โปรเจ็กต์พิเศษของค่าย Music Cream ในเครือ GMM Grammy ที่รวมหนุ่มๆ ในค่ายอย่าง แกงส้ม ธนทัต, ดิว อรุณพงศ์, คชา นนทนันท์ และ 2 หนุ่ม พลจัง และแทนไท ในนาม Ampersand มาถ่ายทอดบทเพลงในเรื่องของความรัก ความเศร้า แบบ “แซดๆ” ซึ่งหนุ่มๆ เขาจะตีความคำว่า Sad / Tur / Day แบบไหน และเรื่องราวของหนุ่มๆ จะเป็นอย่างไรบ้างเรามาติดตามพร้อมๆ กันเลย
4 เพลงใน Sad/Tur/Day : แค่รักก็หนักหัวใจ
แกงส้ม : โปรเจ็กต์นี้เป็นการตีความเพลงเศร้าเป็นเพลงในแบบของแต่ละคน แล้วก็เป็นช่วงเวลาด้วย ของผมจะเป็นช่วงเที่ยงคืนถึงตอนเช้า เป็นช่วงที่เพิ่งโดนกระทำมา (หัวเราะ) หมายถึงโดนทิ้งนะ (หัวเราะ) เพลงของผมชื่อเพลง “ดีไม่พอ” เพลงนี้ต้องขอบคุณ Music Cream ที่ให้ผมได้ทำเองทุกขั้นตอน ทั้งเนื้อร้อง ทำนอง ตอนแรกผมก็กดดันอยู่เพราะกลัวว่าจะไม่เข้ากับคนอื่น เลยทำมา 2 แบบ อันแรกเป็นฮิปฮอปเกาหลี อีกแบบนึงเป็นแบบที่ได้ฟังเป็นดีเจ อิเล็กทรอนิกส์ ซาวด์แบบ Future Sound หน่อย แบบเปิดเต้นตอนเทศกาลดนตรีได้ แต่จริงๆ เพลงนี้เป็นเพลงเศร้า ที่ผมไม่อยากทำให้เป็นเพลงเศร้าดิ่งๆ ก็ตรงกับเนื้อหาที่ว่าดีไม่พอ เหมือนเราโดนเรื่องความรักมาเยอะมาก จนเราอยากจะ Move On แล้ว พอมาบอกว่าเราดีไม่พอ งั้นก็ไปเถอะ เราก็ขอไปเป็นตัวเราเอง ที่ไม่ใช่แบบที่คุณคาดหวัง ก็เลยเลือกเล่ามุมนี้จะได้ไม่ดิ่งมาก แล้วใน MV ก็ประมาณว่าเรียกมาเคลียร์ตอนเที่ยงคืนในผับ แบบเลิกแล้วเหรอ ไปเลย!! แต่สุดท้ายกลับบ้านไม่ไหวต้องเรียกเพื่อนๆ มารับ ตอนถ่าย MV ก็ลากถึง 6 โมงเช้าตามเนื้อเรื่องเรียลไทม์มาก (หัวเราะ)
ดิว : ของผมเป็นช่วง 6 โมงเช้าหลังจากโดนทิ้งในผับ ต่อจากแกงส้ม (หัวเราะ) พอเราเลิกตี 4 ก็เลยได้เวลาไปตกตะกอนนิดหน่อย กลายเป็นเพลง ”คาถากั้นน้ำตา” เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมขึ้นกับทีมเพลงของผมคือ Neon Team ซึ่งก็มีพี่พ้อยท์ อดีตวง Klear มันเริ่มจากคีย์เวิร์ดคำว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ซึ่งผมได้คำนี้จากพี่อ้อย พี่ฉอด เดี๋ยวมันก็จะผ่านไปจ๊ะน้อง (ทำเสียงแบบพี่อ้อยพี่ฉอด) ก็ได้มาพร้อมเมโลดี้ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ท้องฟ้าจะคลี่คลาย” ผมก็ลองหาเนื้อเรื่องที่จะมาลงกับท่อนนื้ อยู่ๆ ดีก็ไปเจอคลิปของท่าน