วันที่ผู้ชายคนนี้มาพร้อมกับวงดนตรีชื่อกะลา ในเวลาไม่นานพวกเขากลายเป็นวงขวัญใจวัยรุ่นได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเวลาผ่านไป ด้วยเหตุผลที่อาจจะเป็นทั้งส่วนตัว ส่วนรวมหรือส่วนไหนก็ตาม “หนุ่ม” นักร้องของวงก็ได้มาเป็นนักร้องเดี่ยวในฐานะ “หนุ่ม กะลา” การเดินทางในฐานะนักร้องเดี่ยวของเขา ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายดาย การผ่านมรสุมทั้งภายนอก และภายในจิตใจตัวเอง จนกลับมาอย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้งในยุคนี้ นักร้องคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน นี่คือเรื่องราวที่น่าสนใจจาก ณพสิน แสงสุวรรณ (หนุ่ม กะลา)
ร้อยล้านวิว VS ล้านตลับ
หนุ่ม : เพลงปล่อยมือฉัน ทำให้ผมเรียนรู้อะไรหลายอย่าง ตอนปล่อยเพลงนี้ครั้งแรก ผมอยากจะเป็นนักร้องร้อยล้านวิวใจจะขาด ตอนนั้นผมอยากเป็นนักร้องร้อยล้านวิว แต่ตอนนี้ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากเป็นนักร้องร้อยล้าน คือตอนนี้เพลงนี้มันก็เดินทางไปถึงระดับนั้นผมก็รู้สึก เออ มันจะได้เหมือนคนอื่นเขาบ้าง (หัวเราะ) จริงๆ ถ้านับแบบขี้โกงหน่อย ผมเป็นนักร้องล้านตลับ 2 อัลบั้ม แต่ยอดจริงๆ มันก็เก้าแสนแตะล้าน (หัวเราะ) พอมันมาเป็นยุค YouTube ผมเลยรู้สึกแบบ เฮ้ย! มึงจะไม่ร้อยล้านกับเขาบ้างเหรอ ฟิลมันคล้ายๆ กันอยู่นะ จะล้านตลับหรือร้อยล้านวิว แต่ถ้าทำแล้วคนฟังชอบสุดท้ายก็ถึงเส้นชัยเหมือนกัน
อัลบั้ม : หนุ่มกะลา Time To Smile และเรื่องราวการเดินทางมากมายด้วยรอยยิ้มและน้ำตา
หนุ่ม : อัลบั้มนี้ชื่อ Time To Smile ซึ่งมันเหมือนบันทึกการเดินทางของผม โดยคำว่า Mile มันถูกแทนด้วยการเดินทางด้วย ผมเดินทางมาตั้งแต่ยุค 90’s จนถึงยุคนี้แล้วยังอยู่ในเส้นทางนี้ คือที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ได้เพราะเราใช้รอยยิ้มนำทาง ยิ้มให้กับทุกเรื่อง ก็เลยอยากเอาชื่อนี้มาตั้ง เวลาที่เราทุกข์ใจที่สุดแค่ยิ้มให้มันเบาๆ ก็จะเดินหน้าต่อไปได้ คอนเซ็ปต์จะเป็นประมาณนี้ ผมก็ดีใจนะที่จะได้ออกอัลบั้มอีกครั้ง แต่ถ้าถามผมลึกๆ ในเรื่องการทำงานผมชอบแบบปล่อยไปทีละเพลงมากกว่า