“ค่ายเพลง” ก็เป็นอีกคำนึงที่ในยุคนี้เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่า “ศิลปินหรือคนฟังในยุคใหม่ยังจะให้ความสำคัญแค่ไหน” ในวันที่มือถือเครื่องเดียวสามารถสร้างคนให้กลายเป็นศิลปิน-ดาราได้ ตลาดดนตรียุคใหม่ทำให้ค่ายเพลงต้องปรับตัว เพราะนอกจากศิลปินที่ทำเพลงออกมาจะเกิดขึ้นชนิดวันต่อวันแล้ว ค่ายเพลงอิสระมากมาย ก็เกิดขึ้นมาเช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดจากการรวมกันของกลุ่มนักดนตรี หรือแม้แต่บุคลากรดนตรีในยุคก่อนๆ ที่ใช้ประสบการณ์ในการประยุกต์ให้ทันกับตลาดดนตรียุคใหม่ Boxx Music ในเครือของ Muzik Move คือค่ายที่มีหัวเรือใหญ่คือ “พล วง Clash” (คชภัค ผลธนโชติ) ค่ายที่เริ่มทำการเมล็ดพันธุ์ดนตรียุคใหม่และใช้เวลาในการเฝ้าดูแล จนในที่สุดในวันนี้เมล็ดนั้นเริ่มแตกหน่อออกมา มีผลงาน มีแนวทางที่ชัดเจนขึ้น เราอาจจะเคยคุยกับพลมาก่อนในวันแรกๆ ที่ทำ Boxx Music ในวันนี้และอนาคต Boxx Music จะเป็นเช่นไร มาฟังพร้อมกันจาก พล Clash คชภัค ผลธนโชติ และ ตัฐ พงษ์ฉัตร มุสิเกตุ 2 ผู้บริหารจากค่าย Boxx Music
ทุกวันนี้ Boxx Music มีศิลปินกี่เบอร์แล้วครับ
พล : ตอนนี้เราก็อยู่มา 4 ปี มีศิลปิน 11-12 เบอร์ครับ
เราอาจจะได้คุยกับ “พล” อยู่บ้าง แต่กับ “ตัฐ” ยังไม่ค่อยมีโอกาสพูดคุยกันสักเท่าไหร่ ตอนนี้ใน Boxx Music ตัฐทำหน้าที่ในส่วนไหนครับ
ตัฐ : จริงๆ ผมทำงานมาตั้งแต่ตอนเป็นสหภาพดนตรีแล้วล่ะครับ ก่อนที่จะรีแบรนด์ดิ้ง ผมจะทำงานอยู่สายครีเอทีฟ งานที่ได้ทำกับพี่พลแรกๆ รู้สึกจะเป็นงานของพี่บอย พิษณุ คือผมทำงานกับร่วมกับพี่พลอยู่แล้ว จนวันที่ค่ายกำลังรีแบรนด์ดิ้งเป็น Muzik Move ผมก็คุยกับพี่พลว่าอยากจะทำค่ายเพลงที่เป็นค่ายวัยรุ่น ก็คุยเล่นๆ ขำๆ ว่าพี่พล ก็ขอพี่จุ๊บ (วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี) สิ (หัวเราะ) เพราะตอนนั้น Muzik Move กำลังจะทำค่ายย่อย ผมก็เลยยุพี่พลว่าให้ลองดู ซึ่งพี่จุ๊บก็ตอบตกลง ก็ให้ไปทำการบ้านมาว่าอยากทำอะไร ก็เลยต้องมานั่งประชุมกันว่าจะทำอะไร ใครทำหน้าที่อะไร