ว. วชิรเมธี เด้งขึ้นมา ชื่อคลิปว่าคาถากันน้ำตาไหล คือมีวัยรุ่นอกหักฟูมฟายไปปรึกษาท่าน แล้วท่านก็บอกว่าอาตมาจะให้คาถากั้นน้ำตาไหล เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ผมเลยจับตรงนี้มาเขียนเพลง ก็ปรับให้มันเป็นว่าถ้าเราเจอเรื่องเศร้าเราจะเอาคำนี้มาอยู่กับเราได้ยังไง
Ampersand : ของพวกผมเป็น New Gen ที่ทาง Music Cream ดึงมาเป็นอีกหนึ่งศิลปิน จริงๆ ก็เริ่มมากจากแทนไท เขามาเล่น MV Stupid Game ของพี่อ๊อฟ ปองศักดิ์ ทางค่ายก็เห็นว่า เฮ้ย! ร้องเพลงได้ เล่นกีตาร์ได้ แทนไทก็บอกว่ามีวงอยู่ ก็คือเล่นกับพลจัง ก็เลยลองมาสกรีนเทสต์ก็ได้ออกมาคู่กัน ซึ่งเพลงของพวกผมชื่อเพลง “หลอกตัวเอง” เป็นเพลงแรกของพวกเราในฐานะศิลปิน ก็ตื่นเต้นมาก พลจังเช็กฟีดแบ็คทุกชั่วโมง ตอนทำงานก็ต้องบอกว่าทั้งตื่นเต้น และตื่นตระหนก เราไม่เคยมีเพลงมาก่อน มีร้องคน กีตาร์คน แล้วควรจะเป็นสไตล์ไหน เพลงนี้มันเกี่ยวกับคน 2 คนที่เลิกกันแต่ก็ยังมีสถานการณ์บังคับให้ต้องเจอกันอยู่
คชา : โปรเจ็กต์ของผมเป็นเพลงชื่อว่า “ภาพเก่า” มันเริ่มจากคำว่าคิดถึงได้ แต่กลับไปไม่ได้ เริ่มจากตรงนั้น คราวนี้พอมานั่งเขียนเนื้อเราก็รู้สึกว่าอยากให้มีคำจำ ก็เลยมีคำว่า “ภาพเก่า” ออกมาก็แล้วกัน เพราะเวลาเรานึกถึงอดีตเราจะนึกออกกันมาเป็นภาพ ก็คิดว่าหลายคนก็คงเข้าใจ มันเป็นเรื่องเดิมๆ ภาพอดีตดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเราแล้วเราไม่สามารถทิ้งมันไปได้ ซึ่งผมแต่งเนื้อเอง พอภาพในเพลงมันชัดก็เลยเขียนเนื้อเพลงง่ายแป๊บเดียวมาเลย ที่แปลกคือเมโลดี้เพลงนี้ผมได้ขอเมโลดี้จากคุณวีรนนท์ บุญช่วย ซึ่งผมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เขาอยากแต่งเพลงให้ผม ก็ส่งมาทางพีอาร์ ตอนแรกผมก็งง ใครวะ แต่พอฟังเรารู้สึกเฮ้ย! มันโอเค ก็เลยติดต่อกลับไปว่าขอเมโลดี้นี้นะ แต่ขอเขียนเนื้อเพลงเอง ส่วนเรื่องถอดเสื้อใน MV ผมไม่ได้ตัดสินใจเอง ทีมงานเขาบอกว่าอายุขนาดนี้แล้วลองทำอะไรใหม่ๆ บ้างไหม (หัวเราะ) เลยถอดเสื้อโชว์ซะหน่อย (หัวเราะ)
มุมมองกับคำว่า Sad / Tur / Day
แกงส้ม : จริงๆ ผมทำงานไม่มีวันหยุดตายตัว แต่ผมชอบ Sad / Tur / Day ผมชอบคำนี้นะ มันเป็นวันที่เศร้า แต่มันดูเท่ด้วย
