การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของวงดนตรีร็อคขวัญใจวัยรุ่น ที่ชื่อว่า Lomosonic ซึ่งถ้าเราติดตามวงนี้มานาน ทุกคนจะรู้ถึงรสชาติเผ็ดร้อนในเนื้อเพลง และตัวเพลง พวกเขาเติบโตขึ้นเรื่อยจนในที่สุด การย้ายโรงเรียน จากสนามหลวงมิวสิค มาเป็น genie records ก็เกิดขึ้น นอกจากย้ายค่ายแล้วยังมีเพลงเป็น EP ให้ฟังอีกด้วย และใน EP ที่ทั้งวงบอกว่าฟังง่าย ย่อยง่ายขึ้น แมสขึ้น!!!! หรือว่าวงนี้ขายวิญญาณไปแล้ว หรืออยากดังเลยทำเพลงแบบนี้ เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงฟังจากปากคำของวงเลยดีกว่า
Sweet Bros EP สุดเท่โดย Lomosonic
บอย : แกนของอัลบั้ม เกิดจากการที่เราได้ทำงานมาเรื่อยๆ จากเด็กมหา’ลัย ที่เต็มไปด้วยอีโก้อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง เล่นตามงานปาร์ตี้เรารู้สึกว่าเราตัวใหญ่มาก ตอนนั้นเหมือนเราทำเพลงให้พวกเราฟังกันเองชุดแรกเป็นแบบนั้น มีความอีโม เหวี่ยงแขนเหวี่ยงขา มองโลกในแง่ร้าย จนมาถึงตอนนี้ เราเจอผู้คนมากขึ้น เจอแฟนเพลง เจอพี่ๆ ทุกคน มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นมนุษย์มากขึ้น อัลบั้มนี้มีแก่น มีใจกลาง มาจากช่วงหลังๆ ที่เราเจอแฟนเพลง มีแฟนเพลงบางคน กล้าร้องไห้กับเรา คือถ้าเป็นตัวเราเองจะไม่กล้าร้องไห้กับคนที่ไม่ไว้ใจ แต่มีคนมาร้องไห้กับเรามากขึ้นในคอนเสิร์ต มันทำให้เรารู้สึกว่าเขาทำให้เราเป็นคนดีมากขึ้น มันทำให้เรามีความเป็นพี่มากขึ้น และสุดท้ายมันทำให้เรารู้ว่า ดนตรีที่เรารู้สึกแฮปปี้ คือการทำดนตรีให้คนมีความสุขไปเยอะๆ จะเรียกว่าแมสมากขึ้นก็ได้นะ
ป้อม : เรารู้ว่าแฟนๆ อยากฟังอะไรจากเรานะครับ เพียงแต่ว่าเราอยากใช้ชีวิตไปให้สุดในดนตรีที่เราอยากทำตลอด จนพอเราไปถึงจุดที่เราหวังแล้ว ปรากฏว่าจุดที่ดีที่สุด คือจุดที่เราเดินผ่านมาต่างหาก จุดที่อยู่ตรงกลางระหว่างแฟนเพลงกับเรานี่แหละ ซึ่งมันทำให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นได้
บอย : จึงเป็นที่มาของชื่อ Sweet Bros. คำว่า Bros. ก็มาจากคำว่าพี่น้อง คือความเป็นพี่ ก็มาจากวัยวุฒิที่มากขึ้น พอรู้สึกถึงความเป็นพี่มากขึ้นก็เลยรู้สึกชอบคำนี้ คราวนี้คำว่า Sweet มันเป็นคำสแลง แบบแปลว่าเจ๋งว่ะ เฟี้ยว อะไรแบบนี้ หรือจะแปลตรงๆ ว่าหวานก็ได้ มันเป็นระยะห่างระหว่างเรากับแฟนเพลงที่น้อยลง เราตีตัวเองว่าเราเป็นพี่ พี่ที่มีการแสดงออกที่หวังดี เพราะฉะนั้นอัลบั้มนี้จะมีสีมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ทั้งในส่วนเนื้อหาและดนตรี
