นักร้องเสียงนุ่มอารมณ์ดี พี่ใหญ่อีกคนแห่งค่าย genie records เราโชคดีที่ได้มาพูดคุยกับเขาในโอกาสที่เขามีผลงานเพลงใหม่ และเรื่องราวต่างๆ จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านทั้งร้อน หนาว ทุกข์ สุข ภายใต้รอยยิ้มอันแสนอบอุ่น ซึ่งน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน รวมถึงคนที่กำลังเดินทางอยู่ในเส้นทางดนตรีนี้ด้วย กับผู้ชายคนนี้ พลพล พลกองเส็ง
“ไม่ไหว อย่าฝืน” ผลงานเพลงล่าสุด
พลพล : ที่มาของเพลงนี้ก็คือผมมีน้องๆ พี่ๆ ที่เล่นดนตรีนี่แหละ โทรมาปรึกษาปัญหาบ่อยๆ อย่างเช่นไปเล่นร้านแล้วคนชอบ เล่นดี แต่โดนบีบออก ผมก็บอกไปว่า บางที่มันก็อาจจะไม่ใช่ที่ของเรานะ มันอาจจะทำไปแล้วฝืน ก็เสียเปล่า ย้ายที่ดีกว่า แต่ไอ้ความรู้สึกนี้ ผมรู้สึกว่าเออ มันเอามาเขียนเป็นเพลงได้ ให้กำลังใจคนที่กำลังทำอะไรแล้วฝืนความรู้สึก เราก็มาคุยกับทีมงานว่าอยากเขียนเพลงแบบนี้ ก็ได้มาเจอกับน้องเบ๊นซ์ที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ Potato เขาก็อยากจะทำเพลงนี้ให้ ผมก็เลยให้คอนเซ็ปต์ว่าอยากทำเพลงประมาณว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ไหวอย่าฝืน ก็เลยได้คำนี้มา เลยต่อยอดไปให้ “ปู๋ 25 hours” เขียนเลยได้เนื้อเพลงนี้มา คำนี้มันไม่จำเป็นต้องเป็นเกี่ยวกับเรื่องความรักอย่างเดียว การงาน เรียนหนังสือ แล้วรู้สึกว่าตรงนี้มันไม่ใช่ที่ของเรา เหมือนเราเข้าไปผับแล้วแบบลุงมาทำอะไรเนี่ย ก็ไปหาเลานจ์นั่งดีกว่า (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ เพลงนี้ก็จะเป็นหนังสั้น 2 EP กับ 1 MV ทางการ จริงๆ ผมอยากจะให้มันเป็น MV ไปเลย แต่ทางทีมก็เสนอมาว่าทำเป็นหนังสั้นไหม เพราะรูปแบบนี้ตัวผมเอง หรือในวงการเพลงก็ไม่ค่อยไม่ค่อยมีคนทำสักเท่าไหร่ ก็เลยลองทำดู ซึ่งผลลัพธ์มันดีมากนะผมค่อนข้างแฮปปี้ เพราะคนเขียนบทก็เป็น “พี่เจี๊ยบ วรรธนา” ด้วย ส่วนตัวภาคดนตรีก็เปลี่ยนเยอะทั้งซาวด์ดนตรี ความใหม่ของทางคอร์ด การอัดทุกอย่างใหม่หมด น้องที่ทำงานผมอยากได้อะไรสั่งได้หมดเลย เพลงนี้ได้กานต์ Potato มาตีกลองอัดให้ จริงๆ เพลงนี้ค่อนข้างร้องยากนะ มีลงต่ำสุดจนสูงสุด ที่ผ่านมาเพลงผมทุกเพลงไม่สบายแค่ไหนก็พอร้องไหว แต่เพลงนี้ถ้าร่างกายไม่เต็มที่ไม่รอดแน่นอน (หัวเราะ)
พี่ร้อง น้องทำ
