วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า กลายเป็นตำนานเพลงของหนุ่มคนนี้ไปแล้ว เพลงที่พลิกชีวิต ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงรวมถึง ชีวิตส่วนตัวของเขาจริงๆ การบำบัดความซึมเศร้าจากดนตรี ทุกเพลงจากอัลบั้ม Let There Be Light กลายเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยา เขาให้ยืนหยัดในวงการดนตรีต่อ ปัญหาก็คือหลังจากนี้ แม็กซ์ เคยบอกเราว่าในอัลบั้มที่ผ่านมาเขาใส่สุดตัวไปแล้ว และกำลังจะมีเพลงใหม่ ความคาดหวังในผลงานนี้จะถาโถมใส่เขาหรือเปล่า เราต้องมาคุยกับหนุ่มเจ้าคารมคนนี้สักหน่อยแล้ว
Cry Baby และการเดินทางครั้งใหม่
แม็กซ์ : เพลงนี้เป็นเพลงใหม่ที่จะอยู่ในอัลบั้มใหม่ของผม คือผมกำลังปั้นอัลบั้มใหม่อยู่ ที่ผมคิดเป็นอัลบั้มเพราะผมยังไม่เชื่อเรื่องระบบ Single เหมือนเดิม แต่ตัดเพลงนี้มาเป็น Single แรกซึ่งผมว่ามันเหมาะมาก เพราะเพลงนี้มันไม่มีอะไรมาก ผมอยากระบายอารมณ์เฉยๆ เพลงนี้ผมจับกีตาร์ไฟฟ้าจริงจังครั้งแรก แล้วก็ใช้ Wah Wah Cry Baby แต่ผมไม่ได้เอาเนื้อเพลงมาเพราะผมเล่น Wah นะเป็นกิมมิกเฉยๆ Cry Baby มันแปลว่า ผู้ใหญ่ขี้งอแง ชอบบ่นนู่น บ่นนี่เป็นเด็กๆ ซึ่งผมมองว่าตรงนี้เราไม่ผิดการที่เราเป็น Cry Baby มันอาจจะดีกับเราก็ได้ เรารู้สึกอะไร แล้วเราก็ร้องไห้ไปกับเรื่องนั้น ผมว่ามันดีต่อสุขภาพจิต ซึ่งพาร์ทดนตรี ก็อย่างที่ได้ฟังจะเป็นแบบโคตรกีตาร์ไฟฟ้า เพราะผมรู้สึกว่าเพลงแบบที่เป็นกีตาร์แบนด์ไม่มาแน่นอนในยุคนี้ ผมก็เลยรู้สึก พยศ ดื้อ เลยใส่กีตาร์มันเยอะๆ ไปเลย (หัวเราะ) ผมอยากให้ซาวด์กลับไปเป็นแบบยุค 90’s เป็นร็อคแบบทื่อๆ ซึ่งผมมองว่ามันไม่มีอะไรจะร็อคได้เท่ากับ Fender Strat และการโซโล่ด้วย Cry Baby (หัวเราะ) ส่วนอัลบั้มนี้ในส่วนซาวด์กลองก็ได้พี่มาตร Groove Riders มาช่วย
New Album
แม็กซ์ : อัลบั้มนี้จะต่างจากอัลบั้มที่แล้วที่มีกีตาร์โปร่งตัวเดียวในการขึ้นเพลงทั้งหมด มาคราวนี้ผมจะลองขึ้นเพลงโดยใช้ไอเดียคนอื่น หรือเครื่องดนตรีขึ้นมาด้วย อย่างจะมีเพลงนึงที่ขึ้นเพลงด้วย String Quartet เลย เครื่องสายเยอะๆ มีเพลงที่จะเป็นแนว Gospel แบบเพลงโบสถ์เลย คือระบายอารมณ์เต็มที่ เอาง่ายๆ ผมอยากทำอะไรก็ทำ ผมขึ้นโครงไว้หมดแล้ว แค่ลงรายละเอียด แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อ ส่วนเนื้อหารวมๆ ถ้าเป็น Let There Be Light มันเป็นเรื่องของการเดินทางจากความมืดสู่แสงสว่าง เป็นเรื่องของความหวัง ส่วนอัลบั้มนี้ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ผมพบเจอมาในช่วง 20 Something ในช่วงอายุ 20 ของผม