หนุ่มเสียงทรงเสน่ห์คนนึงก้าวเข้ามาในวงการดนตรีด้วยเพลงแบบอะคูสติกเบาๆ “รักฉัน รักฉันเถอะนะ จะไม่ทำให้เธอเสียใจ” นั่นเป็นประโยคที่อาจทำให้หลายคนเข้าใจหนุ่มคนนี้ผิดไป หลายคนอาจจะคิดปรามาสว่า “นักร้องสไตล์นี้เอามาขายสาวๆ เฉยๆ หรอก” แต่หลังจากนั้นเพลงที่เขาปล่อยออกมาประสบความสำเร็จเรียกว่าทั้งหมดก็ว่าได้ ทางของฝุ่น, อ้าว, ช่วงนี้, Good Morning Teacher ฯลฯ คุณภาพของเพลงในระดับที่เรียกว่ามาสเตอร์พีซ อัลบั้มที่ชื่อว่า Cyantist คืออัลบั้มที่มีเพลงระดับคุณภาพอัดแน่นไปหมดทั้งซาวด์ดนตรี การเรียบเรียงสไตล์ Soul ที่ถึงรสถึงชาติ ประกอบกับเสน่ห์ของเสียงร้องและ Lyric ที่เจ็บปวดจาก “แผลเป็น” ในชีวิตจริง ของผู้ชายที่ชื่อว่า “ชนกันต์ รัตนอุดม” ทำให้นักร้องหนุ่มผู้นี้ทะยานขึ้นสู่แถวหน้าของวงการดนตรี ด้วยผลงานคุณภาพอย่างแท้จริง จากอดีตนักร้องคอรัสของบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ สู่ Singer Songwriter ระดับแนวหน้า นี่คือเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาที่จะทำให้เรารู้จักเขามากขึ้น
อัพเดตผลงานสักหน่อย
อะตอม : ถ้าเป็นช่วงที่ปี 61 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ผมรับโปรเจ็กต์เยอะ จะมีทั้งเพลงกึ่งๆ โฆษณา เพลงละคร มันก็อาจจะไม่เหมือนเพลงในช่วงทำอัลบั้ม เพราะวิธีคิด วิธีวางแผนก็จะต่างกันออกไป ก็เลยจะเห็นงานหลากหลาย อย่างเพลงที่ออกทาง Hip Hop ที่ได้ทำกับ Maiyarap ที่ชื่อ Get You Out ส่วนใหญ่เพลงพวกนี้จะแต่งใหม่เลย เพราะถ้าเป็นเพลงสต็อกผมจะใช้กับงานที่เป็นอัลบั้มตัวเองมากกว่า ผมว่างานที่เป็นรากฐานและสำคัญที่สุดของ ศิลปินคือการทำงานอัลบั้มของตัวเอง
แต่ก็ได้ทำอะไรใหม่ๆ เยอะอยู่นะ
อะตอม : ใช่ ได้ทำงานกับคนใหม่ๆ พอได้ทำหลายอย่างก็รู้ว่าอะไรที่เหมาะกับเรา อะไรที่ไม่เหมาะกับเรา อย่างกีตาร์ไฟฟ้าเนี่ย เดี๋ยวอัลบั้มใหม่จะมีบางเพลงอัดเอง ถ้าผมไหวนะ คือเราเล่นแต่อะคูสติกมาก่อน เล่นไฟฟ้าน้อยมากแล้วโง่อุปกรณ์มาก (หัวเราะ) ก็ได้พี่ๆ ในวงช่วยแนะนำ
มาถึงวันนี้ Cyantist คืออัลบั้มที่ได้ทั้งความนิยมและคำชื่นชม มีความรู้สึกยังไงบ้างผลงานชิ้นนี้
อะตอม : ผมค่อนข้างภูมิใจ ทีมงานทุกคนก็ภูมิใจกับงานชิ้นนี้ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน พูดตรงๆ ว่าผมเป็นเด็กที่มีประสบการณ์น้อยมาก โชคดีที่ได้เจอพี่ๆ ที่ช่วยพาเราไปถูกทางและผมก็ได้เรียนรู้จากจุดนั้น ตั้งแต่เพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้ายในอัลบั้มนี้ มันมีช่วงที่ห่างกันพอสมควร ตั้งแต่เพลงแรกคือ Please จนถึงเพลง “พอ” มีระยะห่างกัน 3 ปี เพราะฉะนั้นจะเห็นการเติบโตของผมค่อนข้างเยอะ ทั้งการเขียนเพลง ทำดนตรี จนหลังๆ มีความเป็นตัวเองมากขึ้น สามารถบอกโปรดิวเซอร์ได้ว่าต้องการอะไร เริ่มคิดไลน์เอง ได้ มันก็จะมีความเติบโตขึ้น ก็ดีใจที่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ (หัวเราะ)