ดิว : วันเสาร์เนี่ยเป็นวันอุดมคติของใครหลายๆ คน หลังจากทำงานเสร็จก็มาพักผ่อน ผมจะนอนนอนแล้วก็นอน (หัวเราะ) ตกตะกอนความคิด ว่าจะทำอะไรต่อไปยังไง พักเหนื่อยแล้วมาดูว่าสิ่งที่เราทำไปทั้งอาทิตย์เป็นยังไง แล้วจะทำยังไงต่อไป
คชา : สำหรับผม ผมมองว่าปกติวันเสาร์ควรเป็นวันที่ผ่อนคลาย วันที่มีความสุข แต่พอเราเปลี่ยนตัว T มาเป็นตัว D มันคงไม่มีความสุขมากๆ ฟิลมันคงแบบลากตัวเองไปหาเพื่อนแบบ…เพื่อนกูไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งของผมเป็นตัวแทนของเวลาบ่ายๆ ซึ่งชีวิตจริงผมก็ตื่นแบบนั้นแหละ (หัวเราะ) มันก็คงเป็นวันพังๆ วันนึง ซึ่งถ้าผมเจอแบบนี้ในชีวิตจริง ผมคงนอนต่อยาวเลย ตื่นบ่ายก็นอนต่อ (หัวเราะ)
Amper Sand : อย่าง “พลจัง” ทำงานประจำ จริงๆ มันไม่มีเวลาแซดหรอก ถ้าไปทำนู่น ทำนี่ มันอาจจะเป็นวันพักผ่อนของตัวเราเอง ที่ให้พ้นจากความเสียใจ ซึ่งเวลาของพวกเราคือ 5 ทุ่ม ซึ่งเป็นชื่อวง เป็นตอนที่เรารวมตัวกันครั้งแรก เป็นไง…มีสตอรี่ (หัวเราะ) ถ้าเราเจอวันเศร้าๆ จริงๆ ก็คงเปิดเพลงเศร้าๆ ฟังให้ปลดปล่อย แม้อาจจะแย่กว่าเดิมก็ให้มันรู้กันไปเลย
เส้นทางดนตรีของคนเศร้า
ตัวตนและการส่งไม้ต่อ ของแกงส้ม
แกงส้ม : ผมมีค่ายเพลงตัวเองชื่อ OGME Entertainment ก็ย่อมาจาก Original Me เป็นค่ายที่เน้นปั้นศิลปินหน้าใหม่ ผมอยากเอาความรู้ในวงการมา 7 ปี ส่งต่อน้องๆ ด้วย ก็เลยเน้นพัฒนาสกิล ความรู้ ทัศนคติผ่านรายการ Reality ชื่อ Road To Idol เราก็เน้นให้น้องๆ ได้เรียนรู้จริงๆ เลยว่าเวลาไปทำงานต้องเจออะไรบ้าง ผมเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้มันง่ายมากในการที่จะกลายเป็นไอดอล เป็นศิลปิน แต่พอได้เป็นแล้วจะยังไงต่อ เวลาไปเจองานจริงๆ ผมก็จะเอาประสบการณ์ทั้งหมดมาสอน ซึ่งถ้าใครติดตามผมจริงๆ จะรู้ว่าผมชอบที่จะทำเพลง ทำอะไรแบบนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ก่อนมาประกวด เดอะ สตาร์ พอเราเป็นเดอะ สตาร์ มีเพลงที่เป็นป็อป แล้วมาทำตรงนี้ก็อาจจะมีคนงงๆ บ้างพอมาถึงวันนี้ผมคิดว่าก็อยากจะทำเพลงในแบบของเรา แล้วก็อยากจะถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้ให้คนอื่น เป็นช่วงปีที่ผมอยากทำเบื้องหลังมากขึ้น
Neon Team ของ ดิว อรุณพงศ์และจุดเริ่มต้นของการเขียนเพลงแบบมืออาชีพ