เพราะความคิดในแต่ละเพลงในแต่ละช่วงมันต่างกัน ก็ทำให้ผมลังเลนิดนึง ถ้าทำงานระบบ Single ปล่อยเพลงแรกมาไม่โดน เพลงที่ 2 ก็พอที่จะแก้ตัวได้ แต่ถ้าเป็นอัลบั้มคุณกลับลำไม่ได้อีกแล้วนะ แล้วตลาดเพลงทุกวันนี้ สมมติคุณทำเพลงไว้ 10 เพลง เพื่อปล่อยใน 2 ปี ปีต่อไปคุณอาจจะกลายเป็นของตกยุคไปแล้ว ผมเลยหาจุดตรงกลาง โดยที่เราจะรวมเพลงที่ปล่อยออกมา กับเพลงใหม่ อีกสัก 5 เพลง เพิ่มเข้าไปแล้วเราจะโปรโมทเลย ซึ่งในอัลบั้มนี้จะมีทั้งหมด 1 เพลง รวมเพลงโบนัสแทร็ค 3 เพลง มีเพลงอยากให้รู้ว่าเหงาของพี่เจ อีก 2 เพลงเป็นเพลงที่ทำใหม่ ซึ่ง 1 ใน 3 เพลงเป็นแนวแบบที่ผมไม่เคยร้องเลย แล้วเพลงนี้จะไม่ปล่อยด้วยจะอยู่ในอัลบั้มนี้เท่านั้น
เขาจะรู้บ้างไหม
หนุ่ม : เพลงนี้เป็นเพลงที่เริ่มด้วยการที่ผมไม่รู้เลยว่าผมจะไปทางไหน ด้วยความเป็นวงกะลามันชัดเจนมากในเนื้อหา วิธีการต่างๆ พอทำเดี่ยวเราก็ลองปล่อยเพลงนี้ออกมาชิมลางก่อน ซึ่งทำไปโดยที่การคุยกับทางทีมงานเลยว่าเพลงมันจะไม่สำเร็จหรอก โพสิชั่นเพลงนี้มันก็เหมือนกับแค่บอกว่าเรากลับมาอีกครั้งในฐานะนักร้องเดี่ยว แล้วผมขอพูดกับทาง The Guitar Mag เป็นที่แรกเลยคือเพลงนี้มันไม่มีความหวังอะไรเลยครับ อย่างแรกผมอยู่วงการมานานจนเห็นว่าคนที่เป็นวงมา แล้วออกเดี่ยว ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ซึ่งผมก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก การจะเป็นแบบพี่หนุ่ย อำพล ที่เป็นวงดัง แล้วมาออกเดี่ยวดังเท่าวง มันยากมาก แต่เราทำเพลงนี้เพราะคำตอบเดียวคือเรารักการร้องเพลงเท่านั้น ซึ่งผลตอบรับนี่ โอ่ยยย (หัวเราะ) ตอนที่เราทำใจว่ามันไม่ดังหรอก แล้วพอมันไม่ดังจริงๆ เนี่ยใจเราเสียมากกว่าที่เราพูดเยอะ (หัวเราะ) คือผมแอบหวังไว้นิดไม่ได้จะให้มันสำเร็จเท่าวงกะลา แค่อยากจะให้คนฟังชอบบ้าง ซึ่งมันไม่ค่อยได้อย่างที่ผมตั้งใจไว้เลย
ปล่อยมือฉัน