“ถ้าพูดตามตรงถ้าตอนนั้นเพลง Please ไม่ประสบความสำเร็จ คงไม่ได้มีเพลงต่อๆ มาแน่นอน โชคดีที่ทุกคนต้อนรับกันอย่างดี จึงได้ทำเพลงเรื่อยๆ”
ถ้าย้อนกลับไปตอนปล่อยเพลง Please หลังจากปล่อยไปแล้ว ตอนนั้นมั่นใจ หรือกังวลมั้ยว่าเพลงนี้อาจจะกลายเป็น One Hit Wonder
อะตอม : ตอนนั้นไม่ได้สนใจเลยนะ ที่สนใจมากๆ คือเพลงนี้มันได้ถูกปล่อยออกไป นั่นคือโล่งแล้ว เพราะมันรอนานมากกว่าเพลงนี้จะได้ออก พอเราเห็นว่าผลงานได้ออกเราก็โล่งใจแล้วเพราะรอนานมาก คือจบเพลงนี้ผมไม่ได้คิดแผนอะไรต่อเลยนะ เพราะตอนนั้นก็เป็นยุคที่คนไม่ทำอัลบั้มกันแล้ว ก็วัดผลเป็นเพลงไป ถ้าพูดตามตรงถ้าตอนนั้นเพลง Please ไม่ประสบความสำเร็จ คงไม่ได้มีเพลงต่อๆ มาแน่นอน โชคดีที่ทุกคนต้อนรับกันอย่างดี จึงได้ทำเพลงเรื่อยๆ ผมกับพี่บอล อพาร์ตเม้นท์คุณป้า จะไม่ได้ทำเพลงสต็อก จะทำเป็นเพลงต่อเพลง พอเพลง “Please” กับ “แผลเป็น” มันทำงาน เราก็เลยต้องทำออกมาเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะรวมเป็นอัลบั้มนะ เพราะไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนั้นมั้ย แต่พอหลังจากเพลง “อ้าว” ก็ค่อยๆ มีความคิดที่จะรวมเป็นอัลบั้มกัน
ไปๆ มาๆ ทุกเพลงในอัลบั้มนี้มี MV ทั้งหมด
อะตอม : ใช่ๆ จริงๆ ผมก็อยากจะให้ทุกเพลงมันถูกโปรโมทให้ครบ เพราะถ้ามีเพลงไหนที่ถูกปล่อยไว้แค่ในอัลบั้มมันน่าเสียดาย อัลบั้มเราเพลงน้อยมากมี 9 เพลง จนมีคนมาบอกว่าทำไมเพลงน้อยจัง แต่ว่าใน 9 เพลงนี้เราใส่พลังงานไปเต็มที่ มันเข้มข้นในตัวของมัน ซึ่งผมว่ามันอยู่ในจำนวนที่เหมาะสมนะ
แต่กระแสเพลงของอะตอมไม่ตกเลยนะ
อะตอม : ทุกเพลงปล่อยไปก็อยากให้ทุกคนชอบถ้าพูดตรงๆ แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น แต่เบื้องต้นเพลงเหล่านี้ผมและทีมงานก็ชอบแล้วเพลงใน Cyantist ส่วนใหญ่ผมจะเขียนในช่วงมหา’ลัย หรือเรียนจบใหม่ๆ ก็จะเป็นตัวตนของเราในช่วงอายุเท่านั้น ทิศทาง เมโลดี้ Theme ของเพลงก็จะไม่ต่างกันเกินไป ซึ่งก็เลยคิดว่ามันทำให้เข้าถึงคนไม่ยาก
งานก็เข้ามาเรื่อยๆ หลังจากเพลงประสบความสำเร็จ ตรงนี้รับมือยากขนาดไหน
อะตอม : จริงๆ ผมเป็นคนที่สนุกกับการทัวร์นะ ใน 2 ปีแรกก็ไม่มีปัญหา พอเข้าปีที่ 3 ก็จะหนืดๆ นิดนึง (หัวเราะ) คือการเดินทางทุกวัน กินนอนไม่เป็นเวลา ทำให้ร่างกายผมเริ่มแย่ เป็นหวัดง่าย เป็นกรดไหลย้อน ก็เลยต้องกลับมาดูแลตัวเอง บาลานซ์ดีๆ ก็พอรู้ตัว ก็ต้องจัดการชีวิตให้ดีขึ้น บางคนอาจจะคิดว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่ผมว่าทำให้พอประมาณดีกว่า สุดท้ายทัวร์เต็มที่ แต่ร่างกายพังมันก็ไม่มีประโยชน์ แล้วก็อยากขอบคุณคนที่จ้างผมเล่นงานแต่งงาน เป็นงานที่ผมได้เล่นบ่อยมากๆ ถึงแม้เพลงผมจะไม่เหมาะกับงานแต่งงานเลยก็ตาม (หัวเราะ)
