คุณตีความคำว่า “ความมุ่งมั่น” ไว้แบบไหน มันสำคัญกับชีวิตของทุกคนมากนะ บางทีความมุ่งมั่น มีปัจจัยเร่งอยู่หลายประการ เช่นความสนุกในการทำอะไรสักอย่าง เหมือนตอนที่คุณนั่งเล่นเกมในมือถือจนไม่ลุกไปไหน หรืออาจจะตกงานไม่มีตังจนต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อให้มีชีวิตรอด มีงานมีการทำเลี้ยงชีพไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นตัวเร่งให้ความมุ่งมั่นทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเมื่อมันประกอบกับโชค จังหวะ ความกล้าเสี่ยง สิ่งแวดล้อมที่ดี และมุมมองอีกนิดหน่อย การประสบความสำเร็จก็ดูจะเป็นคำตอบของความมุ่งมั่นนั้นได้ หนึ่งในโปรดิวเซอร์มือทองที่สุดของวงการเพลงเวลานี้ Nino หรือชื่อจริง “เกริก ชาญกว้าง” ผู้อยู่เบื้อหลังความสำเร็จของ ศิลปิน Hip Hop มากมาย เรื่องราวเส้นทางดนตรีที่จะใช้คำว่าพลิกผันก็คงได้ จากมือกลอง กลายเป็นมือกีตาร์ที่บ้า Yngwie, John Petrucci เข้าเส้น ถึงขนาดนั่งซ้อมกีตาร์เพื่อที่จะเป็นกีตาร์ฮีโร่ กลายเป็นอดีตพนักงานรายการ VRZO กับเส้นทางดนตรีที่ไม่เคยมีคำว่า Hip Hop ในหัวเลย จนวันนี้กลายเป็นกลไกหลักในการรันวงการ Hip Hop หลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจของชายคนนี้ จะปรากฎต่อสายตาของท่าน ณ บัดนี้
จุดเริ่มต้นทางดนตรี
Nino : ผมชอบดนตรีตั้งแต่เด็กๆ พ่อผมจะซื้อพวกซีดี เทป วีซีดีคอนเสิร์ตมาดูมาฟัง แล้วผมก็เลยซึมซับมา ศิลปินแรกๆ ที่ชอบคือ Santana พอโตมาก็เป็น Dream Theater แล้วก็ไป Shakira (หัวเราะ) คือผมจะมีความชอบดูดนตรีที่เป็นวง ชอบดูพวกวง Backup ตอนแรกๆ ผมอยากจะเล่นเครื่องดนตรี 2 อย่าง คือกีตาร์กับกลอง แต่เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ผมเล่นก็คือกลองเพราะเห็นพวกมือ Percussion ของ Carlos Santana มันดูพริ้วดี (ยิ้ม) ก็เลยไปเรียนกลอง พอเรียนไปสักพักรู้สึกมันไม่เท่!! (หัวเราะ) ตอนเราไปเรียนห้องข้างๆ จะเป็นห้องเรียนกีตาร์ผมเห็นเขา Tapping ก็แบบว่าโคตรเท่ เลยเปลี่ยนไปเรียนกีตาร์ตอนนั้นเลย (หัวเราะ) ผมจริงจังมากนะ ฝึกวันละ 6-8 ชั่วโมงเลย อยากเก่งเหมือน John Petrucci พวก Dream Theater ผมแกะทุกเพลง อยากเก่งแบบพี่ป๊อป The Sun อะไรแบบเนี้ย แล้วผมลงประกวดตลอด บ้านผมอยู่ขอนแก่น ตอนอยู่ขอนแก่น ก็ลงประกวดตลอดแต่ก็ไม่ชนะสักที แล้วพอเราเจอคนเก่งๆ มากๆ เข้า ก็เลยท้อ ประกอบกับตอนนั้นผมเริ่มอยากไปเรียนด้านการทำหนังด้วย ก็เลยเฟดๆ ไป
เดี๋ยวๆ นี่มันไม่ได้เฉียดกับ Hip Hop เลยนะ