หนุ่ม : เพลงนี้เราคุยกับทีมงานว่ามีหวัง และเราก็คาดหวังกับมันสูง ผมพูดกับตัวเองเลยว่า “หนุ่ม มึงจะเกิดก็งานนี้แหละ” (หัวเราะ) แต่พอปล่อยไป มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวัง คือมันดีกว่าเพลงแรกนะ แต่ในช่วงแรกคนไม่ได้ตอบรับเร็วขนาดนั้นคนพึ่ง จะมาตอบรับเร็วหลังจาก 20 ล้านวิว ตอนนั้นผมเหมือนคนอกหักทุกวัน ผมออกจากบ้าน มาทำงาน ข้างในผมไม่ยิ้มเลย ผมรู้สึกผมไม่อยากร้องเพลงแล้ว ช่วงนั้นงานจ้างก็ไม่เยอะ แล้วเจอแต่คำพูดแบบไม่จ้างเราเล่น คือตอนเป็นวงเขาเห็นภาพ เขารู้ว่าจะสนุกพอเป็นเดี่ยว เขาก็จะตั้งกำแพงสูงใส่เราเลย ก็ไม่มีงานจ้าง พอมันเป็นแบบนี้เพลงก็ไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ ก็เลยยิ่งหดหู่หนักกว่าเดิม ผมเช็กยอดวิวทุกวันแล้วมันขึ้นน้อยมาก ก็เลยรู้สึกแบบแย่มาก ผมเก็บความรู้สึกนี้ไว้คนเดียว และเริ่มพิจารณาตัวเอง ว่าต้องหยุดแล้วล่ะ เพราะเพลงไม่มา งานจ้างไม่มี แล้วคนก็จะพูดกับผมบ่อยมากว่า มึงกลับไปรวมวงเหอะ มึงไม่ควรแยกหรอก หนักมากนะครับ ผมเคยพูดเล่นๆ ว่าจะไปเลี้ยงเป็ด แต่ ณ วันนั้นผมอยากจะไปเลี้ยงเป็ดจริงๆ จังๆ เลยนะ (หัวเราะ) กะว่าจะไปหาอาชีพอื่นแล้ว
อย่าล้อเล่น
หนุ่ม : เพลงนี้เป็นเพลงที่พี่ใหญ่ อาทิตย์ สาระจูฑะ เขียนเนื้อให้ซึงก็สำเร็จประมาณนึง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่กระแสเพลงปล่อยมือฉันเริ่มดีขึ้นแล้ว งานจ้างเริ่มมีมากขึ้น เป็นช่วงที่ผมอัดคลิปร้องเพลงลงโซเชี่ยล ซึ่งทำให้คนเริ่มรู้ว่าหนุ่มกะลาเป็นแบบนี้นะ งานจ้างก็เริ่มเข้ามาเพราะเขารู้แล้วว่าหนุ่มกะลาเป็นแบบไหน เสียงที่เคยบอกว่าหนุ่ม กะลา เล่นไม่สนุกก็หายไป
แล้วแต่ใจเธอ
หนุ่ม : หลังจากเพลง “ปล่อยมือฉัน” คราวนี้ทุกเพลงที่ออกมาผมคาดหวังทุกเพลง เพียงแต่วิธีการทำงานมันเปลี่ยนไป ผมไม่ได้ทำงานโดยขึ้นกับการอยากฟังของแฟนเพลง เพราะผมเหมือนจับหลักได้ว่าเราพยายามทำเพลงออกมาเพื่อเจาะตลาดของเรา แต่ในที่สุดพอเพลงไม่มา เราหาตลาดไม่ได้และไม่มีความสุขเท่าที่ควรจะเป็น ก็เลยขอทำเพลงแบบที่ผมชอบที่สุดก่อนค่อยปล่อย เพลงนี้จริงๆ เป็นเพลงที่ถูกแต่งมาตั้งแต่ช่วงปลายวงกะลา แต่ไม่ได้ใช้จนผมลืมไปเลย คือผมเอาเพลงนี้มา เล่นกับกีตาร์โปร่งแล้วรู้สึกว่า เออ ผมชอบเพลงนี้มากเลย ดังไม่ดังไม่เป็นไร แต่อยากทำเพลงนี้ ก็เริ่มจากชอบเองก่อน ผมมองว่าประเทศเราตลาดดนตรีมันเป็นกลุ่มๆ แล้ว ไม่มีเพลงแบบที่ปล่อยมาแล้วต้อนคนได้ทั้งหมดอีกต่อไป ผมเลยคิดว่าผมเป็นอีกประเทศนึง แล้วให้คนอยากเข้ามาอยู่ในประเทศของเราดีกว่า วิธีคิดเลยผ่อนคลายมากขึ้น