ตอนนี้อะตอมวางทิศทางในการทำงานล็อตใหม่หรือยังว่าจะพูดเรื่องอะไร สไตล์ดนตรีแบบไหน
อะตอม : ตอนนี้อัดไปเพลงนึงแล้ว หลักๆ จะวางคอนเซ็ปต์ในแต่ละเพลงก่อน เดี๋ยวนี้ผมขึ้นเดโม่ด้วยตัวเองได้แล้ว เพราะฉะนั้นพอมาในเพลงเซ็ตใหม่พอผมทำเดโม่เสร็จ ก็เลยเอามาคุยกับทีมเดิม ในแง่ของเนื้อร้องก็ค่อนข้างโตขึ้นพอสมควร ก็อีกสักพักก็คงได้ฟังกัน ส่วนสไตล์ดนตรี ตั้งใจให้เป็น Soul มากกว่าเดิม แต่ก็อาจจะเพิ่มสีสันของกีตาร์ไฟฟ้าแบบเสียงแตกๆ เพิ่มขึ้น ก็อาจจะร็อคขึ้นเบาๆ แต่แกนหลักก็เป็นตัวเราอยู่แล้ว ส่วน Hip Hop ให้คนอื่นทำดีกว่าฮะ ผมไปทางนั้นไม่ถึงแน่นอน (หัวเราะ) แต่ภาพรวมๆ ตอนนี้ยังไม่สรุปแน่นอน
สมัยเรียน อะตอมเคยอยู่ที่ TU Folksong วันนี้ได้เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ จากที่นั่น ขึ้นมาเป็นศิลปิน มีแฟนคลับมากมาย อย่างวง Mean เล่าชีวิตช่วงนั้นให้ฟังสักนิดสิ
อะตอม : โอโห วง Mean นี่เล่นดนตรีกลางคืนกับผมมาตั้งแต่สมัยมหา’ลัย เรารู้จักกันในชมรมดนตรีในธรรมศาสตร์ คือ TU Band นี่จะเป็นแบบวงเต็มๆ มีเครื่องเป่าด้วยมั้งถ้าจำไม่ผิด ส่วนผมเข้า TU Folksong เพราะผมเล่นกีตาร์โปร่งเป็นหลัก พอเข้าไปก็เจอพวก Mean นี่แหละ มีโดม The Star ก็ยินดีที่เห็นเพื่อนๆ ประสบความสำเร็จ อยากให้ไปแจมก็ชวนมาได้นะ (หัวเราะ) จริงๆ ผมเจอกับวง Mean นอกรอบอาจจะไม่บ่อยนะ แต่ก็ถ้าเป็นตามงานก็เจอกันบ่อย แต่ไม่ค่อยได้คุยกันมาก แต่ถ้าเป็นงานตอนกลางคืนก็จะเจอกันนานหน่อย (หัวเราะ)
ดูจะสนิทกันมากพอสมควรนะ
อะตอม : ก็ผมเล่นดนตรีกลางคืนกับพี่ปาล์ม ปวีร์ คือเล่นคีย์บอร์ดกับผมเลย แต่สมัยนั้นเขาไม่ค่อยแผลงฤทธิ์ให้ผมเห็นเท่าไหร่ เขาเป็นผู้ชายเรียบร้อยน่ารักอยู่ แต่สมัยนี้ผมไม่รู้จริงๆ (หัวเราะ) คนเรามันเปลี่ยนกันได้ (หัวเราะ) นี่เป็น ปปว ในโซเชี่ยลแล้ว (หัวเราะ) ผมเห็นล่าสุดหนังสือดาราเขียนสกู๊ปถึงเขาด้วย ไอ้กันต์ (กัน กันต์พิชญ์ มือเบสวง Mean) เป็นคนโพสต์ ส่วนพี่พัทก็อยู่กลุ่มเดียวกัน พี่โปเต้นี่ แกออกไปทำงานก่อน ไม่ค่อยได้เจอ น่าจะจบไปก่อน เอาจริงๆ ตอนนั้นผมจะเจอกับทุกคนตามร้านที่เล่นกลางคืน ซึ่งผมก็แฮปปี้นะ แม้ว่าตอนนั้นที่บ้านผมจะไม่ชอบที่ผมไปเล่นก็เถอะ (หัวเราะ) ยังไม่เปิดเทอมดีเลยผม ออดิชั่นติดไป 2 ร้านแล้ว (หัวเราะ) ได้เงินไม่เยอะหรอกครับแต่มันสนุก เงินที่ได้มาก็หมดไปกับที่ร้านในคืนนั้นๆ นั่นแหละ คืนทุนให้ร้าน (หัวเราะ)