ป้อม : พวกผมค่อนข้างแฮปปี้กับอัลบั้มนี้มากนะครับ ทั้งสิ่งที่เปลี่ยนไป ทั้งสิ่งเดิมผสมกัน ผมว่ากลมกล่อม รสชาติดีมากขึ้น
ปิติ : แล้วอัลบั้มนี้เรามีพี่อ๊อฟ มานั่งเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ซึ่งก็คอยไกด์อะไรให้เราหลายๆ อย่าง เช่นเพลง “วันที่ฉันไม่อยู่” ท่อนโซโล่ พี่อ๊อฟก็มีคำแนะนำอย่างการสลับ Phase แรก Phase หลังสลับกันให้ลงตัวมากขึ้นด้วย ก็ดีใจมากที่ได้ร่วมงานครับ อัลบั้มนี้อัดเสียงที่ Kandee Ztudio กับห้อง Grand’s Studio ด้วย
ป้อม : จริงๆ การทำงานในอัลบั้มนี้ เราสะสมเพลงไว้เป็นปีนะครับ พอขั้นตอนที่จะทำนี้โอโห สนุก (หัวเราะ)
ปิติ : ก็ระหว่างที่ทำงาน ก็ยังเป็นช่วงที่เราทัวร์ได้ ก็สนุกจนเกินพอดีไปหน่อย (หัวเราะ)
ป้อม : ระหว่างอัดเสียงมีทีม ทำปก ทีมเสื้อผ้า ทีม MV มาประชุมตลอดครับ จำได้เลยตอนไปฟังมาสเตอร์ริ่ง เรายังไม่ได้นอนเลย ไปเล่นคอนเสิร์ตมาเสร็จแล้วบึ่งรถกลับมาเลย (หัวเราะ)
อ๊อฟ Big Ass โปรดิวเซอร์ของวง
ป้อม : เอาจริงๆ แกเก่งแล้วอึดกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย
บอย : พี่อ๊อฟเขาเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น อย่างการบันทึกเสียงร้องในอัลบั้มนี้เกิน 80 เปอร์เซ็นต์เป็น Long Take เพราะส่วนตัวผม ผมว่ามันธรรมชาติมาก กำลังเลยดี มันมีความลื่นไหล มันมีคำบางคำที่ถูกตัดขอบอย่างพอดีที่สุด พี่อ๊อฟได้ยินในสิ่งที่เราไม่ได้ยิน ค่อนข้างเยอะ แล้วก็มีความเข้าใจกับวงทำงานสอดประสานกับวงได้ดี พวกเราคงทำงานมาไม่ได้ถึงขนาดนี้ถ้ามีแค่พวกเรากันเอง แม้แต่มาสเตอร์ริ่งก็ทำโดย Ted Jensen ซึ่งพี่อ๊อฟก็ช่วยผลักดันให้
การย้ายค่ายมา genie records
บอย : ตอนนั้นเรากำลังจะหมดสัญญากับสนามหลวง ก็มานั่งคุยกันว่าทิศทางวงจะยังไงกันต่อ เราก็คุยกับพี่เปิ้ล (ผู้บริหารค่ายสนามหลวงมิวสิค) ตรงๆ ซึ่งทีมของสนามหลวงก็ดูแลเรามาอย่างดีตลอด จริงๆ มันเหมือนย้ายโรงเรียนครับ เป็นอะไรที่ใหญ่ขึ้น แต่กฎระเบียบก็เพิ่มขึ้นด้วย แต่ทุกคนก็เห็นตรงกัน เลยลองคุยกับพี่อ๊อฟดู ก็เป็นไปตามระเบียบของสัญญา มารยาท ซึ่งจริงๆ ต้องขอบคุณสนามหลวงมากจริงๆ ที่ช่วยผลักดันในเรื่องนี้
ออตโต้ : พี่เปิ้ลแกเหมือนส่งลูกจากมัธยมเข้ามหา’ลัยครับ ผลักดันให้พวกเราเติบโตด้วย
บอย : ก็มีหลายคนที่ถามเรามาตลอดว่าเราไม่อยู่ genie เหรอ เราไม่ได้ถึงขนาดติดแบรนด์ หรือเร่งเร้าจะมาขนาดนั้น ความโชคดีของวงเราคือการยังได้ทำงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครมาบังคบว่าเราต้องทำแบบโน้น แบบนี้ ซึ่งก็ยังอิสระเต็มที่ ส่วนเพลงที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้อย่าง “กลัวว่าความคิดถึงของฉันจะทำร้ายเธอ” หรือ “ยอมแพ้” จะกลายเป็น Single ไปแบบนั้นเลย คือพอเอามาวางรวมกันกับเพลงอื่นในอัลบั้มมันไม่ค่อยเข้าพวก
ป้อม : มันไม่ Sweet เท่าไหร่ (หัวเราะ)
บอย : แต่ในโชว์เราก็ยังเล่นอยู่นะครับ
เจาะลึกเพลงใน Sweet Bros
วันที่ฉันไม่อยู่
บอย : เท้าความก่อน สาเหตุที่เพลงนี้ได้เป็น Single แรก มันเริ่มจากตอนแรกเรามีเพลงในมือ 6-7 เพลง แต่ก็ยังไม่ได้มีแผนการว่าจะทำยังไง จนพอเราย้ายมาอยู่ที่ genie records เราก็มานั่งคุยกันว่าจะเอายังไงดีกับเพลงพวกนี้ ก็เลยคุยกับพี่อ๊อฟว่าเพลงนี้ในชุด 6-7 เพลงนี้ มันเอามาทำเป็น EP ได้ แล้วเพลง “วันที่ฉันไม่อยู่” เป็นเพลงที่พี่อ๊อฟ บอกกับเราว่า ถ้า Lomosonic ตัดสินใจที่ยกระดับตัวเอง หรือเพิ่มมิติให้กับตัวเอง ควรจะเป็นเพลงนี้ เพราะเพลงนี้มันมีสีสัน แล้วก็ยังเป็นเพลงที่ปักธงบอกอาณาเขตเราได้ เป็นเพลงที่จะประกาศแบรนด์ดิ้งเราได้ เพลงนี้ขึ้นโครงสร้างมาก่อน เป็นเมโลดี้กับทางคอร์ดเนื้อเพลงนี่เป็นป็อปลูกกวาดมากๆ เพราะเราอยากทำเพลงชุดนี้ให้คนหมู่มากร้อง ปัญหาคือเมโลดี้มันไปไกลกว่าเนื้อหา ซึ่งผมก็รู้สึกว่าที่เขียนมามันไม่พอ ก็ปรึกษาพี่อ๊อฟ กับพี่โป โปษยะนุกูล ในเรื่องนี้ ทุกคนก็คิดเหมือนกันว่ามันยังขาดๆ บังเอิญช่วงนั้นผมย้อนไปดู Titanic ใน Netflix คือสมัยเด็กเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันยิ่งใหญ่จัง พอดูถึงตอนจบผมมีความรู้สึกว่า เออ ทำไมการจากลานี้มันยิ่งใหญ่จัง ก็เลยเก็บความรู้สึกตรงนั้นมา ซึ่งมันตรงกับความรู้สึกที่เราอยากได้ในเพลงนี้ เหมือนเรารอคนที่จะมาขี่ม้าตัวนี้ให้ไปด้วยกันได้ ก็เลยลองไปเสนอ ก็เลยได้ประโยคแรกเลยว่า “พรุ่งนี้ถ้าเธอไม่มีฉันอยู่ ให้รู้ว่าฉันรักเธอแค่ไหน” แล้วก็ได้พี่โปมาเป็นคนตัดขอบเนื้อเพลงให้
ปิติ : ตัวโครงดนตรี พี่ป้อมเขาบอกว่าอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงที่มีท่อนฮุคมากที่สุด เราจะยัดท่อนฮุคได้มากที่สุดกี่รอบในท่อนเพลงนี้ คือเราไปดึงโครงสร้างของเพลงฮิปฮอปมา