พลพล : ถ้าสังเกตเพลงที่ผ่านๆ มาช่วงหลังจะมีผลงานร่วมร้องกับหลาย ศิลปิน อย่าง Cocktail, Labanoon, Klear ก็คือเราจะได้กลิ่นอายดนตรีจากวงเหล่านี้ แต่มีเสียงของผม งานนี้ก็เหมือนกัน ผมก็ตั้งใจให้เป็นเสียงผมที่มีกลิ่นดนตรีแบบ Potato คือถ้าครบ 10 เพลง อาจจะมีผลงานอะไรออกมา โดยก็คิดคอนเซ็ปต์นี้มานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่แรกๆ
การทำงานสมัยก่อน กับสมัยนี้
พลพล : สมัยนี้การทำงานเรื่องการอัดเสียง หรืออะไรมันง่ายกว่าสมัยก่อนมาก แต่ที่ยากกว่าเดิมมากเช่นกันคือการเลือกว่าเพลงไหนจะดัง สมัยก่อนมันพอคลำทางได้นะ ในหนึ่งอัลบั้มเราจะรู้ว่าเพลงแต่ละเพลงมันจะทำงานแบบไหน แต่ตอนนี้ทำแบบนี้ไม่ได้แล้วมันค่อนข้างยากมากๆ ตอนทำเพลงนี้เบ๊นซ์เขาก็กดดันว่าจะทำให้เพลงดังเหมือน “ยังยิ้มได้” หรือเปล่า ผมก็บอกว่าเรื่องนี้ก็เหมือนความรัก มันไม่มีใครมาแทนที่กันได้หรอก เพลงนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องราวของวันนั้นไป เบ๊นซ์ก็เลยหายกดดันได้มากขึ้น
หนังสั้น จากเพลง ของพลพล
พลพล : จริงๆ ผมว่าเพลงผมเป็นหนังสั้นได้หมดเลยนะ “ยังยิ้มได้”, “คนไม่สำคัญ” ผมว่าทำได้หมด แต่มีเพลงนึงถ้าผมเลือกได้จริงๆ ผมจะเลือกเพลงนี้ คือเพลง “คนไม่เจียม” เพลงนี้มันเป็นเพลงที่เห็นแก่ตัวในเรื่องของความรัก จริงๆ มันเป็นเรื่องราวที่ดีนะครับ เราต่ำต้อย เขาเป็นดาว เขามาหลงรักเรา แต่ในขณะที่เรายังรู้สึกตลอดว่า วันนึงถ้าเขารู้เรื่องราวของเราเขาก็จะทิ้งเราไป เป็นเพลงมองโลกดาร์กๆ หน่อย คิดไปคนเองคนเดียว ก็เป็นเพลง “คนไม่เจียม”
อยากโด่งดัง ต้องผ่านงานกับพี่พล
พลพล : ผมโชคดีมากๆ ที่ได้ทำงานกับศิลปินอีกแขนงนึง ในเพลงของผมจะมีพระเอก นางเอก MV ที่ตอนนั้น เขาอาจจะเป็นดาราหน้าใหม่ แต่มาวันนี้หลายคนก็ประสบความสำเร็จไปแล้ว จริงๆ บางคนผมก็ลืมไปนะ พอไปเปิดคาราโอเกะดูก็ เฮ้ย คนนี้ก็เคยเล่น MV เรานี่หว่า (หัวเราะ) มันมีความสุขนะ สิ่งที่โชคดีของผมก็คือคนที่ร่วมงานด้วยมีแต่คนเก่งๆ ตั้งแต่คนเขียนเพลง ทำเพลง แบ๊คอัพ หรือแม้แต่ดาราที่มาเล่น MV คือมันทำให้เราทำงานง่ายไปหมด จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังได้เจอคนเก่งๆ มากมาย แบบร้องขออะไรไป สมมติให้อัดเพลง ก็มาอัดได้เลย มันยังเป็นสิ่งเดียวกันเหมือนตอนที่เราเข้ามาทำงานแรกๆ ยุคนี้ผมเจอน้องๆ แบบ ผมอยากทำเพลงให้พี่ สมัยก่อนพวกพี่ๆ เขาก็บอกว่าอยากเขียนเพลงให้ผม