ไม่มีปาฏิหาริย์
หนุ่ม : เพลงนี้เอามาคุยกับค่ายตั้งแต่ครั้งแรกที่อยากเป็นนักร้องเดี่ยว มันเกิดจากการที่ผมเอาเพลงที่คนอื่นเขียนให้ ชื่อเพลง “ปาฏิหาริย์” มาคุยกับที่ค่าย พี่นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล แกบอกกับผมว่ากูไม่ชอบเพลงนี้เพราะเพลงมันดูขี้แพ้ มัวแต่รอปาฏิหาริย์ และที่สำคัญมึงไม่ได้เขียนเอง (หัวเราะ) ซึ่งคำพูดนี้ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตผมเลย ผมกลับไปเขียนมาใหม่เป็น “ไม่มีปาฏิหาริย์” ซึ่งมันทำให้ผมคิดได้ว่าการที่ผมรอเนื้อร้องจากคนอื่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนขี้แพ้จริงๆ ก็เลยต้องกลับมาฮึด แต่งเพลงเองอีกรอบ
แอบ
หนุ่ม : เพลงนี้คือเพลงที่ผมเจอแล้วว่าคนอยากฟังเพลงของหนุ่มกะลาที่เป็นเพลงเพราะๆ นี่เอง ดนตรีอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ว่าดนตรีต้องซับซ้อนขนาดไหน แต่เป็นเพลงที่คนอยากฟังความเป็นหนุ่ม กะลา เพลงเพราะๆ ทั้งหลาย เพลงนี้ผมเลยอยากจะให้นักเขียนเพลงที่ผมชอบมากๆ คือพี่ตุ้ย ธนา ชัยวรภัทร์ ที่เคยเขียนเพลง 4 นาที เขียนเพลง ปาฏิหาริย์ ของพี่กบ ทรงสิทธิ์ ซึ่งผมชอบเค้าเขียนเพลงมาก แต่แกเข้าไร่เข้านาไปทำสวนแล้ว ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาผมก็เฝ้ารอที่หน้าป่านั้นเมื่อไหร่เค้าจะออกมา (หัวเราะ) ผมให้พี่หมี เทียนชัย เกียรติปรุงเวช ไปจีบตลอดแกก็ไม่ออกมา (หัวเราะ) เพลงนี้เป็นเพลงในสไตล์แอบรัก แบบที่วงกะลาเคยทำ ผมอยากได้ฟิลแบบนั้น ก็เลยให้คอนเซ็ปต์กับพี่หมีว่าอยากได้คนเขียนเพลงแบบแอบรัก สไตล์หนุ่ม กะลา ในยุคนี้ แล้วก็อยากได้คนที่เขียนเพลงนี้จริงๆ ผมจะไม่เขียนจนในที่สุด พี่หมีก็ไปให้พี่ตุ้ยเขียนมาให้ผมจนได้ เขียนออกมาจากป่าเลย (หัวเราะ)
พอแล้ว
หนุ่ม : เพลงนี้เป็นเพลงที่ MV เลื่อนถ่ายมาตลอดเพราะรอนางเอก เราต้องการคนที่ใช่จริงๆ ซึ่งเพลงนี้ได้ “มิน พีชญา” มาเป็นนางเอกให้ จริงๆ เพลงนี้ต้องปล่อยมาก่อนแล้วต้องรอคิวน้องมิน ซึ่งก็สมกับที่รอจริงๆ เพลงนี้เป็นเพลงมีจังหวะ นิดหน่อย
หนุ่ม Life ตอน แฟนคลับ!!!