ป้อม : เรฟเฟอเรนซ์เพลงนี้เราดึงมาจาก Post Malone ซึ่งผมชอบเขาในฐานะคนดนตรีด้วย ผมฟังแล้วตั้งคำถามว่าทำไมฟังเพลงเขาแล้วมันติดหูหมดเลย ไม่ใช่แค่เพลงดังด้วยนะ เพลงเล็กๆ น้อยๆ ก็ติดหู พอเรามาวิเคราะห์ เพลงเขาเพลงนึงมีฮุคตั้ง 6 ครั้ง ซึ่งปกติเพลงทั่วไปเราใส่ฮุค 3 ครั้งก็เยอะแล้ว ก็มาวิเคราะห์ว่าเขาใส่ได้ยังไง ก็พบว่าเขาใส่ฮุคมาตั้งแต่ต้นเพลง พอท้ายเพลงก็มีฮุคอีก มันเหมือนหัวขบวนรถไฟ เพราะฉะนั้นตรงกลางมันก็จะใส่อะไรก็ได้มากขึ้น เราเลยทดลองดู จนออกมาเป็นเพลงนี้ เพลงนี้ผมรู้สึกว่าเหมือนเราเอาเพลง “อยากจะรักแค่ไหน” กับเพลง “เก็บไว้” แล้วทำให้มันกระโดดได้ แล้วก็ใส่สิ่งใหม่ๆ ลงไป
บอย : ส่วน MV ทางวงเรากับทีมวิดีโอคุยกันถึงเนื้อเรื่องคร่าวๆ ทางทีมเขาก็เสนอสัญลักษณ์นึงคือไอศกรีม ซึ่งถ้าพูดจริงๆ มันเป็นสัญลักษณ์ที่คนเข้าถึงได้ง่าย แต่มีคนไปตีความได้ตรงกับสิ่งที่เราอยากจะสื่อคือไอศครีมหมายถึงโอกาส เราต้องกินมันตอนที่ยังไม่ละลาย มันเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสจะทำอะไรให้คนที่เรารักอยู่ ก็ต้องทำก่อนที่มันจะละลาย ซึ่งจริงๆ ก็มีคำใบ้อย่างอื่นอีกเช่น การใส่เสื้อกลับด้านของตัวละครแล้วก็ที่หลายคนก็ยังตีความไปไม่ถึง คือความสัมพันธ์ ของตัวละครเป็นพี่น้องกัน คือเวลาที่มีจะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ มันอาจจะไม่ต้องเป็นความสัมพันธ์ชายกับหญิงก็ได้ อย่างเด็กๆ เราอาจจะสนิทกับย่า กับคุณพ่อ หรือพี่ข้างบ้าน ทุกความสัมพันธ์ จะซึมซับกันโดยไม่รู้ตัว เราจะซึมซับสิ่งที่ดีๆ อย่างเช่น ย่าอาจจะสอนเราว่ากินข้าวอย่ากัดช้อนนะ พอเรากินข้าวเราจะนึกถึงเรื่องดีๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “หากโลกที่หมุนเร็วเกินไป จะพาชีวิตฉันลาไป ให้โลกที่สองเราเคยมี โอบกอดชีวิตของเธอไว้” มันเป็นการพรีเซนต์ความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่หญิงชายอย่างเดียว ซึ่งผมค่อนข้างดีใจกับเนื้อเพลงนี้ตรงที่ คนทั่วไปเข้าใจในแง่มุมความรักแบบหนุ่มสาวได้ และมีคนที่ตีความลงลึกได้ ซึ่งผมโอเคมากๆ ที่มันไปถึงคนหมู่มาก ต้องขอบคุณแฟนเพลงมากๆ
ยังไม่ถึงเวลา
บอย : เพลงนี้หลายคนบอกว่าเป็น Lomosonic มากที่สุดไม่ได้หลุดจากพวกเรามากนัก แต่จะมีสีสันบางอย่างใส่ลงไปเช่นพาร์ทที่เป็นนักร้องหญิง พักเสียงผมสักหน่อย (หัวเราะ) จริงๆ เพลงนี้ถูกเขียนช่วงเดียวกับเพลง “กลัวว่าความคิดถึงของฉันจะทำร้ายเธอ” แต่ตอนนั้นเรายังเก็บมันไว้อยู่ แต่เราเอามาต่อยอดตอนที่จะทำอัลบั้มนี้ คือตอนที่เรามาคุยกับพี่อ๊อฟ เราก็มีเพลงนี้เพลงเดียวนะครับ เพลงอื่นยังไม่เสร็จเลย (หัวเราะ)