ผู้ชายอารมณ์ดี กับ การเปลี่ยนผ่านของวงการดนตรี
พลพล : การเสพดนตรีของผู้คนเปลี่ยนไปมันก็ทำให้หลายอย่างเปลี่ยนไป แน่นอนยอดซีดีมันก็น้อยลงมากๆ ซึ่งพอเป็นแบบนี้มันก็เป็นความจำเป็นของค่ายเพลงที่จะบีบรัดรัดเศรษฐกิจให้อยู่ได้ Grammy เอง ก็พยายามทำตรงนั้นเช่นกัน ทำให้ทั้งศิลปินอยู่ได้ ค่ายอยู่ได้ด้วย ในเรื่องของการปรับระเบียบ ปรับแผนใหม่ แม้แต่ genie เองก็เป็นการปรับแผนเหมือนกัน ซึ่งถ้าเรารับได้ก็จบไป แต่ถ้าเรารับไม่ได้ มันก็จะกลายเป็นแบบ เฮ้ยทำไมต้องทำอะไรขนาดนี้ ซึ่งหลักๆ ที่ทางค่ายพยายาทำให้เราคือให้มีงานโชว์มากขึ้น มีค่าตัวมากขึ้น ทำให้รายได้เข้ามาได้มากขึ้น เอาจริงๆ ศิลปินรุ่นผมนี่แหละจะเหนื่อยกับการปรับตัว จากที่เราเคยมียอดเทปส่วนแบ่งให้ทุกๆ เดือน มันหายไปนานมากแล้ว (หัวเราะ) แต่พี่เป็นคนปรับตัวง่ายนะ อย่างยอดเทปไม่มีเราก็เอาเทปที่เรามีเอาไปขายในงานโชว์เป็นของสะสมไป หรือของที่ระลึกต่างๆ สมมติยอดร้อยแผ่นมันก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ มันดีกว่าเรามารอให้คนซื้อก็ไม่รู้กี่คนกว่าจะมา เราก็ใช้วิธีซื้อขาดแล้วเอาไปขายในงานโชว์ของเราดีกว่า เราได้ ค่ายก็ได้ด้วยแบบนี้ดีกว่า
ยัง…..ยิ้มได้
พลพล : เมื่อสัก 5-6 ปีที่แล้วมันเป็นช่วงที่ผมเคว้งคว้าง เป็นช่วงสัญญาที่เรากำลังจะหมด ก็คิดว่าเราจะเอายังไงต่อดีกับชีวิตเรา ถ้าเกิด genie บอกว่า “พล” ไม่เซ็นต่อสัญญาต่อแล้วนะ จะทำอะไรต่อดี ผมวางแผนว่าจะไปขายก๋วยเตี๋ยวแล้วด้วย (หัวเราะ) ผมชอบทำอาหาร ก็กะว่าทำอะไรก็ได้ที่ชีวิตไม่ต้องเดือดร้อน แล้วก็อาจจะเล่นดนตรีกับเพื่อน เพราะคิดว่าเรื่องลิขสิทธิ์เราอาจจะไม่ได้ ก่อนหมดสัญญาก็มีงานโชว์อยู่บ้าง แต่พอ genie ซึ่งตอนนั้น เป็นพี่นิค (วิเชียร ฤกษ์ไพศาล) บอกว่าให้มาเซ็นสัญญาต่อ เราก็คิดว่าเออ ก็คงเป็นปีต่อปี แต่พออ่านสัญญาเป็น 5 ปี เราก็แบบ หา 5 ปี เลยเหรอพี่ (หัวเราะ) ผมก็ดีใจนะ บางคนอาจจะคิดว่า 5 ปี นี่เราจะไปทำอะไรไม่ได้เลย มันโดนตีกรอบหรือเปล่า แต่สำหรับผมมันคือเวลาที่ผมจะต้องทำเพลงให้ดีที่สุด แล้วออกผลงานใหม่ๆ ให้ได้ มันเป็นโอกาสของเราต่อ ดังนั้นโครงการร้านก๋วยเตี๋ยวก็ต้องพับไปก่อน (หัวเราะ) แต่ในระหว่างนั้นเราอาจจะเปิดร้านกาแฟ ร้านอะไรเล็กๆ ที่ไม่ต้องเหนื่อยดูแลมากไปด้วย ซึ่งโชคดีที่ว่าแฟนผมทำขนมขายออนไลน์ แล้วก็ขายดีซะด้วย เราไม่ต้องขายก๋วยเตี๋ยวแล้วโว้ย (หัวเราะ) ซึ่งมันทำให้ผมทำเพลงไม่กดดัน แล้วมันมีความสุขมาก ผมว่าผมเป็นคนโชคดีมากนะ ถ้าย้อนไป ตั้งแต่วันแรกที่พี่ปั๋ง ประกาศิต โบสุวรรณ ให้โอกาสผมมาลองทำงานที่ Grammy แล้ว โชคดีมากๆ (ยิ้ม)
คนเดินถนน ที่วิ่งฝ่าทุกถนน
พลพล : จริงๆ มันก็เป็นเรื่องตลกถ้าย้อนไป คือตอนผมเข้ามานี่ยุคบอยแบนด์ (หัวเราะ) ผมนี่แหกมาเลย ผมจำได้ว่าตอนที่เพลงพวก คนเดินถนน, ขอให้โชคดี, รักเธอจะตาย, แฟนจนจน ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีเพลงแบบนี้ 3 เดือนแรกที่เพลงทำงาน ไม่มีมีนักข่าวคนไหนเคยเห็นหน้าพลพลสักคน (หัวเราะ) เพลงผมตอนนั้นขึ้นชาร์ตวิทยุเยอะมาก แล้วเหมือนแผนพีอาร์มันเลยคาดเคลื่อน หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ทำให้มันต้องมีการแถลงข่าวว่าใครคือพลพล (หัวเราะ) วันแถลงข่าว ผมนั่งเครียดอยู่สักพัก เขาเห็นหน้ากูแล้วเขาจะผิดหวังไหมวะ (หัวเราะ) ก็มีคนเขียนสคริปต์ให้ผมพูด ตอนนั้นเป็นพี่ขิม ก็บอกผมว่า “พล มั่นใจแล้วทำให้ดีที่สุด พูดให้ดีที่สุด เอาความจริงใจที่มีพูดเลยไม่ต้องเกร็ง” สคริปต์ที่ไกด์ไว้เป็นคร่าวๆ พอ คือที่ผมกดดันเพราะผมรู้สึกว่าแฟนๆ คงคาดหวังว่าคนที่ร้องเพลงแบบนี้ มันต้องหน้าเหมือน “ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล” (หัวเราะ) แล้วกูต้องทำไงวะ แต่พอรีแลกซ์ก็ออกไปลุย ซึ่งก็มีคงคนผิดหวังบ้าง (หัวเราะ) คราวนี้เราก็ต้องร้องโชว์ 2 เพลง เราได้รับบรีฟมาว่าเราอยากจะพูดอะไรก็พูดเลยไม่ต้องเกร็ง ผมร้องเพลง “คนเดินถนน” กับ “ขอให้โชคดี” ซึ่งวันที่แถลงข่าวเป็นช่วงนั้นหมาผมเพิ่งโดนรถชนตาย แล้วเราก็ร้องเพลงขอให้โชคดีแล้วเราก็ร้องไห้ไปด้วย คือมันอินมาก วันนั้นผมก็พูดออกมาจากใจว่าหมาผมตาย ปกติผมร้องเพลงนี้ให้หมา วันนี้ก็มาร้องให้พี่ๆ ฟัง (หัวเราะ) นักข่าวอึ้งเลย (หัวเราะ)
ใครคนนั้น ที่ชื่อ พลพล พลกองเส็ง
