ด้วย
31 Till The End
อู๋ : จริงๆ ผมตั้งใจเรียงเพลงให้อารมณ์เรียงกันอยู่แล้ว ด้วยดนตรีไม่ใช่เรื่องเนื้อหา เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมทดลองทำเพลงบรรเลงจริงจังเพลงแรกของชีวิต อย่าง The Yers จะมีเพลงบรรเลงที่เป็นแค่อินโทรเฉยๆ ผมอยากมีเพลงที่มันแบบบรรเลงจริงๆ แต่ว่าในงานของ Torrayot มาก ผมชอบอัลบั้มนึงของ John Frusciante มากชื่ออัลบั้ม Shadows Collide With People เป็นอัลบั้มขึ้นหิ้งของผมเลย เขามีเพลงบรรเลงเพลงนึงที่ผมชอบมาก แล้วเราอยากเอาความรู้สึกแบบนี้ เราอยากเล่นแบบนี้ แต่มีซาวด์แบบ Torrayot ใส่ลงไปแบบเต็มข้อเลย ก็เลยทำเพลงบรรเลงที่เริ่มจาก 1 ถึงล้านเลย คือเพิ่มดนตรีเป็น Layer เข้าไปเรื่อยๆ จนฟังไม่ได้แสบหูเลย สงสารคนมิกซ์ (หัวเราะ) มันเป็น Noise เต็มๆ เป็น Ambient Noise, Shoegaze, Instrumental ที่ผมใส่จนแบบ หนาจนไม่มีอะไรมาขั้น ผมบรีฟคนมิกซ์ไปว่าให้ลืมทฤษฎีทุกอย่างที่เคยทำมาในชีวิต ทำซาวด์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา แล้วให้ซาวด์อัลบั้มนี้ออกจากกรอบนี้จริงๆ
รอยมืดดำ
อู๋ : เพลงนี้พูดถึงเรื่องแย่ๆ ที่ตัวเองเคยทำไว้ แล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ รอยมืดดำเป็นสิ่งที่เราสลัดไปไม่ได้เรายังเห็นอยู่ข้างหลังเราเสมอ ถ้าทนได้ก็โอเค ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องเดียวดายอย่างนี้ตลอดไป เพลงนี้ดนตรีเป็นเพลงที่บอกได้มากที่สุดว่าอัลบั้ม Torrayot คืออะไร นั่นคือสาเหตุที่ผมปล่อยเป็นเพลงแรก มีริฟฟ์กีตาร์ที่เป็นเสียงคลีน ที่เล่นไม่ยากมาก เป็นสิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอเพราะผมเล่นกีตาร์ไม่เก่ง แต่ชอบริฟฟ์อะไรแบบนี้มากๆ บวกกับท่อนกลาง ที่ตีคอร์ดอย่างเดียวเป็น Rhythm คอร์ดเดียว เป็น Message บอกทุกคนว่าผมเล่นกีตาร์ไม่เก่งนะ ผมเล่นได้ดีเพราะมีเอฟเฟ็กต์ช่วย แล้วก็มีซาวด์ดีไซน์ช่วย แล้วโซโล่เป็นสเกลที่ผมว่าดูโง่ที่สุด ที่คงไม่มีใครเอามาเป็นโซโล่ คือมันเป็นการโซโล่ที่แบบฝึกซ้อมไล่สเกลอยู่บ้าน แล้วผมเอามาเล่นให้เป็นโซโล่ แล้วพอเล่นไปสักพักนึงก็เละเลย แบเล่นกีตาร์เข้าไปลึกๆ เหยียบ Delay เพิ่ม Reverb เพิ่ม ผมตั้งใจอยากบอกเลยว่าผมเล่นกีตาร์ไม่เก่งแล้วตั้งใจอยากจะโซโล่แบบนี้ มันจะมีอยู่เพลงนึงในประเทศนี้ไหมที่การโซโล่เป็นการโซโล่มั่ว ผมเคยทดลองในเพลงดื่มที่ The Yers Cover นะ แต่มันยังไม่สะใจ คนไม่เก็ต Message นั้นเลย เราอยากให้ฟังแล้วดูแบบมั่วจริงๆ แต่เพลงดื่มยังเป็น ซาวด์ดีไซน์อยู่ เพลงนี้เลยค่อนข้างฟิน