ป้อม : ในเพลงนี้จะมีคำว่า “พักก่อน” ซึ่งเราเขียนก่อนจะมีเพลงพักก่อนด้วยนะ (หัวเราะ) แต่ผมรู้สึกเตะหูกับคำนี้ พอสมควร ทำไมโลโมฯ มันดูน่ารักจังวะ (หัวเราะ) ซึ่งมันนานมากแล้วนะ
บอย : ใช่เราเขียนมา 2 ปีกว่าแล้ว คือภาพในหัวผมเป็นแบบนั่งหน้าบาร์แล้วเจอโจทก์กระทืบ เรายกมือขึ้นแล้วแบบพอก่อน พักก่อน (หัวเราะ) เก็บคองอเข่า น่วมแล้ว (หัวเราะ) ก็พอมาปล่อยช่วงที่มีเพลงของน้อง Milli พอดีเลยมีคนพูดถึง ซึ่งเราเองก็พอจะเดาได้แหละ แต่ผมก็ดีใจที่ไม่ค่อยโดนล้อมากเพลงนี้เนื้อหาเราจะเล่าว่า เวลาเราเศร้า ไม่ว่าจะเรื่องความรักหรืออะไร เราก็จะมีคนเข้ามาปลอบแบบ เฮ้ย! เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น แต่สมมติเรานั่งเศร้าๆ ในผับ นัดเพื่อนมา 10 คน มันมาพูดแบบนี้ทุกคน เราก็ไม่ไหวนะ คือกูรู้แล้ว ว่ามันจะหาย (หัวเราะ) แต่ให้อารมณ์มันทำงานไป คนเราร้องไห้ได้ ผมว่าการให้เวลากับความเสียใจ มันจะทำให้ดีขึ้นจริงๆ แต่ตอนนี้ขอกูร้องไห้ ขอกูพักก่อน (หัวเราะ)
เพื่อนเก่าชื่อความเจ็บช้ำ
บอย : เพลงนี้ตอนเริ่มเป็น ออตโต้ กับ ปิติ เป็นโปรเจ็กต์ของเกม แต่เขาไม่เอา ผลประโยชน์เลยมาตกที่เรา (หัวเราะ) ขอบคุณที่ไม่เอานะครับ (หัวเราะ) เราก็เลยเอามาทำกันต่อ ซึ่งพอให้พี่อ๊อฟฟัง แกก็บอกอย่าทิ้งเลย แล้วพอโจทย์เป็นการ feat คราวนี้เลยกลายเป็นงานยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแบ่งตัวตนกับคนที่มา feat เรื่องของเคมี การพูดคุยหลายอย่าง แล้วอีกเรื่องคือการ feat ของผู้ชาย 2 คน ทำยังไงไม่ให้เราจูบปากกัน (หัวเราะ) คราวนี้ก็มาดูเรื่องเนื้อเพลง จะพูดเรื่องอะไร พอเราจะ feat กับ 25 hours เรื่องที่เราพูดได้เลยคือความเป็นเพื่อนกัน เราก็เป็นเพื่อนกับพวกเขามา 10 ปีแล้ว พอทำเนื้อเพลงแล้วลองเอามาร้องมันก็ไม่ขัดเขินนะ ผมไม่ต้องจูบปากกับแหลมแล้ว ไม่ต้องจิ้น (หัวเราะ)
ป้อม : คือถ้าเนื้อเพลงเป็นเรื่องความรัก แล้วคิดภาพสิ บอยไปดูแหลมเล่นแล้วโบกมือให้ (หัวเราะ)
บอย : เนื้อหามันจะพูดถึงว่าถ้าเราอกหักสัก 10 ครั้ง ถึงเราจะมีคู่มือรับมือการอกหักยังไงมันก็เจ็บปวดอยู่ดี แต่ครั้งหลังๆ ก็อาจจะไม่ฟูมฟายเหมือนแรกๆ ความเจ็บช้ำมันก็เหมือนเพื่อนนั่นแหละ เวลาอกหักมันก็จะมาเคาะประตูแล้ว ถือกระเป๋ามาวางตึ้ง! เปิดมาเป็นเหล้า (หัวเราะ) นั่งสังสรรค์กันไป