ที่บ้านห้ามเล่นเหรอ
อะตอม : ก็ไม่เชิง เขาแค่ไม่อยากเห็นผมไปอยู่ในที่เที่ยวแล้วกลับ ตี 1 ตี 2 ออกแนวเป็นห่วงมากกว่า พอเขารู้ว่าเราเล่นกลางคืน เขาก็บอกว่าอย่าเล่นเลย เราก็รับปากไป สุดท้ายก็เล่นจนจบปี 4 (หัวเราะ) ตอนอยู่หอ ผมจะร่าเริงมาก (หัวเราะ)
ตอนเล่นกลางคืนเจอศิลปินบ้างมั้ย
อะตอม : ตอนนั้นมี Room 39 ไปเล่นร้านที่ผมเล่นอยู่ครั้งนึง จำได้ว่าบ้าคลั่งมาก คือคนเยอะแบบเบียดเลย เพราะร้านก็ไม่ใหญ่ ซึ่งก็สนุกดีผมอยู่จนจบ แต่กับศิลปินที่ผมประทับใจสุดก็พวกพี่บุรินทร์ ตอนมาเล่นที่กรุงเทพคริสเตียนกับ Groove Riders มาทั้งวง ตอนนั้นศรัทธามากๆ พอตอนนี้เจอตัวจริงผมศรัทธากว่าเดิมอีก (หัวเราะ)
เห็นอะตอมเวลาขึ้นเวทีก็หิ้วกีตาร์เล่นด้วยบ่อยๆ เริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่ตอนไหน
อะตอม : กีตาร์ผมเริ่มเล่นตั้งแต่ ป.5 ก็เล่นกีตาร์คลาสิค ก็ไปเรียนกีตาร์ตามสถาบันสอนดนตรีก่อน แล้วหยุดไปเพราะว่าติดเกม (หัวเราะ) จนถึงพอโตขึ้นมาหน่อย ช่วง ม.1 ม.2 ก็มาเรียนกีตาร์ไฟฟ้า บางคนที่ผมเคยเรียนด้วย ตอนเด็กๆ ปัจจุบันก็เล่นแบ๊กอัพให้ศิลปินหลายคน หรือตอนนี้ก็มาเล่นแทนที่วงผมก็มี อย่างมือกีตาร์ที่เล่นให้พี่เบน ชลาทิศก็เป็นคนสอนกีตาร์ผมมา
ตอนเล่นกีตาร์ไฟฟ้าเล่นสไตล์ไหนเป็น Soul ตั้งแต่แรกเลยมั้ย
อะตอม : ตอนนั้นเด็กๆ ผมว่าทุกคนก็ต้องร็อคแหละ เด็กอายุเท่านั้น สิ่งที่เราต่อยอดจากตรงนั้นก็คือพวก Blues Scale ที่เราเอามาฝึกต่อ สมัยก่อนคุณพ่อไปเรียนเป็นเพื่อนด้วยสนุกมาก (หัวเราะ) ผมจำได้ว่ามีเพลงนึง ให้อาจารย์แกะให้ อยากเล่น แกก็ไปแกะพร้อมบอกว่า ตอม เปลี่ยนเพลงเหอะ เพลงนี้แกะยาก (หัวเราะ) ชื่อเพลงว่า “ใจชาชา” ของแคล (หัวเราะ)
โฟร์ 25 hours เป็นคนอัดนะเพลงนี้
อะตอม : โอ้ จริงเหรอฮะ เสียดายผมล้มเลิกความตั้งใจที่จะเล่นไปแล้ว (หัวเราะ)
พูดถึงวง Backup ที่เล่นให้อะตอมสักหน่อย ตอนนี้มีใครยังไงบ้าง หรือรูปแบบวงเป็นแบบไหน
อะตอม : ก็จริงๆ เป็นพี่ๆ น้องๆ ที่สนิทกันแหละครับ คือต้องเท้าความก่อนว่าตอนเล่นทัวร์แรกๆ เราเล่นกัน 3 ชิ้น มีเบส กลอง กีตาร์โปร่ง จริงๆ ผมทึ่งตัวเองมากนะว่าใจแข็งเล่นจนจบโชว์ 10 กว่าเพลงได้ยังไง (หัวเราะ) คือโชว์มันโล่งมาก จางมากๆ พูดกันตรงๆ เล่นกันแห้งๆ แต่ก็เล่นกันมาได้ (หัวเราะ) จริงๆ ต้องบอกว่าพี่กวิน อินทวงษ์ ที่ทำเพลงกับผมนี่แหละเป็นตัวตั้งตัวตีในการหาสมาชิก อย่างมือกลอง ก็ชื่อพี่อาร์ม อยู่วง Paradise Bangkok วงหมอลำอินเตอร์นั่นแหละ แกเซิ้งเก่งมาก (หัวเราะ) มีพี่ยูเล่นเบส ที่ตอนนี้ทำวง Stoic พอเราเริ่มขยับขยาย ก็ได้พี่ขลุ่ย บริพัตร หวานคำเพราะ มาเล่นกับเรา จริงๆ พี่กวินก็เล่นคีย์บอร์ดแต่ช่วงแรกๆ แกอยู่อเมริกา เลยไม่ค่อยได้มาทัวร์ด้วยกัน ก็สุดท้ายก็บวกทีมเครื่องเป่าเข้ามา ปัจจุบันมีเบสที่เล่นในวงผม ผมดีใจมากที่ได้แกมาเล่นเพราะแกเหมือนอาจารย์ที่สามารถเก็บรายละเอียดและแกะเพลงให้คนในวงได้ (หัวเราะ) นั่นคือพี่ดิวที่เล่นให้ นิวจิ๋ว แล้วมีวงตัวเองชื่อ Asia 7