Facing Death By Now
อู๋ : เอาจริงๆ เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงที่โหดร้ายอะไรเลย เป็นเพลงที่เตือนผมด้วยซ้ำว่าหลังจากที่เราผ่านเหตุการณ์นั้นมา ผมอยู่กับมันได้แล้วเพราะช่วงที่เจอเรื่องราวเหล่านั้นผมหาจุดที่เป็นแกนไม่เจอ ว่าเราจะยึดอะไรดี เราจะอยู่บนโลกนี้ยังไงดี เพลงนี้เล่าว่าตราบใดที่เรามีรอยยิ้มอยู่เรายังเดินไหว สิ่งเลวร้ายพวกนั้นทำอะไรเราไม่ได้หรอก ณ เวลานี้เราเจอกับความตายแล้วผลลัพธ์ที่ได้คือไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในอนาคตอีกเท่าไหร่ก็ให้รู้ไปเลยว่ามึงทำอะไรกูไม่ได้อีกแล้ว เพลงนี้จะมีเอฟเฟ็กต์ Tremolo แบบ 16th Note แล้วปรับให้เป็น Hard Pan คือปรับ Wave เสียงให้เป็น Square Wave เสียงมันก็จะเปิดปิดๆ แบบชัดเจนเลย อยากให้มันฟังดูกวนประสาทด้วยเลยมาตลอดทั้งเพลง แบบฟังริฟฟ์กีตาร์เพราะๆ อยู่ดีๆ ก็มีเสียงนี้เข้ามา ผมอยากได้ยินคนพูดว่า “มึงจะใส่เข้ามาทำไม” (หัวเราะ) เพลงนี้จะปวดหัวตอนเล่นสดมากๆ เพราะในขณะที่ร้องเท้าผมต้องเตรียม เหยียบไว้ ต้องเหยียบเข้า-ออกด้วย โปรเจ็กต์ Torrayot เล่นสด 3 ครั้ง เพลงนี้เหยียบพลาดทุกโชว์ (หัวเราะ) แล้วก็ท่อนสุดท้ายก็เป็น Doom Metal
หมอกที่เริ่มจางหาย
อู๋ : เพลงนี้ตั้งใจให้จบแบบไม่เครียดมาก ทั้งอัลบั้มมันเครียดมาหมดแล้ว ไม่อยากสอดแทรกเข้าไป เพื่อให้ตัดเลี่ยนแต่เอาไว้เพลงสุดท้ายให้มันเครียดมาหมดแล้วมาเปิดๆ หน่อยตอนสุดท้าย อย่างที่บอกว่าเพลงนี้เป็นช่วงที่หาซาวด์ของ Torrayot ไม่เจอ ไม่รู้จะไปทางไหนดี จะโหดเลย หรือยังไงแค่อินดี้เฉยๆ แต่พอเรามีเอฟเฟ็กต์กีตาร์อย่าง Fuzz เข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนเลย เพิ่มความระยำตำบอนมากขึ้น (หัวเราะ)
ความสุขของ Torrayot