พล : เอาจริงๆ ตอนนั้นผมก็กึ่งยิงกึ่งผ่านนะ ถ้าได้มันก็ดี เพราะผมรู้สึกว่าเพลง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพวกเรามันเกิดขึ้นในโซนของวัยรุ่น เพลงมันเป็นแฟชั่น และเกิดจากการขับเคลื่อนด้วยพลังของวัยรุ่น ซึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผมและพี่ตัฐเคยผ่านมา ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันควรจะมีพื้นที่ให้น้องๆ ได้สนุกโดยไม่ต้องจำกัดขอบเขตเยอะ
ตัฐ : ตอนนี้ใน Boxx Music ผมจะทำเกี่ยวกับเป็น Promotion Manager ดูภาพรวม และมาช่วยพี่พลดูด้าน Business เกี่ยวกับพวกตัวเลข พวกแผนการต่างๆ ของค่ายแล้วค่อยมานั่งคุยกับพี่พลว่าทำอะไรได้บ้าง คือก็กลายมาเป็นคู่กัดของพี่พล (หัวเราะ)
พล : โชคดีที่พี่ตัฐเขาค่อนข้างมีความเป็นศิลปะ และค่อนข้างประนีประนอม ไม่ได้คิดแบบด้านตัวเลขอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นมีต่อยกันไปแล้ว (หัวเราะ)
ตัฐ : คือผมทำสายครีเอทีฟมาก่อนด้วยก็เลยค่อนข้างที่จะเข้าใจเลยทำงานด้วยกันสบายใจครับ
วินาทีแรกที่ได้ทำ Boxx Music ทั้ง 2 คนวางแผนยังไง คิดว่าจะเริ่มจากอะไรก่อน
พล : หาชื่อก่อน (หัวเราะ) ซึ่งชื่อ Boxx Music มาจากแนวคิดของพี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ งานดีๆ ก็คือกล่อง ถ้าสร้างงานดีๆ เงินจะกลับมาเอง ซึ่งถ้าคิดแต่จะสร้างงานที่จะค้าขายอย่างเดียวบางทีอาจจะไม่ได้ทั้งกล่องและเงินเลย
ตัฐ : แล้วก็ตรงกับไอเดียของผมพอดี ผมก็มีความคิดว่าค่ายเพลงต้องมี Symbolic ให้คนจำง่าย ซึ่งก็มีหลายชื่อ แล้วชื่อ Box ก็อยู่ในลิสต์ด้วย มันบังเอิญมาเจอกับไอเดียพี่พลพอดี ก็เลยเป็น Box Music แต่เพื่อให้มีเอกลักษณ์มากขึ้นเลยเติม X ไปอีกตัวเลยกลายเป็น Boxx Music
พล : หลังจากนั้นเราก็ทำโปรเจ็กต์ออกมา ซึ่งหลายเบอร์ก็ได้ไปต่อ หลายเบอร์ก็แยกไปตามเส้นทางของแต่ละคน
ตัฐ : ปีแรกๆ เรามีแค่ อิ้งค์, นัน สุนันทา, พี่ปอย Portrait, The Kastle เราก็เข็นๆ กันมา อย่าง อิ้งค์ เองสมัยก่อนก็ใช่ว่าจะมีงานเยอะ
พล : คือเหมือนเราทำนา ปีแรกๆ ก็เกลี่ยดิน แล้วก็ค่อยเริ่มหว่านเมล็ด จนรอผลของมัน ซึ่งมันก็ต้องลงทุนลงแรงกันในช่วงแรกๆ
ตัฐ : มาตอนนี้ก็เกินที่เราหวังไว้เหมือนกัน อย่างอิ้งค์ ที่เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น หรืออย่างพี่ปอย ที่กลับมาเป็นเจ้าพ่อเพลงเศร้าในวันนี้ ซึ่งผมว่ามันเกินกว่าที่เราหวังไว้มาก
Boxx Music คือสนามเด็กเล่น ที่ตอนนี้มีเด็กๆ มาวิ่งเล่นเต็มไปหมด