ป้อม : ตัวดนตรีเราเอาจากที่ปิติกับออตโต้ที่ไปขึ้นเพลงกับ 25 hours อยู่แล้วมาทำต่อ โดยที่คิดว่าครึ่งแรกไม่ไปแตะเลยละกัน เราก็ทำครึ่งหลังแบบเราต่อปรากฏว่า เออ มันเข้ากันได้ เหมือนกับทำ 2 เพลง โดย 2 วงใส่กันเต็มที่ ให้คนละ 2 นาที แล้วเอามารวมกัน
ออตโต้ : ตัวพาร์ทแรกตอนไปทำงานกับ 25 hours ทางเขาบอกว่าเอาซาวด์กลองแบบโลโมฯ ดีกว่า แล้วก็ให้ปิติ ใส่ไลน์กีตาร์ลงไป ซาวด์เพลงเลยไม่หนีจากพวกเรามากนัก
ปิติ : ผมนั่งทำเพลงนี้กับแหลมเลย ไปบ้านโฟร์ บรรยากาศดีมาก แต่ผมค่อนข้างกดดัน เพราะ 25 hours เก่งมาก ทำเพลงกันเร็วมาก พอได้ไลน์กีตาร์อะไรมาเสร็จผมก็ให้พี่ป้อม มาบิดคอร์ดช่วงท้ายให้ออกไปทางไมเนอร์หน่อยๆ
บอย : เอาจริงๆ ฟอร์มเพลงนี้นอกจากจะไม่ใช่ทางที่เราทำกันบ่อยๆ ก็ค่อนข้างหลุดจากเพลง Featuring โดยปกติด้วย ปกติฟอร์มเพลงแบบนี้เราจะต้องร้องก่อน แต่เราก็ปล่อยเลย
คนขี้อ่อย
บอย : เพลงนี้ถ้าไม่ได้ปล่อย EP จะเสี่ยงอวัยวะเบื้องล่างอยู่ (หัวเราะ)
ป้อม : ย้ายมา genie เพลงแรกปล่อยคนขี้อ่อย (หัวเราะ)
บอย : คำแรกที่เจอแน่ๆ คือมึงขายวิญญาณ (หัวเราะ) พวกเราตั้งการ์ดรอเลยเพลงนี้ คืออยากให้ลองดูในรายละเอียดเพลง เพราะสำหรับเราเพลงนี้ไม่ได้ทำง่ายเลย
ป้อม : เราไม่ได้อยากจะทำเพลงร็อคเครียดๆ เพราะทำมาเยอะแล้วซึ่งเราอยากทำร็อคสดใสบ้าง
บอย : จริงๆ เรามีคำถามกับเพลงนี้นะ จะป็อปไปไหม จะทิ้งดีหรือเปล่า แต่พี่อ๊อฟก็บอกว่าเพลงมันฟังดูสบายดี เลยหยิบมาแต่งตัวใหม่ แล้วก็มีเรื่องเนื้อเพลงที่คราวนี้เราได้พี่โป โปษยะนุกูล มาช่วย เราได้ความรู้เรื่องการเขียนเพลงมากขึ้น แล้วจริงๆ ตอนแรกเราจะไม่ได้ใช้ชื่อคนขี้อ่อยด้วย คำนี้เหมือนพวกเรานั่งอยู่ แล้วผมก็โพล่งออกมา เอาชื่อเพลงคนขี้อ่อยนี่แหละ แล้วผมว่าพอมันมาอยู่ในอัลบั้มนี้มันก็มีที่ทาง ที่จะอยู่ของมันได้
ออตโต้ : ที่น่าสนใจคือเราคิดว่าแฟนเพลงอัลบั้มแรกๆ ของเราจะไม่ชอบเพลงนี้นะ กลายเป็นว่าเกิน 70-80 เปอร์เซ็นต์ ชอบเพลงนี้ ผมว่าแฟนๆ เริ่มรู้จักตัวตนของเราแล้ว รู้ว่าจะทำอะไรต่อ
บอย : จุดประสงค์หลักของเพลงนี้คือ สนุกกับมันเถอะว่ะ แล้วรอตอนโชว์เดี๋ยวมึงจะรู้ว่าจะสนุกยังไง (หัวเราะ)
รักครั้งสุดท้าย
ป้อม : เพลงนี้มีคนบอกว่าคล้ายๆ เอารัฐ Tattoo Colour มาช่วยเขียน ซึ่งผมก็คิดนะว่ามันฟังดูดีขนาดนั้นเลยเหรอวะ (หัวเราะ) สำหรับผมเป็นคำชมนะ ที่เปรียบเทียบกับคนเก่งขนาดนั้น คือเรื่องของเรื่อง ตัวผมว่างไง เลยไปลงเรียนพวกกีตาร์ออนไลน์เลยมีความรู้มาบ้าง คราวนี้พอเราทำอัลบั้มใกล้เสร็จแล้ว พี่อ๊อฟบอกว่ายังขาดเพลงช้าอีกเพลงนึง