Nino : เอาจริงๆ นะครับ แรกๆ ผมไม่เคยรู้เลยว่าวงการเป็นยังไง ไม่รู้ว่า Hip Hop เป็นแบบไหนด้วยซ้ำ (หัวเราะ) แต่มันจะเริ่มตอนเด็กๆ ที่เวลาผมมีโอกาสมาเที่ยวอย่างพัทยา ผมจะไปร้านขายซีดีแล้วเลือกหาศิลปินที่ปกเท่ๆ กลับไปฟัง (หัวเราะ) เพราะที่ขอนแก่นหาพวกนี้ฟังไม่ได้ ตอนนั้นมันก็จะมีอย่าง Dr.Dre, Limp Bizkit, Linkin Park ชุด Meteora ผมจำได้เลย คือซื้อเพราะปกมีรูปคนพ่นกราฟิตี้ แค่นั้นเลย!! เอาปกเท่อย่างเดียว (หัวเราะ) ซึ่งทำให้รู้จักว่า เออ แบบนี้คือร้อง Rap นะ จนจุดเปลี่ยนคือผมได้ไปเรียนที่แคนาดา แวนคูเวอร์ เรียนด้านฟิล์ม ซึ่งตอนที่เรียนผมก็จะมีเพื่อนเป็นคนเกาหลี เขาทำพวกซาวด์ดีไซน์ ทำบีทพวกนี้อยู่ แล้วที่ๆ ผมเรียน ห้องที่เรียนเรื่องฟิล์ม จะอยู่ติดกับห้องซาวด์ดีไซน์ ซึ่งพอเราเห็นเพื่อนคนนี้มันทำบีท อัดเสียงนู่นนี่นั่น มาทำเป็น Sampling ใช้เครื่อง MPC เราก็แบบตื่นตาตื่นใจ ก็เลยเริ่มสนใจ แต่สนใจแค่เครื่องนะครับไม่ได้สนใจ Hip Hop อยู่ดี (หัวเราะ)
ตอนผมเรียนกีตาร์ ผมจริงจังมากนะ ฝึกวันละ 6-8 ชั่วโมงเลย อยากเก่งเหมือน John Petrucci พวก Dream Theater ผมแกะหมดทุกเพลง
แล้วเริ่มเข้าสู่วงการดนตรีได้ยังไง
Nino : ผมไม่เคยคิดจะจริงจังกับการเป็นเบื้องหลังในวงการดนตรีเลยนะครับ ที่เราทำตั้งแต่แรกมันคือเราทำเอาสนุกอย่างเดียว ตอนผมกลับมาจากแคนาดา ผมเรียนไม่จบนะ เงินหมด ไม่มีเงินเรียนต่อ (หัวเราะ) ก็เลยมาสมัครงาน แล้วได้มาทำงานที่ VRZO ซึ่งที่ VRZO พอหลังเลิกงานเนี่ย ผมจะใช้วิธียืมคอมฯ ในสตูดิโอ โหลดพวกโปรแกรมพวกทำบีทมาศึกษา ทำเล่นๆ สนุกๆ จนวันนึง พี่หลุยส์ (VRZO) แกเห็นว่าเราทำได้ก็เลยให้ไปทำบีทให้พี่ Chom Chumkasian ก็จะเรียกว่าเป็นงานแรกๆ ของผมก็ได้นะ แต่ถ้าเอาแบบบีทแรกที่ขายได้เป็นเงินเลยก็คือขายบีทให้พี่ Jack Jayrun ขายไป 1,500 จำได้เลย (หัวเราะ) เรื่องของเรื่องมันก็มาจากเพื่อนผม อย่าง Fiixd กับ Ben Bizzy พวกนี้จะรู้จักกันมานานอยู่แล้ว ผมไปทำ MV ให้ แล้วพวกนี้รู้ว่าผมทำพวกบีทได้ ประกอบพวกเค้าก็อยู่ในวงการอยู่แล้ว ก็เลยแนะนำเราให้คนอื่น บวกกับช่วงนั้นผมเองตกงานที่ VRZO แถมเรียนก็ไม่จบ (หัวเราะ) แต่มันต้องหาอะไรสักอย่างทำ ก็โชคดีที่มีคนแนะนำให้ ก็ต้องขอขอบคุณด้วย (ยิ้ม)
เลยคิดจะจริงจังทางนี้เลยใช่ไหม
Nino : ก็ไม่ครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามันจะไปได้ขนาดไหน เพราะบีทแรกที่ทำผมใช้เวลานานมากนะครับ เป็นเดือนเลย ไม่กล้าปล่อยให้ใครฟัง พอผมตกงาน ผมแค่คิดว่าไอ้การทำบีทเนี่ยมันน่าจะเป็นอาชีพที่น่าจะพออยู่ได้ ไม่น่าจะมีคู่แข่งมากนักเพราะยังไม่มีใครทำ (หัวเราะ) ผมใช้เวลาเกือบปีนะครับ อยู่กับ YouTube เพื่อที่จะตื่นมาเปิดดูพวก Tutorial ในการทำบีทใช้เวลาทำทั้งวัน