พล : ซึ่งผมรู้สึกสนุก รู้สึกมีความสุขที่เห็นน้องๆ ทำงาน อยากจะสร้างของ ทุกวันนี้ผมจะรอเพลงที่น้องๆ จะเอามาให้ฟัง หรือน้องๆ คนไหนที่เริ่มทำเพลงช้าผมก็จะคอยสะกิดแบบ เฮ้ย!! ทำงานได้แล้วนะ (หัวเราะ) ผมเชื่อว่าเพลงที่ออกจากทุกๆ ศิลปิน มันคือความสุข และผมก็อยากจะฟังความสุขเหล่านั้น ซึ่งถ้าเราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยยังไงเราจะนำเสนอบอกไป ให้เขาไปคิดต่อไม่ต้องเชื่อเราทั้งหมด
ระหว่างทางได้เจออะไรแปลกๆ บ้างไหม
พล : เยอะนะ อย่างตอนที่แม็กซ์ เจนมานะ เล่นเพลง “วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า” ให้ฟัง ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเพลงเลยนะ แม็กซ์มันเล่นแล้วเอามาให้เราฟังเฉยๆ วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า แฉ่งๆๆ ฉันเจอหมี (หัวเราะ) ผม พี่ตัฐ พี่ปอย ไอ้ยักษ์ แบบ เชี้ย!! เพลงมิติไหนวะเนี่ย (หัวเราะ) เพลงอะไรวะเจอหมี คือมันยังไม่ใช่เนื้อเพลงที่เราได้ยินกันนะ บอกตรงๆ ว่าวันนั้นผมก็งง เหวอเหมือนกัน ไม่รู้มันจะยังไงต่อ (หัวเราะ) เรามองไม่ออกว่ามันจะไปอยู่ในวิทยุ หรือ Streaming ยังไง หรือจะเอาแบบ “ฟ้อนเล็บเจ็บมาเยอะ” ล่ะ (หัวเราะ) เห็นเมื่อเช้าถ่ายรูปนาฬิกาลงโซเชียลอยู่ (หัวเราะ) คงจะไม่มีต่อแล้วล่ะ เพลงที่เขาต้องแต่งยังทำไม่เสร็จเลย (หัวเราะ)
Boxx Music ศิลปินเดี่ยวๆ ค่อนข้างประสบความสำเร็จ แต่กลับกัน ศิลปินที่เป็นแบนด์ ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่
พล : ใช่ครับ อันนี้เราก็ยอมรับอยู่แต่ไม่ได้กังวลนะ เพราะผมเองก็ยังรออยู่ เอาจริงๆ ทุกวันนี้พวกเราคุยไว้กับหลายวงมากนะแต่มันเหมือนกับยังไม่ลงตัวกัน ผมอยากทำแบนด์อยู่แล้วซึ่งใน Boxx ตอนนี้ก็มี The Kastle, Foam, ONEONE เราก็ยังอยากจะได้วงเพิ่มอีกนะ
มีแนวทางในการคัดเด็กที่จะมาวิ่งเล่นในสนามแห่งนี้ยังไง หรือมีแนวคิดอะไรที่ต่างไปจากวันแรก
ตัฐ : สิ่งที่เรายึดเอาไว้เสมอเหมือนวันแรกๆ คือ Boxx ต้องมีความสุข แล้วก็สนุก เราต้องพูดกับศิลปินเราตรงๆ เลยวันแรกๆ มันอาจจะไม่ได้ตังค์นะ อาจจะต้องลงแรงเยอะหน่อย คุณมีความสุข มีความสนุกกับสิ่งที่คุณทำหรือเปล่า นี่เป็นสารตั้งต้นแรกของ Boxx เลย ซึ่งทาง Boxx ก็เปิดโอกาสให้ส่งผลงานได้หลายทาง ทั้งทางเว็บไซต์ของเรา