เพราะผมตอนนี้ก็ 30 แล้ว และอีกอย่างผมก็เขียนเรื่องอื่นไม่เป็นนอกจากเรื่องตัวเอง (หัวเราะ) คือผมต้องไปเจอเรื่องราวจริงๆ ก่อนถึงจะเขียนออก ผมแอ๊บไม่เป็น (หัวเราะ) อย่างเพลงในอัลบั้มที่แล้วผมจัดการปัญหาด้วยการ “หนี” ปัญหา แต่อัลบั้มนี้อย่างเพลง Cry Baby มันเป็นการ “ชน” ปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องของการจัดการความคิดในช่วงวัยของผม ชนความรู้สึกตัวเองโดยไม่ต้องตั้งคำถาม อย่างเพลง ปีศาจ อัลบั้มที่แล้ว เราตั้งคำถามว่าเราเป็นใคร ใครสนใจเราบ้างไหม Wine คือแบบ เออ กูยอมแล้ว เข้าป่า คือกูหนี แต่ใน Cry Baby คือการพุ่งไปชน ยอมรับไปเลยว่ารู้สึกยังไง อยากจะร้องก็ร้องออกไปเลย อัลบั้มนี้ก็วางเพลงไว้มากกว่า 10 เพลง
วิธีการทำงานของ แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ : ก็ถ้าเป็นแง่การแต่งเพลง บางเพลงผมจะขึ้นด้วยกีตาร์ บางเพลงก็ขึ้นด้วยเนื้อร้อง บางเพลงด้วยเปียโน แต่ทุกเพลงขึ้นด้วยใจ (หัวเราะ) จริงๆ ตอนนี้ผมเป็นศิลปินอิสระ ถ้าถามว่าอยากอยู่ค่ายเพลงไหม ถ้ามีก็คงจะดีนะ แต่ที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็เป็นระบบเหมือนกัน ผมก็ยังมีกลุ่ม LOFT ที่ทำงานด้วยกันมา ซึ่งพวกผมพร้อมทำงานกับทุกค่ายนะครับ แต่การอยู่ตรงนี้ผมสบายใจมากกว่า ผมสามารถปล่อยความคิด ปล่อยอะไรได้มากกว่าโดยไม่มีอะไรครอบ ผมทำหน้าที่ครอบตัวเอง มันจะมี สเปซมากกว่า ซึ่งทำให้ผมทำงานกับทุกคนสบายใจได้มากขึ้น แต่เอาจริงๆ บางทีผมเซ็ตเดดไลน์ไว้ ก็ทำตามไม่ค่อยได้นะ ก็ยังดีที่ยังมีวางไว้บ้าง (หัวเราะ)
พบปะประชาชน
แม็กซ์ : แฟนเพลงของผมกลุ่มค่อนข้างหลากหลาย ถ้าเป็นแฟนเพลงผมจริงๆ จะนิสัยคล้ายๆ ผม แต่ฐานคนฟังผมค่อนข้างกว้าง อาจจะเป็นเพราะเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า เวลาผมไปโชว์ผมมักจะตะล่อมคนฟังให้รอฟังเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายแล้ว บางคนที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสฟังเพลงอื่นของผมมากนัก ผมก็จะแอบใส่เพลงใหม่ๆ ลงไป ทำให้พวกเค้าต้องอยู่กับผมจนจบเป็นการทำโทษ (หัวเราะ) ซึ่งผมว่าดีนะครับ เราจะได้ให้ทุกคนได้ฟังเพลงของเรา
ก็แค่ “ป่า” ผืนนึง
แม็กซ์ : สำหรับผมเพลงนี้มันเป็นแค่ 1 เพลง เป็น 1 เพลง ที่มันทำงานและมีความหมายกับหลายๆ คนมาก สำหรับผมเวลาเล่นเพลงนี้จะทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่แต่งเพลงนี้ครั้งแรก รวมทั้งคนที่ผมพูดถึง ผมว่าทุกเพลงมันเป็นเพียงแค่เพลง เพลงนึงที่คนแต่งจะรู้เสมอว่า คุณพูดเรื่องอะไรอยู่ ซึ่งสำหรับคนฟังเขาอาจจะมีความทรงจำที่ต่างจากเรา