“ตอนเล่นทัวร์แรกๆ เราเล่นกัน 3 ชิ้น มีเบส กลอง กีตาร์โปร่ง จริงๆ ผมทึ่งตัวเองมากนะว่าใจแข็งเล่นจนจบโชว์ 10 กว่าเพลงได้ยังไง (หัวเราะ) คือโชว์มันโล่งมาก จางมากๆ พูดกันตรงๆ เล่นกันแห้งๆ แต่ก็เล่นกันมาได้”
วงดนตรีของอะตอมก็เหมือนกับถอดแบบจากพี่บุรินทร์เลยนะ
อะตอม : ใช่ครับ ก็เอาจริงๆ พี่บอล อพารต์เม้นท์ฯ แกเป็นคนเซ็ตให้แหละ คือตัวผมเองตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำวงยังไง ก็ได้พี่บอลนี่ล่ะครับเซ็ตให้ พอเราเริ่มมีประสบการณ์ ตอนนี้ไดเร็กชั่นของวงเราก็เริ่มจะวางเองแล้ว คือจากตอนแรกที่วงผมกับพี่บุรินทร์จะคล้ายกัน พอเราเริ่มโต ก็จะเริ่มต่างกันแล้ว ก็ชัดเจนมากขึ้น โชคดีที่ในวงผมเรียนดนตรีกันหมดเราอยากได้อะไรก็แค่ถาม ซึ่งพี่ๆ ทุกคนก็พร้อมช่วยกันอยู่แล้ว
จากคอรัสในทีมพี่บุรินทร์ สู่การยืนในสถานะศิลปินทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก อะตอมคิดว่ามันมาถูกต้องตามเวลาของมันหรือมาถึงเร็วเกินไป
อะตอม : อื้อหือ…ตอบยากครับ คือผมรู้ตัวว่าอยากทำอะไร เรามีเป้าหมายอยู่ เราอยากทำเพลงตัวเอง มีผลงานของตัวเอง ถ้าถามว่าเร็วไหม ตอนที่เพลงมันเริ่มมา ถือว่าเร็วมากๆ เร็วจนเราไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจอะไรเลย เราแค่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ซึ่งผมดีใจมากนะ ที่แฟนๆ ตอบรับผลงานของเรา เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันประสบความสำเร็จมาก
ล่าสุดมีเพลงที่ได้ Feat กับพี่ บุรินทร์ด้วย
อะตอม : ใช่ๆ มีเพลง Feel Like Home ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่เกี่ยวกับต้นไม้ พื้นที่สีเขียว พี่บุบอกว่าถ้าเล่น MV ด้วยกัน เราต้องไม่สบตากัน เดี๋ยวจะเป็นไม้ป่าเดียวกันนะตอม (หัวเราะ) ตอนถ่าย MV มันตลกมาก ต้องแพนหน้าออกจากกัน ก็เป็นเพลงเกี่ยวกับครอบครัวแหละครับ ซึ่งจริงๆ ส่วนตัวผมค่อนข้างดีใจนะ เวลาเจอแกไม่ว่าจะเป็นส่วนตัวหรือเรื่องงาน ผมจะแฮปปี้เสมอ ผมร่วมงานกับพวกพี่ๆ ตั้งแต่อายุน้อยๆ มันก็จะค่อนข้างผูกพัน ไม่ว่าจะตัวพี่บุ พี่บอล พี่กวิน เราก็จะรักพวกเขาเป็นพิเศษ
ถึงวันนี้พี่ๆ มาปรึกษาเรื่องการทำงานกับเราบ้างไหม
อะตอม : มีบ้างครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเขียนเพลงมากกว่า ที่ผมจะพอให้คำแนะนำพี่ๆ เขาได้จริงๆ ส่วนเรื่องดนตรีผมก็ต้องขอคำปรึกษาพี่ๆ เขาอยู่