พล : เรื่องสไตล์ก็มีส่วนอย่างตัวผมเองโตมาแบบคนร็อค แต่พอทำ Boxx ผมไม่ได้ทำงานแบบร็อคเลย ถ้าเป็นร็อคก็เป็นแบบสไตล์อังกฤษ โมเดิร์นร็อค มีสีสันหน่อย ซึ่งพอผมมีความชอบแบบนี้เพราะฉะนั้นวงที่ผมอยากจะร่วมงานด้วยก็เป็นอะไรเทือกๆ นี้แหละ คืออาจจะไม่ใช่สายร็อคชุดดำทั้งตัว คือไอ้ที่เราทำมาตลอดชีวิตคือเป็นแบบนี้ แต่อีกหนึ่งความฝันของเราทำเพลงแบบร็อคสีๆ ร็อคลายดอกไม้ (หัวเราะ) แต่ไม่แน่ถ้าคุณเล่น Djent หนักๆ แต่สีๆ เท่ๆ หล่อๆ หน่อย ก็อาจจะได้นะ (หัวเราะ)
ขนาดของสนามเด็กเล่นนี้ใหญ่ขึ้นหรือเท่าเดิม
พล : ใหญ่ขึ้นนะ ตอนนี้วางแผนว่าต้องขยายด้วย (หัวเราะ) สุดท้ายเราสร้างสนามมา ผู้ใหญ่เขาก็ต้องคาดหวังล่ะ ตอนแรกเป็นสนามหมู่บ้าน ต่อมาเขาอาจจะอยากให้มีเครื่องเล่นเยอะขึ้น แต่สุดท้ายผมกับพี่ตัฐก็ยังชอบทำอะไรที่มันพอดีไม่ใช่ใหญ่จนดูแลไม่ไหว ไซส์มันก็ประมาณนี้แหละ
ตัฐ : ซึ่งถ้าพูดในมุม Business ที่ผมเพิ่งไปประชุมมา (หัวเราะ) คือบริษัทแม่เราก็ใหญ่ขึ้น Boxx ก็ต้องเติบโตตามในเรื่องของตัวเลข แต่อย่างที่พี่พลบอก เราไม่อยากเติบโตแบบก้าวกระโดด เราอยากรดน้ำพรวนดิน แล้วก็ค่อยๆ สร้างไปเรื่อยๆ
พล : เราจะคงความเป็น Handcraft ของเราไว้ แต่เราจะต้องหาช่างที่มาผลิตงานที่ตรงกับ Direction ของเรามาช่วยทำงานและผลิตงาน Handcraft ของเราให้มากขึ้น แต่เราไม่อยากขึ้นไปถึงแบบระดับอุตสาหกรรมขนาดนั้น แต่ถ้าวันหนึ่งมันไปถึง นั่นก็หมายความว่าเครื่องมือของเราต้องมีเพียงพอแล้ว
สนามเด็กเล่นนี้มีเครื่องเล่นเพียงพอไหม
พล : สนามของผมมันเป็นพื้นที่ว่าง แล้วทุกคนก็มาตกแต่งความสร้างสรรค์ของตัวเอง ใครอยากทำอะไรก็ใช้พื้นที่นี้ทำของตัวเอง
ตัฐ : แต่เราก็จะมีอุปกรณ์ไว้ให้ วันนี้ค่ายเพลงมันเป็น Tools (เครื่องมือ) โอเค คนที่เดินต่อไปก็คือตัวศิลปิน ค่ายเพลงทุกวันนี้เป็นเครื่องมือในการทำ PR เรามีคนพาไปทำโน่นทำนี่ มันเป็นเครื่องมือแต่ศิลปินจะทำออกมาเป็นสีอะไรก็แล้วแต่เลย
เมื่อมีเด็กมาเล่นในสนามแห่งนี้ ย่อมต้องคาดหวังว่าสนามแห่งนี้จะทำให้พวกเขามีความสุขหรือผลอะไรสักอย่าง มีวิธีการบริหารความคาดหวังนี้ยังไง