อู๋ : ช่วงอัดอัลบั้มเป็นอะไรที่มีความสุขมาก เพลงทุกอย่างเสร็จตอนที่ผมทำสตูดิโอพอดี แต่ผมต้องเบรกไว้ก่อนตอนทำอัลบั้มของ De Flamingo แล้วก็เริ่มทำ เพลงของฟักแฟง พอเคลียร์งานเสร็จคราวนี้ลุยกับ “เซ้นส์” 2 คน ผลัดกันวิ่งเข้าออกในสตูดิโอ มาฟังว่าซาวด์ได้หรือยัง มันสนุกมากๆ ได้ทดลองเอาเอฟเฟ็กต์แบบที่เราอยากได้ก้อนนี้มานานแล้วเก็บเงินซื้อแบบตั้งแต่ The Yers อัลบั้มแรกอย่างเช่น Godzilla Fuzz ของ Devi Ever ซื้อมานานตอนนั้นอยากได้มาก พอเอามาเล่น จริงๆ ก็ตั้งแต่วันแรก จนถึงอัดอัลบั้ม The Yers เสร็จตัวนี้แม่งก็ไม่ได้โผล่มาเลย (หัวเราะ) ก็เลยตั้งใจว่าจะต้องหาทางให้มันโผล่ในอัลบั้มนี้ให้ได้ แต่สุดท้ายก็โผล่ไม่กี่ วิฯ ในอัลบั้ม (หัวเราะ) กลับกันก้อนบางก้อนที่เราไม่คิดว่ามันจะมาเป็นตัวหลักได้ ซื้อเก็บเฉยๆ กลับกลายเป็นว่าใช้งานหลักเลยอย่าง Boss Hyper Fuzz FZ-2 ตอนซื้อมาไม่ได้คิดอะไรนะ มันจะไปเท่สู้ Custom Made แบรนด์แบบนั้นได้ยังไง ปรากฏศึกษาไปศึกษามา ไอ้ก้อนนี้พอเอามาเข้ากับแอมป์ Orange มันถูกต้องตามสเต็ปของมันเลย แล้วผมสะใจมากตัวนี้ผมไปต่อราคาคนที่เชียงใหม่มา เขาเป็นผู้ใหญ่หน่อย แกซื้อเก็บเฉยๆ แล้วซื้อต่อมาในราคาที่ถูกมากๆ แต่พอเราไปเปิดดูใน ebay ก็แบบโอ้โห ผมซื้อราคา 50 เปอร์เซ็นต์ของท้องตลาด แม่งสะใจมาก แล้วตอนนี้ราคาไปไกลมาก อีกเอฟเฟ็กต์นึงที่เป็นอาหารหลักของอัลบั้มนี้ก็คือ Keeley Loomer ที่ตั้งใจซื้อมาใช้เลย เพราะผมชอบมือกีตาร์ของ My Bloody Valentine ที่ชื่อ Kevin Shields มาก เขาคือ Pioneer ของ Shoegaze บนโลกนี้ เขาดีไซน์ให้มี Reverb กับ Fuzz ในก้อนเดียวกัน มี Fuzz 3 แบบ มี Reverb 3 แบบ ความเจ๋งของมันคือเราจะให้ Reverb อยู่หน้าหรือหลัง Fuzz โดยการกดปุ่มๆ ปุ่มเดียว ซึ่งผมตั้งใจให้ Reverb อยู่หน้า Fuzz อยู่แล้วปรากฏเพลงที่ทำแบบนั้นได้มีแค่บางเพลงเท่านั้น ใช้เฉพาะตอนโซโล่ที่จะเอา Reverb ไว้ข้างหน้า รวมถึงพวก Modulation อย่าง Flanger ที่ผมปฏิเสธมาโดยตลอด Tremolo ก็ใช้ หรืออย่าง Chorus ที่พึ่งใช้ช่วงหลังๆ อัลบั้มนี้เป็นการบอกว่าบ้านผมมีเอฟเฟ็กต์ Fuzz กับ Reverb อะไรบ้าง
ควบคุมเรื่องราวความตายด้วยประสบการณ์
อู๋ : จริงๆ ประสบการณ์การทำเพลงกับงานใหญ่ๆ ช่วยผมในอัลบั้มนี้ได้เยอะมากเลยนะ คือพอเรารู้แล้วว่าวงการนี้มีอะไรอยู่แล้วบ้าง ในท้องตลาดมีอะไรบ้าง ประสบการณ์ในการทำ 3 อัลบั้มทำให้เรารู้ว่าการ Recording เราทำอะไรกับมันได้บ้าง แล้วมาตรฐานโลกเขาทำอะไรกันได้บ้าง เราจะได้จับถูกไว้ เฮ้ยอันนี้ดีเราต้องเอามาทำ แต่อีกแบบนึงก็เป็นสิ่งที่ดี ที่คนอื่นทำกันไว้เยอะแล้วเราจะได้ไม่ทำ เราจะได้ไปทำอีกแบบนึง เอาจริงๆ ถ้าผมไม่มีประสบการณ์เลย ผมว่าผมจะทำอัลบั้มนี้ได้ไม่ชอบเท่านี้ เมื่อ 10 ปี ที่แล้วตอนทำอัลบั้ม Y ผมไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย ทั้งเรื่องการอัดเพลง เอฟเฟ็กต์ หรือกีตาร์