บอย : ซึ่งเป็นคำที่น่ากลัวมากสำหรับพวกเรา (หัวเราะ) พูดตรงๆ ในที่ประชุมผมกลัวมาก “เพลงช้าที่เพราะแบบไร้เงื่อนไข และในระยะเวลาที่จำกัด” (หัวเราะ) คือในใจผมคิดเลยว่า จะใช้เวลาอีกกี่เดือนวะเนี่ย
ป้อม : เราลองทำเพลงแบบโลโมฯ เดิมๆ แล้ว 4 คอร์ดวนลูปไป แต่มันไม่ค่อยเพราะ ตอนนั้นอยากได้เพลงบัลลาดแบบ X Japan แต่ออตโต้บอกว่าเอาแบบเพลงเกาหลีดีกว่า
ออตโต้ : คือผมฟังเพลงซีรี่ส์เกาหลีแล้วรู้สึกว่าทำไมมันเศร้าขนาดนั้นวะ ก็เลยบอกป้อมว่าลองมั้ย ก็จัดเลย
ป้อม : เอาจริงๆ เสียงบอย นี่มันเข้ามากเลยกับเพลงบัลลาด เราอยากทำแบบ Forever Love แต่มันออกมาโบราณมากเลย (หัวเราะ) แล้วคราวนี้ออตโต้มาท้าผม เปิดเพลงเกาหลีมาแล้วบอกมึงเขียนได้เปล่า ผมฉุน เลยหายไป 10 นาที กลับมาได้คอร์ดมาเลย (หัวเราะ)
บอย : มีคอมเมนท์ที่บอกว่า เหมือนเพลงยุค Smallroom เอาจริงๆ ตอน Smallroom ผมไม่เคยร้องสไตล์แบบนี้เลยนะ มันใหม่มาก เหมือนแต่งตัวใหม่เลย แล้วเมโลดี้ร้องมันเป็นอีกเพลงด้วย แต่พอเอามาร้องกับเพลงนี้มันลงเฉยเลย ไม่ต้องแก้เลย ใช้คำว่าคุณพระช่วยได้เลย (หัวเราะ) คือมันไม่ใช่ท่าปกติของพวกเราสักเท่าไหร่นัก
ป้อม : เพลงนี้เป็นเพลงบัลลาดเพลงแรกๆ ของเรา เพราะฉะนั้นพอบอกว่าคล้ายๆ ยุค Smallroom เราก็จะงงๆ กันนิดนึง เพราะเราไม่มีบัลลาดขนาดนี้
เรื่องของผู้ใหญ่
บอย : เพลงนี้มันถูกตั้งต้นจากแนวคิดที่ว่าเราจะเล่นริฟฟ์อะไรที่มันซ้ำและคนจำได้มากที่สุด
ปิติ : คือริฟฟ์ของมันก็มาจากเครื่องเป่า มันก็เลยมีกรู๊ฟที่คล้ายๆ เครื่องเป่าอยู่
ป้อม : มีคนบอกว่าเหมือนเจร็อคเหมือนกัน ซึ่งตอนแรกที่ทำเราไม่ได้คิดถึงเลยนะ เราอยากทำแบบร็อค อเมริกัน แต่พอมาฟังดีๆ เออ มันก็ไปทางนั้นอยู่ อาจจะเป็นเพราะ บีทมันค่อนข้างเร็ว คือผมติดใจมาจากตอนทำเพลง ดับดวงอาทิตย์ ทำเพลงร็อคหนักๆ ตอนอารมณ์ดี ซึ่งมันออกมาเวิร์ค ก็เลยเอามาทำกับเพลงนี้ด้วย ผลก็ออกมาดีอีก เลยชักติดใจวิธีนี้แล้ว
บอย : ส่วนเนื้อหาก็ค่อนข้างหนัก ไอเดียเพลงนี้ได้จากพี่อ๊อฟก่อน เขารู้สึกว่าคำนี้ดูเหมาะกับวงเรา คือมันจะคล้ายตอน Big Ass ทำเพลงข้าน้อยสมควรตาย ได้คำมาก่อนแล้วจะตีความยังไงต่อ เพลงนี้ใครจะตีความเป็นเรื่องอะไร ผมปลายเปิดให้หมด แต่สารตั้งต้นจริงๆ คือเวลาเราเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน เวลาเราไปถามก็จะเจอตอบกลับมาแบบ เรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่ารู้เลย