พล : ผมจะใช้วิธีคุยด้วยความจริง ความจริงการเป็นศิลปินมันไม่ได้ง่าย การทำเพลงเดียวแล้วดังเลยมันก็มีไม่เยอะ ทีนี้จะทำยังไงให้ดำรงชีพต่อไปได้ คุณก็ต้องมีความฝัน ความสม่ำเสมอ มีการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เราจะไม่จับมือเขาทำ น้องๆ ต้องเข้าใจตรงนี้ ล่าสุดผมเพิ่งคุยกับ The Kastle เพราะน้องๆ ก็เริ่มจะมอดๆ (หัวเราะ) ผมก็เรียกมาคุย ว่าเรามองเขายังไง และคาดหวังจากพวกเขายังไง เราไม่ได้คาดหวังให้เขาทำเงิน เราคาดหวังงานดีๆ จากเขา เราให้แรงบันดาลใจกับเขา และให้เห็นโลกของเพลงจริงๆ ว่ามันเป็นยังไง แล้วให้คุณเลือกว่าจะอยู่แบบไหน
ตัฐ : เราคุยกับน้องๆ ตลอดว่าเป้าหมายเราคืออะไร แล้วคราวนี้เป้าหมายของน้องๆ คืออะไร ทำยังไงให้ถึงเป้าหมายได้บ้าง เราก็จะมีเช่นน้องอยากไปถึงจุด A เราก็จะบอกว่ามันต้องทำยังไง รับได้ไหม อะไรแบบนี้
ในฐานะคนดูแลสนาม เราต้องปรับตัวยังไงบ้าง
พล : สำหรับผมการปรับตัวของผมคือการเปิดใจ อันดับแรกต้องรับฟังความคิดน้องๆ เยอะๆ เปิดใจฟังสิ่งที่เขาอยากทำ แล้วทำสิ่งที่เขาคิดให้เป็นรูปเป็นร่าง ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ตัวผมพยายามให้เกิดขึ้นตลอด เพราะน้องๆ เดินเข้ามาหาเราเพราะอยากได้โอกาส เราต้องหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เขา
ตัฐ : เอาจริงๆ มันเหมือนกับเราต้องพร้อม 24 ชั่วโมงเหมือนกันนะ ในโลกโซเชียลเพลงมันมาของมันเรื่อยๆ บางทีเราหลุดไปโผล่มาอีกวันเราอาจจะตามไม่ทัน คนในค่ายต้องทำการบ้านเรื่อยๆ อย่างเวลาเราไปต่างจังหวัด เราเข้าเซเว่นก็ยังต้องไปแอบหยิบซีดีมาดูเลยว่าเป็นยังไงมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราต้อง Input ตัวเองเสมอ
การกำหนด Direction ให้ศิลปินในยุคนี้ยากไหม
พล : นี่เป็นคำถามที่น้องๆ ถามผมเสมอ เอาจริงๆ ไอ้เรื่องนี้มันพูดยากเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งถ้าคุณไม่กำหนดด้วยแนวดนตรี สักแนวอย่างคุณจะเป็นป็อป ร็อค สกา เร้กเก้ หรืออาจจะเป็นซินธ์ฯ ป็อป พวกนี้ชัดด้วยลักษณะของเครื่องดนตรี หรือ Rhythmic ต่างๆ พวกนี้เรียกว่า Direction แล้วถ้าสมมติวงคุณเล่นบอสซาโนวา ไปเรื่อยๆ วงคุณก็จะจัด Category ได้เลย แต่ถ้ามาถึงผสมเลยเป็นอันนั้นนิด ไอ้นี่หน่อย ไอ้แบบนี้ มันก็กำหนด Direction ยากนะ เกาหัวเลยล่ะ (หัวเราะ) ผมเลยยกตัวอย่างเคสของผม อย่างใน