พลพล : ตอนที่ผมจะออกผลงานครั้งแรกเลย พี่หมี เทียนชัย เกียรติปรุงเวช กับพี่นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ก็คิดกันนะว่าจะทำพลพล ให้เป็นศิลปินแบบไหน เพราะว่าทั้ง 2 คนเห็นตรงกันว่า เขาชอบเสียงร้องเรา แต่ว่าพอเราร้องถ้าแต่งเพลงสไตล์อัสนี วสันต์ ผมก็จะเอื้อนแบบอัสนี วสันต์ ถ้าร้องแบบวง Fly ผมก็เอื้อนแบบวง Fly มันไม่มีเสียงแบบที่เป็นตัวเอง พี่ๆ เขาให้เพลงผมมาร้องเทสต์แล้วมันออกมาแบบนี้ เขาก็บอกมันไม่ได้ มันหาจุดเด่นไม่เจอ แต่ผมก็คิดในใจกูก็ร้องเพราะแล้วนะ (หัวเราะ) คราวนี้ ตอนลองทำเพลง พี่หมีเลยบอกผมว่า งั้นเอาแบบนี้ พลลองร้องแบบไม่ต้องลูกคอเลย ร้องปั๊บหยุดดื้อๆ เลยไม่ต้องเอื้อน ตรงๆ แข็งๆ ไปเลย ซึ่งพอผมร้องแล้วโคตรอึดอัด มันฟังไม่เพราะ (หัวเราะ) แต่กลายเป็นว่ามันเริ่มมีสำเนียงการร้องแบบตัวเองขึ้นมา พอลองทำเพลง พี่หมีก็ลองใส่เอฟเฟ็กต์ร้องให้ ทำให้ผมฟังไม่อึดอัด ก็ร้องออกมาได้ เป็นเพลงแรกคือ “แฟนจนจน” ซึ่งเขาก็มองกลุ่มเป็นแบบเด็กช่าง เด็กราม ปวส. อะไรประมาณนี้โฟลค์ร็อคห้าวๆ หน่อย ปรากฏว่าปล่อยเพลงแรกไป เงียบกริบ (หัวเราะ) เพราะเพลงมันเปิดในคลื่นวิทยุไม่ได้ มันไม่ตรงกับแนวทางสักคลื่น คราวนี้เราก็เลยวางแผนใหม่ จะทำเพลง “คนเดินถนน” ช่วงนั้นผมมาทำเพลงกับพี่หมี ได้ประมาณ 2 ปี แล้ว ก่อนจะปล่อยเพลงคนเดินถนน เงินผมก็ใกล้หมดแล้ว ขายของทิ้งไปเยอะ แฟนเก่าทิ้งอีกตอนนั้น พี่หมีก็ไม่ค่อยมีเหมือนกัน โชคดีที่ตอนนั้น บูโดกัน เขาทำเพลงแล้วมีสปอนเซอร์เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาก็จะให้มาไว้ที่ห้องอัด ก็เรียกว่ากันกันจนผมหยิก (หัวเราะ) พอเพลงนี้ปล่อยออกมา แล้วสำเร็จก็ดีใจกันมากเพราะ ถ้าเพลงนี้ไม่มาอีกผมคงต้องกลับไปร้องเพลงกลางคืนเหมือนเดิมแล้ว
พลพล กับอารมณ์แบบ ไม่ไหวอย่าฝืน
พลพล : ก็ช่วง 2 ปีที่ทำอัลบั้มแรกนั่นแหละ ตอนนั้นคิดหนักมาก คือมันก็มีคิดถึงคำนี้นะ ไม่ไหวอย่าฝืน แต่ครั้งนั้นเรา ฝืนไง เพราะมันก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ก็ขอให้ทำให้ได้ ทำให้เรารู้ว่าคำว่าไม่ไหวอย่าฝืน มันไปต่อได้ทั้ง 2 มุม ถ้าไม่ฝืนเลยก็ไม่เจอความสำเร็จ แต่ถ้าฝืนมากไป อาจจะไม่ได้อะไรเลย เพราะฉะนั้นเพลงนี้มันคือการเดินทางสายกลางทำอะไรที่พอดี คาดหวังมากก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วย ต้องบาลานซ์ให้ดีๆ ซึ่งอยากให้ลองไปดูมิวสิควีดีโอเพลงนี้ดูครับ เราอาจจะหันกลับไปคุยกับเพื่อน กับครอบครัว หรือคนรักมากขึ้น ก็ฝากติดตามของพลพล ด้วยนะครับ
ขอขอบคุณ : โอ๋ genie records ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