คำนี้มันเหมาะกับคอนเซ็ปต์อัลบั้ม Sweet Bros ของเราด้วย เพลงนี้เหมือนเราเป็นพี่ชาย เป็นตัวแทนไปถามให้ว่าเรื่องของผู้ใหญ่คืออะไร แล้วหลังจากนั้นจะคิดยังไงก็ไปต่อยอดกันเอง เราเรียงเพลงนี้เป็นเพลงแรกใน Playlist ของอัลบั้ม ที่ต้องเพลงนี้เพราะถ้าเอาเพลงอื่นขึ้น คนฟังด่าแน่นอน ขายวิญญาณ (หัวเราะ) เลยต้องฮึกเหิมไว้ก่อน
ความคาดหวังในอัลบั้ม Sweet Bros
บอย : ในเบื้องต้นส่วนตัวพวกเราโอเคกับฟีดแบ๊คของเพลงล่าสุด ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ จริง ที่พวกเราคาดหวังคืออยากให้ทุกคนเข้าใจมัน และบรรลุไปถึงจุดประสงค์แรกของการตั้งวงดนตรีวงนี้ คืออยากเล่นสดให้มันสนุกมากขึ้น ทัชคนมากขึ้น แล้วอยากให้ทุกคนถ้าได้ลองฟังแล้วลองตีความ ลองดูมันลึกๆ อย่างเพลงวันที่ฉันไม่อยู่ก็แฝงอะไรลึกๆ เอาไว้มากมาย แต่ในแง่ของความบันเทิงมันก็ยังได้อยู่ ก็ยังมีเพลงอีกหลายๆ แบบที่เราจะได้เห็น อาจจะมีบางเพลงที่บอกว่าเราขายวิญญาณก็ได้ (หัวเราะ) แล้วพวกที่ชอบคอมเมนท์ว่าไม่เห็นเหมือนอัลบั้มชุดก่อนเลย มึงไปฟังก่อน (หัวเราะ) คือถ้าด่าชุดนี้ก็เหมือนด่าตัวเองครับ เพราะเราสังเคราะห์มาจากแฟนๆ ทุกคน (หัวเราะ) ล้อเล่นนะครับ คือถ้าชอบไม่ชอบก็บอกกันได้ครับ
ป้อม : มันมีคอมเมนท์นึงที่ผมชอบมากในเพลง “วันที่ฉันไม่อยู่” เขาบอกว่า เพลงนี้ฟังดูไม่เหมือน Lomosonic…. เพราะว่านี่คือ Lomosonic ไงล่ะ (หัวเราะ) อันนี้ผมชอบมาก เพราะเราก็ไม่ค่อยเหมือนตัวเองอยู่แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าจำเราในแง่มุมไหน
บอย : ช่วงก่อนหน้านี้วงการเพลงมันเป็นระบบ Single ซึ่งเรายึดติดกับมันมาก แต่เราอยากให้คนฟังเพลงเราแล้ว ฟังเพลงนี้ แล้วฟังเพลงอื่นๆ ต่อ เราอยากจะต่อยอดวัฒนธรรมการฟังเพลงแบบนี้ แล้วมันจะเป็นการสร้าง Royalty เราไม่อยากให้วัฒนธรรมการฟังเพลงแบบเป็นคอนเซ็ปต์ วิธีคิดที่เรียงร้อยมามันหายไป ก็อยากรักษาตรงนี้ไว้ ก็เลยอยากให้ลองเปิดใจฟังกันครับ
ป้อม : อัลบั้มนี้เป็น Omakase ของ Lomosonic ครับ เราอยากให้เป็นความบันเทิงที่มีคุณภาพในครัวเรือนของทุกคน
บอย : ตอนที่เราเปิดตัวที่ Rock Mountain เราก็แอบกลัวๆ นะว่า แฟนๆ genie จะต้อนรับเราหรือเปล่า แต่ทุกคนก็ตอบรับดีครับ ฝากวงรุ่นน้องวงนี้ไว้ด้วย แล้วพอหมดจากช่วง Covid นี้ เราจะได้ไปเจอกันครับ
ขอขอบคุณ : ฝน genie records ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