ดิว : ของผมจะอยู่กับ Neon Team มันเริ่มจากการที่ผมอยากทำงานของตัวเอง แต่เราไม่มีความรู้อะไรเลย ต้องไปลงเรียนดนตรีใหม่ คือฝึกหัดเขียนเพลงเองอะไรทำนองนี้ จนผมไปเจอพี่พ้อยท์ เมื่อ 3 ปีก่อน ก็คุยว่าอยากจะทำเพลงนู่น นี่ นั่น ก็เลยอยู่ด้วยกัน ร่วมทำเพลง แต่ยังไม่มีเพลงไหนได้ปล่อยเลย (หัวเราะ) จนกระทั่งผมไปเจอผู้กำกับที่เคยร่วมงานกัน เขาถามผมว่าพี่ดิวรับทำเพลงซีรี่ส์หรือเปล่า ด้วยความที่ผมอยากทำมาก ก็ตอบรับ แต่ตอนนั้นยังทำอะไรไม่เป็นเลยนะ ก็ไปปรึกษาพี่พ้อยท์ กับทีม Neon นี่แหละ ก็ช่วยกันทำ ผมแต่งเนื้อ พี่พ้อยท์ทำนอง Neon Team เรียบเรียง ก็เอาไปส่งปรากฏว่าผ่าน ผมดีใจมากๆ เพราะเราไม่เคยทำเลย ซึ่งหลังจากนั้นก็เลยได้งานทางซีรี่ส์มาอีกเรื่อยๆ
Ampersand ก้าวแรก ของ 2 หนุ่ม ที่มีเคมีตรงกัน
Ampersand : ส่วนของพวกผมนี่เพิ่งเริ่มทำวง พวกเราเป็นพี่น้องที่คณะกันที่นิเทศ จุฬาฯ ตอนทำวงมันเกิดจากที่พลจังเรียนปีสุดท้ายแล้วอยากประกวดดนตรีบ้าง ก็เลยมาชวนแทนไท ซึ่งก็ไม่คิดว่าเราสองคนจะฟังเพลงอะไรคล้ายๆ กันแบบนี้ แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เล่นดนตรีกันมาเป็นปี เพราะพลจังจบก่อนก็ไปทำงานประจำ ส่วนแทนไทยังเรียนอยู่ จนกระทั่งมาเจอกันอีกทีก่อนจะทำโปรเจ็กต์นี้ มาลองเล่นด้วยกัน ก็รู้สึกว่าความรู้สึกเหมือนเดิม เล่นอะไรก็เพราะไปหมด (หัวเราะ) แต่พอตอนนี้เริ่มเฉยๆ แล้ว สักพักคงปล่อยเป็นภาพเก่าไป ออกเดี่ยวกัน (หยอกๆ หัวเราะ) ส่วนชื่อวง Ampersand ความหมายคือเครื่องหมาย & เหมือนกับตัวเรา “และ” คนอื่น เราสื่อความหมายจากเพลงเพื่อสื่อสารกับผู้ฟังด้วย เมื่อ Ampersand & คนฟังอะไรแบบนี้ครับ นี่ก็เป็นความหมายของชื่อวงเรา ซึ่งสัมภาษณ์ครั้งหน้าอาจจะไม่ได้ตอบแบบนี้ เดี๋ยวแต่งเรื่องใหม่แป๊บ (หัวเราะ)
ภาพเก่าที่ไม่มีวันลืมของ คชา
คชา : ผมมีโมเมนต์ที่ผมไม่เคยลืมได้ เป็นภาพเก่าของผม เลยคือตอนที่ประกวดในรายการรอบสุดท้าย ที่ขึ้นไปเหยียบเวที Impact Arena เป็นครั้งแรก มันว้าวมาก เป็นเวทีที่ศิลปินดังๆ เคยขึ้นไปเหยียบ นี่ผ่านมา 8 ปี แล้วก็ยังจำภาพนั้นได้อยู่ ยังจำโมเมนต์ได้ทั้งหมด มันลืมไม่ได้สำหรับผม เป็นของขวัญที่มีค่ามากทุกวันนี้ก็ยังจำได้
ขอขอบคุณ : คุณทราย PR White Music ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