Clash ผมเองก็ฟังเพลงเยอะ เอาอะไรมาผสมเยอะแต่เวลาเล่นผมก็เล่น Picking แบบซ้ำๆ จนคนจำได้ว่า เออ…พี่พล มันต้องเล่นแบบนี้แหละ ผมก็เลยยกตัวอย่างนี้เป็นไอเดีย คุณอาจจะต้องคิดงานเป็นอัลบั้มสัก 10 เพลง แล้วมาวาง Position ว่าเพลงช้ากี่เพลง พูดเรื่องอะไรวงอยากพูดมุมไหน ถ้าคุณทำแบบนี้ต่อเนื่องกัน 10 ปี คุณจะกลายเป็นวงที่มี Direction ทันที นี่เป็นแนวความคิดผม
ตัฐ : อย่างพี่ปอย ก็แต่งเพลงเศร้ามาตลอด จน Direction แกชัดนะ นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งทีเป็นเรื่องภาษาไม่ใช่เรื่องดนตรีอย่างเดียว
พล : เพราะเดี๋ยวนี้เพลงมันไปเร็วมาก ผมยกตัวอย่าง One Ok Rock หรือ Bring Me The Horizon ทุกวันนี้เราควรจะเรียกพวกเขาว่าวงสไตล์ไหนดีล่ะ โอเคล่ะ น้องๆ อาจจะมี Direction ในหัวว่าเพลงสไตล์นี้ ซาวด์ประมาณนี้ เล่นประมาณนี้ สไตล์เสื้อผ้า แฟชั่น แต่ในอีกด้านผมเป็นคนที่โตมาในยุคที่เน้นดนตรี ผมก็จะมองว่าบทเพลงแบบไหนที่วงทำแล้วมีเอกลักษณ์ชัด ถ้าเราทำได้ดี ก็ทำตรงนี้ซ้ำๆ ก็จะมี Direction ได้
Boxx Music ในปีนี้มีวางแผนอะไรไว้บ้าง
ตัฐ : ก็จะมีซิงเกิ้ลอีกเพียบเลยครับ แล้วก็คอนเสิร์ตใหญ่ของอิ้งค์ที่จะเกิดขึ้น แล้วก็อาจจะมีศิลปินใหม่ในค่าย ที่เราใช้วิธีมาเทรนก่อนออกเป็นศิลปิน เติมในหลายๆ เรื่อง เช่นเวลาออกไปหาสื่อ วงใหม่ๆ ไม่รู้ว่าจะต้องคุยอะไร พูดอะไร อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องว่าเขาต้องทำอย่างนี้เพราะอะไร หรือเรื่อง Performance บางคนทำเพลงดี แต่เล่นสดในสถานการณ์จริงๆ อาจจะมีปัญหา ก็จะนำมาพัฒนาก่อน
พล : คือเรื่องนี้ผมคุยกับพี่ตัฐบ่อยๆ เราอยากให้เด็กพร้อมลงสนามจริงๆ ไม่ใช่แค่อัดเพลง ปล่อยเพลง จบ แล้วถ้าเกิดดังล่ะ โดนชวนไปเล่นคอนเสิร์ต ซ้อมหรือยัง หรือเข้าใจมั้ยว่าการ PR คืออะไร ก็จะเป็นเรื่องที่พวกเรากำลังจะทำอยู่
Boxx Music ในวันนี้มีอะไรเหมือนหรือแตกต่างจากที่คิดไว้ตอนแรกบ้าง
ตัฐ : มันมีทั้งเคลื่อนและตรง ที่ตรงคือเรายังเป็นงาน Handcraft อยู่ แต่ที่ไม่เคลื่อนไปจากวันแรก ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่กับ Business มากขนาดนี้ (หัวเราะ)
พล : ผมกับพี่ตัฐเวลาประชุมกันเสร็จออกมา จะชอบพูดประโยคเดียวกันคือ “ธุรกิจมันเจ็บปวด” (หัวเราะ) คือมันเคลื่อนไปตามสภาวะเศรษฐกิจด้วย ถ้าพูดแบบตรงๆ ถึงเราทำงาน Handcraft เราก็อยากจะขายได้เหมือนกัน เราก็อยากขายได้ในระดับที่เราพอใจมันก็โอเค แต่ธุรกิจยังไงมันต้องโต เราจะทำยังไงให้ธุรกิจ Handcraft นี้มันโตขึ้นได้เป็นโจทย์ที่เราต้องคิดเพิ่มเติมมากขึ้น
ตัฐ : แต่ยังไงเราก็จะพยายามใช้ศิลปะนำ ไม่ได้ใช้ Business มาครอบมากจนเกินไป
พล : ถ้าพูดแบบยุคเก่าคือเรายังมีความสุขกับการเป็นค่ายอินดี้อยู่ (หัวเราะ) แต่ผู้ใหญ่เขาก็คาดหวังมากขึ้นนั่นแหละ ซึ่งสุดท้ายความหวังสูงสุดของพวกเราคือน้องๆ มันต้องเลี้ยงชีพได้ น้องๆ จะถามพวกผมว่า พี่! ดนตรีมันจะเลี้ยงชีพได้จริงเหรอ ผมบอกจริง แต่ต้องตั้งใจและพยายามอย่าเลิก อย่าท้อ ทำเรื่อยๆ วันนี้มีน้อยกินน้อย วันไหนมีเยอะคุณจะได้กินอย่างที่คุณอยากกิน ผมฝันว่าอยากเห็นน้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จในแบบที่ตัวเองหวัง เราอยากเห็นเขาเติบโต แล้วพอทุกคนได้อย่างที่หวังผมก็อยากให้น้องๆ เหล่านั้นให้โอกาสคนรุ่นใหม่เหมือนที่ผมให้โอกาสพวกเขา
ตัฐ : ผมเคยฟังพี่เต็ด ยุทธนา บุญอ้อม พูดเรื่องค่ายเพลง ค่ายเพลงก็เหมือนผู้ปกครอง ส่งลูกเรียนให้จบปริญญา พาน้องๆ ให้ถึงฝั่งนั่นคือหน้าที่ของค่ายเพลง และเรื่องปากท้องก็ต้องเลี้ยงชีพได้
ฝาก Boxx Music กับแฟนๆ ครับ
พล : Boxx Music ของเราจะครบ 4 ปี สิ้นปีนี้ก็ต้องขอขอบคุณ แฟนเพลงทุกๆ ศิลปินของเรา ถ้าไม่มีพวกเขาสนับสนุน เราก็คงมาขนาดนี้ไม่ได้ แล้วก็อยากบอกน้องๆ ที่มีความฝันในการเป็นศิลปิน Boxx Music เราก็ยังยืนยันว่าจะเป็นสนามเด็กเล่นให้ศิลปินรุ่นใหม่ๆ อยากให้ลองมานำเสนอได้เลย Boxx Music เหมือนบ้าน ถ้าคุณได้สัมผัสพวกเราแล้วคุณจะชอบ
ตัฐ : นอกจากแฟนๆ แล้วผมก็ขอขอบคุณศิลปินแล้วก็ทีมงาน ทุกคนที่ตั้งใจทำงานแล้วใส่สุดจริงๆ
พล : ขอเอ่ยชื่อทีมงานหน่อยไม่ว่าจะเป็น น้องกัต น้องท๊อป น้องพลอย น้องอุ๊ น้องจืด น้องนัท รวมถึงทุกคนใน Muzik Move ด้วย และโดยเฉพาะคนที่คอยขูดเลือด ขุดเนื้อเราอย่างพี่บอม ดนุภพ กมล หรือพี่บอม บางกระเจ้า (หยอกๆ) (หัวเราะ)
ตัฐ : ก็ต้องขอบคุณทุกคนด้วยครับ
ขอขอบคุณ : จ๋า PR Muzik Move ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ และ สติ (Handcraft Coffee) อารีย์สัมพันธ์ เอื้อเฟื้อสถานที่