ไม่คิดจะทำเบื้องหลังแบบงานเขียนเนื้อเพลงบ้างเหรอ
อะตอม : อืม ยังไงดีล่ะ คนที่ทำงานด้วยบางครั้งเขาก็มีทีมงานอยู่แล้ว เต็มที่ก็อย่างพี่บุรินทร์ ที่บางทีเขาก็อาจจะต้องการแค่คอนเซ็ปต์งานมากกว่า อพารต์เม้นท์ฯ พี่ตุล แกก็เขียนได้สุดยอดอยู่แล้ว งานคนอื่นก็มีบ้าง แต่เอาตรงๆ เวลาแต่งเพลงแล้วผมชอบ ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นหรอกนะ (หัวเราะ) อย่างบางเพลงที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา เราก็ไม่มีทางให้คนอื่นแน่นอน ถ้าจะให้ผมช่วยเขียนก็ต้องเล่าเรื่องของคุณมา แล้วก็จะช่วยเขียนให้ได้
“เอาตรงๆ เวลาแต่งเพลงแล้วผมชอบ ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นหรอกนะ อย่างบางเพลงที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา เราก็ไม่มีทางให้คนอื่นแน่นอน ถ้าจะให้ผมช่วยเขียนก็ต้องเล่าเรื่องของคุณมา แล้วก็จะช่วยเขียนให้ได้”
ความฝันของศิลปินทุกคนคือการขึ้นคอนเสิร์ต ตอนที่อะตอมได้มีโอกาสขึ้นงานใหญ่ครั้งแรกคือ Whitehaus ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง
อะตอม : ตอนนั้นชื่นใจมาก มันเหมือนเราเดินทางมาในจุดที่มีคนมาดู มาเชียร์เราค่อนข้างเยอะ มันเป็นจุดหมายจุดนึงที่เราอยากมาให้ถึง เป็นครั้งแรกที่เราเล่นใน คอนเสิร์ตฮอลล์ที่ใหญ่ขนาดนั้น ซึ่งก็ตื่นเต้นมาก ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ ทำเหมือนว่าทุกอย่างโอเค (หัวเราะ) ก็รอดมาได้ คือผมเป็นคนที่เวลาตื่นเต้นจะพูดจาไม่รู้เรื่อง ซึ่งปกติเวลาพูดผมก็จะพูดแบบคนลิ้นพันกันอยู่แล้ว (หัวเราะ) พอเวลามันรวนเนี่ย เป็นภาษาเทพเลย ต้องควบคุมตัวเองดีๆ (หัวเราะ) ซึ่งคอนเสิร์ตนี้ผมก็พูดผิดๆ ถูกๆ เยอะ (หัวเราะ) คิวไม่ลงกับวงบ้าง แต่ก็เอาตัวรอดได้นะ (หัวเราะ)
กับครั้งที่ 2 ที่เป็น Whitehaus 4 Chairs
อะตอม : ในครั้งที่ 2 เนี่ย ก็จะมีตัวละครน้อยลง ก็จะเหลือพี่ป๊อบ พี่โอ๊ต พี่เป๊ก แล้วก็ผม รูปแบบโชว์จะค่อนข้างเปลี่ยนไป ก็เป็นครั้งแรกที่ต้องเต้นกับทุกคน ต้องเต้นเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งปกติผมไม่ใช่คนเต้นอยู่แล้ว ครั้งที่ 2 มีการบ้านมากกว่าเดิม ซึ่งการที่ได้ฟังคนพวกนี้คุยกันในห้องแต่งตัวผมก็เพลินมากแล้ว (หัวเราะ) คือมีช๊อตที่พี่ปี๊อบพี่โอ๊ตตบหน้ากัน ผมลง IG ไปด้วยตอนนั้น (หัวเราะ) ดังเพี๊ยะ (หัวเราะ) ผมก็ต้องอยู่แบบสงบเสงี่ยม เดี๋ยวแกไปเอาคืนบนเวที คนพวกนี้น่ากลัว (หัวเราะ) อย่าไปเล่นกับไฟครับ (หัวเราะ)
ความประทับใจในทั้ง 2 ครั้ง