ดังนั้นผมจะไม่ตีกรอบมัน ผมพร้อมที่จะไปทำเพลงอื่น แล้วกลับมาคิดถึงเพลงนี้ได้เสมอ โดยที่เราไม่มีความรู้สึกตีกรอบมันอีกแล้ว ถ้าให้พูดตรงๆ ว่าอยากประสบความสำเร็จแบบเพลงนี้อีกไหม มีแน่นอน แต่มันผ่านไปแล้ว ผมเข้าใจในสิ่งที่นักแต่งเพลงคนนึงควรจะทำแล้ว นักแต่งเพลงคือคนเล่าเรื่อง ถ้าเขาหยุดที่เรื่องใดเรื่องนึง มันจะไม่ไปต่อ ดังนั้นผมก็ต้องเล่าเรื่องต่อไป วันนึงถ้าเราย้อนมาคิดถึงเรื่องที่เล่ามาก่อนหน้านี้ ผมก็ยังรักมันเหมือนเดิม มันไม่มีสิ่งไหนที่ผมเกลียด ผมรักเพลงของผมทุกเพลง แล้วก็อยากจะเล่าเรื่องอื่นต่อไปด้วย
คนลุยป่า และ ทีมงานคนรักปลา
แม็กซ์ : จริงๆ ปอ ของวง Whal & Dolph กับผมก็เริ่มทำดนตรีมาด้วยกันนะ ตอนผมทำ Rehab Session ก็มาช่วยถ่ายให้ ช่วยหลายอย่างมาก รวมถึงน้ำวนด้วย คือเราก็ดีใจที่เห็นวงเค้ามาได้ขนาดนี้ มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าดนตรีจะตอบแทนคนที่รักมันจริงๆ ผมเชื่อว่าคนที่ลงมือทำอะไรสักอย่างจริงๆ มันต้องมีสิ่งตอบแทนแน่นอน ตอนนี้ต่างคน ก็ต่างทำงานในเส้นทางของตัวเอง ซึ่งพวกเราตั้งใจกันตั้งแต่แรกแล้วว่าเราอยากจะเป็นคนดนตรีคุณภาพ แล้วเราก็ยังตั้งใจอยู่ เราไม่รู้ว่าคุณภาพเราจะตกเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามทำให้มันขึ้นเรื่อยๆ ผมจะภูมิใจในเรื่องนี้มากกว่า
ความชอบในตัว John Mayer
แม็กซ์ : John Mayer ไม่ว่าผมจะฟังเพลงอะไรในช่วงไหน หรืออินกับเพลงอะไรก็ตาม แล้วพอรู้สึกเอียนๆ ผมจะกลับไปฟัง John Mayer เสมอ จะเป็นแบบนี้ตลอด เรารู้สึกสบายใจ เพลงของเค้าล้างหูเราได้ แล้วทำให้เรารู้สึกว่า กูฟังเพลงเพราะอะไร มันเหมือนบอกรักสาวเลยนะ (หัวเราะ) นักดนตรีแต่ละคนมักจะมีไอดอลของตัวเอง ก่อนที่ผมจะทำอัลบั้มที่แล้วผมรู้สึกสงสัยตัวเองนะว่าจะทำเพลงอะไร ทำแนวไหนดี สุดท้ายผมเซ็ต John Mayer เป็นไอดอลเลย คือช่วงแรกผมรู้สึกแค่ชอบ แต่ไม่ได้แบบจริงจัง เราไม่ได้ตั้ง John Mayer เป็นเป้าหมายของเรา แต่พอเราจะทำอัลบั้ม Let There Be Light เราตั้งเป้าหมายเป็น John Mayer เราอยากทำเพลงให้มีคุณภาพเท่าเค้า งานของเค้าคือสุดยอดทุกอย่าง เส้นทางดนตรีของเขาสมบูรณ์แบบมาก ซึ่งเราก็อยากทำให้เส้นทางของเราอย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับเค้า ให้ได้ติ่งนิ้วก้อยเท้าก็ยังดี (หัวเราะ) ซึ่งพอเรามีบรรทัดฐานแบบนี้ เราก็รู้ว่าจะเดินต่อไปยังไง ผมไม่ได้มอง John Mayer แค่แนวดนตรี แต่มองแนวความคิดว่าชีวิตเขาเป็นยังไง แล้วก็หยิบความคิดคนอื่นมาผสมๆ ส่วนงานหลังจากนี้ของผมจะเป็นยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