Doom, Stoner, Shoegaze กับความหลงใหลในเสียงเหล่านี้
อู๋ : มันเป็นสิ่งที่ผมไปเจอแล้วพอเราหลงลึกในดนตรีเหล่านี้เรื่อยๆ เราไปเจอศิลปินบางคน ที่มีเพลงหลายๆ แนวที่เราไม่เคยเปิดโลกทัศน์แนวนี้เลย ผมหลงใหลหลายงานที่แบบ มันหลอนอยู่แล้ว หรือลึกอยู่แล้ว เราศึกษามันแล้วอยากเล่น อยากนำเสนอบ้าง คือมันเป็นส่วนที่เล็กกว่าอินดี้อีกนะ ถ้าเราจะเรียกน่าจะเป็นอันเดอร์กราวด์ด้วยซ้ำ ขนาดฝรั่งเองจะหวังผลสำเร็จยังยากเลย มันเป็นกลุ่มเล็กมากๆ คือกลุ่มที่ผมไปร่วมด้วยใน Facebook เป็นกลุ่มที่มีคนน้อยมากๆ ยิ่งในเมืองไทยนี่ไม่ต้องสืบเลย แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่มีใครทำ แล้วเรามีศักยภาพที่จะทำอัลบั้มแบบนี้ได้เลยอยากทำ ถ้าจะเอาแบบคนรู้จักเยอะหน่อยก็มีอย่าง Queens Of The Stone Age แต่ถ้าลึกลงไปกว่านั้นก็ยังมีอีกมาก หรืออย่าง Doom คืออะไร ถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เอาเพลง Iron Man ของ Black Sabbath มาเล่นให้ช้าลงอีก 5-6 เท่า เล่นให้ช้ามากๆ และหนืดมากๆ ชาว Doom กับ Stoner เขาจะนับถือ Tony Iommi มากๆ เป็น Lord Of Riff เลย ในแวดวงของดนตรีเหล่านี้มีวงเกิดขึ้นเยอะมากวงหลักๆ ก็จะมี Sleep, Sunn, Electric Wizard หรืออย่าง Bell Witch นี่มือกลองผมชอบมากๆ แล้วก็มีอีกหลายวง แต่กลับกันวงแบบ Blackgaze มันเข้าใจได้ง่ายกว่า แล้วมันก็ขึ้นมากระแทกใจคนฟังอย่าง Deafheaven นี่โอ้โหมาหมดทั้งสำรอกแบบ Black มี Post Rock มี Shoegaze แล้วก็แบบท่อนฟังง่ายๆ ซึ่งเอาจริงๆ คนที่ชอบแนวนี้จริงๆ ก็ไม่ชอบนะ แต่ผมมองว่ามันเจ๋งมาก วงไทยอาจจะยังไม่มี หรือมีแล้วผมไม่รู้ก็ได้ ยังไงถ้ามีก็ฝากบอกผมไว้ก็ได้ครับ
บทสรุปของ Torrayot