อะตอม : ครั้งแรกจะตื่นเต้นกว่าอยู่แล้วเพราะเป็นอะไรที่เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนเวทีบ้าง แต่ครั้งที่ 2 จะตื่นเต้นน้อยลง เพราะมี 4 คน เรื่องคิว เรื่องการโฟกัสต่างๆ ก็จะมากขึ้น จะประหม่าในเรื่องคิวมากกว่า
แต่อีกไม่นานความสนุกนั้นจะกลับมาอีก Whitehaus ครั้งที่ 3
อะตอม : ครั้งที่ 3 นี่จะมา ใน Theme TIME TRAVELLER CONCERT ก็เหมือนย้อนเวลาของเพลง ของบรรยากาศทุกๆ อย่าง ตอนนี้ก็รอรายละเอียดอย่างเป็นทางการ อีกไม่นาน แต่ที่บอกได้ตอนนี้คือเริ่มขายบัตรวันที่ 29 มิถุนายน ที่ Thai Ticket Major ก็คงได้เจอกับทุกคน ยกเว้นบางคนที่จากเราไปแล้ว (หัวเราะ) งานจะจัดขึ้น เสาร์ที่ 21 และ อาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562 ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน บัตรราคา : 5,000 / 4,500 / 4,000 / 3,500 / 3,000 / 2,500 / 2,000 / 1,500 ช่องทางการจำหน่าย ThaiTicketMajor ทุกสาขา และ www.thaiticketmajor.com รายละเอียดเพิ่มเติม www.facebook.com/ideafactgmm และ www.facebook.com/whitemusicrecord
ณ วันนี้ อะตอม ชนกันต์ ไม่ใช่ศิลปินหน้าใหม่แล้ว เป็นศิลปินที่เริ่มมีความคาดหวังในเพลง ในการวางตัวต่างๆ ตรงนี้อะตอมคิดว่าจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ดีขนาดไหน
อะตอม : สำหรับผมที่มองตัวเอง ตอนนี้ผมไม่ใช่นักร้องที่อยู่ในกระแส ที่เหมือนตอนแรกๆ ซึ่งโอเค ตอนแรกๆ มันมาเร็วค่อนข้างเป็นกระแสพอสมควร วงการดนตรีตอนนี้มันเหมือนเป็นรถไฟที่วิ่งเร็วและวิ่งตลอดเวลา เทรนด์เพลงเปลี่ยนตลอด น้องๆ ศิลปินใหม่ๆ ที่เข้ามาก็จัดจ้านและชัดเจน ผมเองปีที่ผ่านมาก็ถอยออกจากวงการมาเยอะพอสมควร เพราะก่อนหน้าผมลุยงานมาเยอะ เพราะฉะนั้นจุดยืนของผมตอนนี้ก็คือการทำเพลงใหม่ให้ดีแล้วก็ไม่ซ้ำทางเดิมที่เคยทำ ส่วนการวางตัวในฐานะศิลปินของผมก็คือทำตัวดีๆ อย่าเหลวไหลครับ (หัวเราะ)
กดดันมั้ย เพราะ Cyantist ทำงานได้ดีมาก
อะตอม : การที่เราจะมาคาดหวังให้เป็นเหมือนเดิม มันคงยาก ก็คงเป็นไปไม่ได้ แล้วผมจะไม่โทษใครเลยถ้ามันออกมาแล้วคนอาจจะไม่ชอบเท่า Cyantist ผมไม่อยากจะทำออกมาเหมือนเดิม เพราะถ้าออกมาเหมือนเดิมผมว่าผมไม่ทำดีกว่า มันต้องไปข้างหน้าจะถูกใจคนหรือเปล่าเราไม่รู้แต่ก็ต้องไป ผมว่าทุกคนก็ต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน ก็ต้องรอดูกันครับ
ถามสบายๆ ช่วงนี้ฟังเพลงอะไรบ้างครับ
อะตอม : ช่วงนี้ฟังหลากหลาย แต่หนักไปทางแจ๊ซนะ แต่ก่อนผมฟัง Soul เก่าๆ เยอะ จนขยับมาเป็น Neo Soul ที่มีซาวด์สังเคราะห์ ยิ่งช่วงหลัง ที่มันเป็นการผสมกันของทั้งเมโลดี้แบบ Soul เก่าๆ ซาวด์สังเคราะห์ รวมถึง Hip Hop ด้วย ซึ่งก็ดีครับ นั่นคือเพลงที่ผมฟังในช่วงปีที่ผ่านมา แต่มาปีนี้ผมมาฟังเพลงที่มีเครื่องสดเยอะขึ้น อย่างแจ๊ซ หรือร็อค ก็อาจจะมีซาวด์แบบนี้ในงานใหม่ของผม