หนุ่ม : ก็อย่างที่เป็นข่าวนั่นแหล่ะครับ ผมต้องบอกแบบนี้ขั้นตอนการทำงานผมมี 3 อย่าง เล่นคอนเสิร์ต ถ่ายรูป และเซ็นของกับถ่ายคลิปวีดีโอให้ 3 อย่าง เสร็จงานกลับบ้าน คราวนี้ขั้นตอนการถ่ายรูปก็จะมีทั้งผู้มีอิทธิพล พวกแซงคิว พวกชอบเบ่ง ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมก็เอาตัวรอดมาได้ด้วยรอยยิ้ม แล้วก็บางทีก็อาจจะให้เขามาถ่ายก่อนบ้าง แต่มันมีมาตลอด จนในที่สุดก็ไม่รอด (หัวเราะ) ก็โดนเจาะยางรถ แล้วก็มีปัญหาอย่างที่เป็นข่าว คือคุณจะเป็นเจ้าของร้าน อบจ. อบต. ก็บอกผมได้ โอเคผมให้ถ่ายก่อนได้ แต่คุณก็ต้องเกรงใจอีก 500 คนที่เขารอต่อแถวเหมือนกัน คืออย่างที่มีปัญหาเพราะผมถ่ายกับเขา 2 คนเสร็จ พี่ดันทะลึงมีเพื่อนอีก 50 คนในร้าน พี่จ้างผมมาเอาใจลูกค้า หรือพี่จ้างมาเอาใจเพื่อนพี่ ตรงนี้ต้องแยกให้ออกก่อน ซึ่งผมไม่โอเค ตอนนี้ฐานแฟนคลับผมเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนตอนเป็นวงกะลา ก็จะเป็นผู้ชายเถื่อนๆ หน่อย ซึ่งตอนนั้นผมก็ป่าเถื่อนเหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ตอนนี้แฟนคลับผมเป็นผู้หญิงซะ 80 เปอร์เซ็นต์ เอาง่ายๆ ถ้าใครไปดูคอนเสิร์ตผมแล้วลองต่อแถวถ่ายรูปก็จะเป็นผู้หญิงเกือบหมด อาจจะมีผู้ชายสัก 2 คน ซึ่งถ้าคนที่จะมาเบ่งกับผมก็ไม่ใครก็ใครใน 2 คนนี้นั่นแหละ (หัวเราะ)
หนุ่ม Life ตอน คดีความ
หนุ่ม : ตอนนี้สัมภาษณ์กัน ผมก็เหลือขึ้นศาลอีก 10 หรือ 11 ที่โดยประมาณ ไปทัวร์ (หัวเราะ) ช่วงหลังเริ่มเข้าที่คือผมไม่รู้ว่ามันดีขึ้นหรือผมเริ่มชินกับมัน (หัวเราะ) ซึ่งส่วนใหญ่ผลก็จะยกฟ้อง กับรอการกำหนดโทษ ก็ง่ายๆ ภายใน 1 ปี ก็อย่าร้องเพลง “ยาม” ก็แล้วกัน ตอนแรกที่โดนผมตกใจมากนะ ผู้จัดการผมโทรมาบอกว่า พี่!! พี่โดนแจ้งความไป 44 ที่ว่ะ ผมนี่แบบ เฮ้ย!!! (หัวเราะ) ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ มันคงคุยกันได้ มันไม่ใช่แบบพอ 44 ที่ แบบ เชรี้… (หัวเราะ) คือที่เป็นข่าวนั่นแค่ครึ่งเดียวกับความรู้สึกที่ผมเจอนะ มันโหดร้ายมาก แต่ในมุมนึงก็ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น คือผมเป็นคนมีกำแพงหลายเรื่องในชีวิตเยอะมาก ผมไปโชว์ผมจะตั้งไว้เลย ผมไม่ตื่นเช้า ก่อนโชว์ไม่เจอใคร ไม่ทำโน่น ไม่ทำนี่ แต่พอต้องขึ้นศาลมันไม่ได้ไง เราเลื่อนไม่ได้ อย่างบางงานผมเล่นคอนเสิร์ต เสร็จตี 5 กลับบ้าน อาบน้ำ เพื่อไปสนามบินเลยก็มีนะครับ (หัวเราะ) พอผ่านเวลาไปมันทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น เปิดมากขึ้น อย่าพึ่งพูดคำว่าไม่ ฟังก่อนว่าสิ่งที่เข้ามาลองทำก่อนมั้ย ตอนนี้วันนึงผมมีค่ามาก เมื่อก่อนเวลามีคอนเสิร์ตผมจะรอเล่นอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เหรอ ทำอย่างอื่นก็ได้สบาย (หัวเราะ) แล้วตอนผมไปที่ศาล ผมต้องไปรอในคุก รอในห้องคุมขังเคยมีครั้งนึงโดนคุมขังซึ่งเป็นคุกที่โหดมาก เป็นคุกที่โหดที่สุดที่ผมไปโดนขังอยู่หลายชั่วโมง บังเอิญได้ไปเจอแฟนเพลงผมคนนึง ซึ่งคนนี้เป็นคนแนะนำกับผมว่า พี่! ผมเป็นผู้ต้องขังชั้นเลว ผมติดคุกมาหลายรอบแล้ว แต่ผมเป็นแฟนเพลงของพี่ ซึ่งเอาจริงๆ ผมไม่มีอารมณ์จะคุยกับเขาหรอก ผมติดคุกอยู่นะ นึกออกไหมครับ (หัวเราะ) ในใจผมก็คิดนะ มึงชวนคุยทำไมเนี่ย (หัวเราะ) แต่ว่าพอรอนานมันเหมือนผมจะเป็นบ้า ก็เลยต้องคุยกับเค้า คือมันเหมือนเจอเรื่องสวยงามในจุดที่มืดที่สุด คือคนนี้เป็นแฟนผมจริงๆ ไม่ได้มามุกว่าร้องเพลงได้ทุกเพลง คือร้องได้จริงๆ แล้วมันร้องโชว์คนในห้องขังทั้งหมดด้วย (หัวเราะ) คุยกันไปมาเขาถามผมว่า พี่! โดนกี่ปี ผมก็บอกยังไม่ได้ตัดสิน ใจเย็นๆ ก่อน (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าตัวเขาเนี่ยต้องติดคุกอีกหลายปี เดี๋ยวตอนขึ้นศาลพี่บอกให้เขาโอนมาให้ผมก็ได้ แต่รบกวนพี่ช่วยไปบอกในศาลให้หน่อย ช่วยเปลี่ยนเพลงหน่อย เปิด 4 นาที ตลอดเลย (หัวเราะ) น่ารักมาก ซึ่งแน่นอนผมก็ไม่ได้บอกหรอก วินาทีนั้นผมออกจากคุกได้ ผมก็ต้องรีบเผ่นแล้ว (หัวเราะ)
กำลังใจ จากหนุ่มกะลา
หนุ่ม : ผมเคยทั้งแบบเมา กินเหล้า ติดบุหรี่ เป็นซึมเศร้า ผมให้กำลังใจทุกคนนะครับ ผมเข้าใจคนที่เป็นแบบนี้ทั้งหมด ผมเชื่อว่าคนเหล่านี้อยากเลิกนะครับ แต่มันเลิกยาก ลองหา สิ่งที่เราจะมุ่งไป หรือหาบุคคลที่เรารักมากๆ แล้วอยากจะทำอะไรเพื่อเค้าดู อาจจะทำให้เลิกง่ายขึ้น ส่วนในเรื่องโรคซึมเศร้า ผมว่าการพบแพทย์เป็นสิ่งที่ดีที่สุด คนไทยอาจจะมีกำแพงเรื่องการพบจิตแพทย์ คุณอาจจะเจอเรื่องเครียดแล้วไปพบจิตแพทย์ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้คุณกลายเป็นคนบ้านะครับ ผมก็เป็นคนนึงที่เคยไปพบมาแล้ว ก็แนะนำว่าให้ลองไปพบแพทย์ดูครับ แล้วอีกส่วนนึงที่สำคัญที่สุดก็คือคนรอบข้าง พวกคุณสำคัญมากที่จะต้องอยู่รอบข้างพวกเค้า และให้กำลังใจเขาจริงๆ