อู๋ : อัลบั้มนี้ทำให้ผมได้รีเฟรชไอเดียและแรงบันดาลใจของตัวเอง ตอนทำอัลบั้ม Cry การทำอัลบั้มอะคูสติกของ The Yers ไม่ได้อยู่ในสมองผมอยู่แล้ว แต่ว่าในเวลานั้นต้องทำเพลง ต้องทำอัลบั้มใหม่ออกมา ทุกคนรอบตัวผมโหวตกัน แล้วผมไม่อยากเป็นคนเกเรอยู่คนเดียว การทำอะคูสติก คือทางออกให้ผมได้รีเฟรชแรงบันดาลใจว่า ถ้า The Yers ทำอะคูสติกมันจะเป็นยังไงวะ มันน่าจะทำให้เราเกิดไอเดียอะไรได้เป็นการีเฟรชแรงบันดาลใจปรากฏว่า พอเราคิดจะทำเพลงของ The Yers มันไม่มีไอเดียอะไรเลย มันหายไปหมดเราจับอะไรไม่เจอเลย อย่างเพลง ห้องที่ไม่เคยสว่าง ที่เป็นเพลงพิเศษผมทำด้วยไอเดียแบบไม่มีอะไรใหม่แล้ว ทำด้วยความแบบ The Yers ทำอะไรมาก่อน 9 ปี เรามีวัตุดิบอะไรก็มายัด จริงๆ ผมชอบเพลงนี้ แต่ผมรู้สึกว่าผมควรจะชอบมันได้มากกว่านี้ ผมน่าจะชอบมันที่ควรจะมีไอเดียที่สดใหม่มากกว่านี้ แต่ผมทำมันให้ใหม่ไปกว่านั้นไม่ได้ แต่โปรเจ็กต์ Torrayot นี้หลังจากทำเสร็จ มันมีเวลาให้เราได้พัก ให้หายใจ ทำให้ตอนนี้ฟิลที่เกิดแรงบันดาลใจใหม่ในชีวิตมันเริ่มกลับมาเรื่อยๆ
ฝาก….พี่ๆ น้องๆ ในวงการดนตรีให้ทำไซด์โปรเจ็กต์
อู๋ : นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมทำอัลบั้มนี้ออกมา ผมเห็นหลายคนทำ แต่ยังไม่ได้เป็นตัวเป็นตน แล้วก็ไม่ได้ฉีกกับสิ่งที่ตัวเอง เคยทำอยู่ผมเชื่อว่ามีพี่น้องในวงการ หรือแม้กระทั่งพี่ๆ ในค่ายผมเอง ที่มีรสนิยม ที่ไม่ได้เมนสตรีมเท่าไหร่ แล้วอาจจะถูกข้อจำกัดของอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดโปรเจ็กต์แบบนี้ไม่ได้ก็รู้สึกเสียดายมากๆ เพราะอย่างผมเองก็มีแฟนเพลงกลุ่มนึง และมีคนติดตามอยู่กลุ่มนึงแล้ว นอกจากที่ผมนำเสนองานใน The Yers แล้ว ก็ยังมีอีกส่วนนึงในชีวิตของผมที่มันกลุ่มเล็กมากๆ ไปให้เขาทดลองฟังได้ ผมว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ มันจะทำให้ซีนวงการเพลงไทยเริ่มขยับ พอมันมีเพลงที่แปลกขึ้นเรื่อยๆ รสนิยมคนฟังเพลงก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ววงการดนตรีจะมีอะไรมากขึ้น ผมอยากเห็นคนที่มีแฟนเพลงของตัวเองอยู่แล้วได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้คนฟังเพื่อยกระดับทั้งคนทำเองและคนฟัง แล้วผมรู้สึกว่าในอนาคตเราจะถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีดนตรีเจริญเติบโต ทุกวงสามารถโตได้ในซีนของตัวเอง ไม่ต้องตั้งหลักกับแกนหลักที่มีมานานแล้ว สำหรับ Torrayot คงมีภาค 2 แน่ๆ ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่ผมยังตอบไม่ได้ แต่งานต่อไปก็คงต้องเริ่มของ The Yers แล้วก็รอติดตามกันครับ