เหตุการณ์แปลกๆ
อะตอม : บนเวทีไม่มีครับแต่ข้างล่างเวทีตอนถ่ายรูปเนี่ยมี (หัวเราะ) จำไม่รู้ลืมเลย แบบมีผู้ชายคนนึงเอามึงมาเขี่ยจุดสงวนของผม (หัวเราะ) ผมก็นึกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่เว้ย จนผู้จัดการต้องดึงตัวออกไป เพลินเลย (หัวเราะ) จริงๆ ก็โกรธนะครับ แต่ก็หลอนด้วย นี่น่าจะเป็นเหตุการณ์ระทึกขวัญที่สุดของผมแล้วล่ะ (หัวเราะ)
“การที่เราจะมาคาดหวังให้เป็นเหมือนเดิม มันคงยาก ก็คงเป็นไปไม่ได้ แล้วผมจะไม่โทษใครเลยถ้ามันออกมาแล้วคนอาจจะไม่ชอบเท่า Cyantist ผมไม่อยากจะทำออกมาเหมือนเดิม เพราะถ้าออกมาเหมือนเดิมผมว่าผมไม่ทำดีกว่า มันต้องไปข้างหน้า จะถูกใจคนหรือเปล่าเราไม่รู้แต่ก็ต้องไป”
อะตอมกับโลกโซเชียล
อะตอม : จริงๆ ผมไม่ค่อยโซเชียลนะ ขนาด Twitter ผมยังปล่อยร้างเลย (หัวเราะ) ก็ปล่อยร้างมาปี 2 ปี แล้ว ตอนแรกเราก็พยายามเล่นนะ เล่นแบบ ครึ่งๆ กลางๆ ตอนหลังนี่ไม่เล่นเลย (หัวเราะ) ก็จะไปเน้นเล่น Instagram มากกว่า ส่วน Facebook นี่ผมไม่ค่อยเล่น มีส่วนตัวเอาไว้ส่อง (หัวเราะ) ส่องความเป็นไปของคนรอบตัว แต่ผมไม่ได้โพสต์อะไรมาน่าจะ 4-5 ปีได้แล้ว
กีฬากับอะตอม
อะตอม : ก็ไม่ได้เล่นหรือดูอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่แค่ช่วงหลังต้องมาออกกำลังกายมากขึ้น ดูแลตัวเองเรื่องการกินการนอน เพราะเราใช้ร่างกายมาหนักตอนทัวร์ช่วงแรกๆ สมัยก่อนเวลาเห็นรุ่นพี่ๆ ที่แบบตอนนั้นอายุ 30 บางคนไอ้นู่นกินไม่ได้ ไอ้นี่กินไม่ได้ บางคนไม่ดื่มด้วย เราก็จะแบบอะไรวะ น่าเบื่อ (หัวเราะ) พอถึงเวลาตอนนี้เจอกับตัวเดี๋ยวนี้เริ่มฟื้นช้า (หัวเราะ) ก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้นครับ
ฝากอะไรถึง ปปว หน่อยครับ
อะตอม : ปปว เหรอฮะ (หัวเราะ) ก็ขอให้พี่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆ นะครับ ขอให้วง Mean ประสบความสำเร็จ กันทุกคน ผมเชียร์อยู่ ยินดีที่เพื่อนๆ ประสบความสำเร็จ ก็ทำตัวดีๆ กันนะครับ (หัวเราะ)
ฝากผลงาน
อะตอม : ในปีนี้ก็คงได้ฟังเพลงใหม่กันแน่นอนครับ แล้วก็อยากให้เป็นเพลงที่ทุกคนชอบเหมือนเดิม อาจจะมีรสชาติใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แต่ก็มีความเป็นเราอยู่ในเนื้อเพลง ในทำนองที่เราเขียน ฝากติดตามคอนเสิร์ต Whitehaus ครั้งที่ 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย วันที่ 29 มิถุนายนจะเริ่มขายบัตรแล้วอย่าลืมติดตามข่าวสารกันนะครับ
ขอขอบคุณ : คุณทราย white music ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