ฝึกทำแบบนี้อยู่เกือบปี ไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนเข้าถ้ำตื่นมาฝึกทำบีท ไม่เที่ยว ตื่นกินข้าวอยู่แต่ในห้องพักของน้องผม ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนด้วยนะ จนกระทั่งพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฯ แกโยนงานมาชิ้นนึง ผ่านมาทางพี่หลุยส์นี่แหละ ซึ่งผมตอบรับเลย โดยไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า
เป็นเพลงของใครครับ
Nino: เป็นงานเพลงโฆษณาของพี่โต้ สุหฤท ครับ งานสีไม้มาสเตอร์อาท คือพี่โต้อยากได้เพลงที่เป็นสไตล์ Trap หน่อย พอรับมาปุ๊บผมเปิด Youtube ก่อนเลย How To Make A Trap (หัวเราะ) ผมรับงานมาโดยไม่รู้เลยว่าทำได้หรือเปล่า ร้อนเงินด้วย (หัวเราะ) ซึ่งบอกเลยว่ายากมากๆ เพราะงานแบบนี้ มันต้องมีบรีฟจากลูกค้า มีเรฟเฟอร์เรนซ์ แล้วทำยังไงให้ต่างจากเรฟเฟอร์เรนซ์ โดยที่ยังรู้สึกเหมือนอยู่ (หัวเราะ) ซึ่งก็ยากมากๆ แก้หลายรอบ แต่พอเราได้ค่าตอบแทนมาเราก็รู้สึกว่าค่าตอบแทนมันเยอะพอที่จะเป็นอาชีพได้ ก็เลยเริ่มจุดประกายความสนใจงานด้านนี้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ได้เข้าวงการดนตรีแบบเต็มตัวอยู่ดี
บีทแรกที่ขายได้เป็นเงินเลยก็คือขายบีทให้พี่ Jack Jayrun ขายไป 1,500 จำได้เลย
แล้วเข้าสู่วงการ Hip Hop ได้ยังไง
Nino : พอเริ่มมี Rap Is Now เพื่อนผมเจ้า Fiixd เนี่ยมันโม้เก่ง (ยิ้ม) มันได้ดีทุกวันนี้เพราะพูดเก่ง (หัวเราะ) เขาขายของเก่งอยู่แล้วครับ ก็ปากต่อปากบอกว่าผมทำบีทเป็น ทำบีทได้ ซึ่งพอมีคนติดต่อมาผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ แล้วผมทำทั้งเพลง ทั้งภาพเลยทำวิดีโอด้วย เลยเริ่มมีงานทำบีทใน Rap Battle ให้กับ Rap Is Now จนผมมีโอกาสได้ทำงานของ Rahboy x Estee ชื่อเพลง Bad Temper ก็ผมทำทั้งเพลงทั้งภาพ แต่งานนี้ผมเริ่มมีส่วนร่วมในการแนะนำว่า เออ รองร้องแบบนี้ ใช้เมโลดี้แบบนี้ดู คือกลายเป็นงานส่วนโปรดิวเซอร์แล้ว ซึ่งก็มารู้ทีหลังว่า เออ นี่มันก็เป็นรูปแบบการทำงานอีกแบบแล้วนะ ไม่ใช่แค่ทำบีท ทำภาพแล้ว
จนก้าวเข้าสู่วงการโปรดิวเซอร์เต็มตัว
Nino: Fiixd อีกแล้วครับท่าน (หัวเราะ) คือ Fiixd เขาเป็นคนที่ชอบไทยเทเนี่ยมมากๆ แล้วก็อยากจะอยู่ในสังกัดพี่ๆ ไทยเทฯ คือเขาจะตามไปส่งซีดี ตามไปแร็พให้พวกพี่ๆ ฟัง การตามของมันก็ขนาดพี่เวย์ พี่ขันเข้าห้องน้ำ กำลังทำธุระอยู่ มันยังตามไปเอาซีดีให้พี่เขา ซึ่งพี่เขาก็บอกน่าสนใจดีนะ แต่ผมก็ไม่รู้ได้ฟังหรือเปล่ามันไฟต์บังคับมากต้องรับไว้ก่อน (หัวเราะ) จากนั้นมันก็ไปซี้กับพี่โต้ง Twopee อีท่าไหนก็ไม่รู้ พี่โต้งก็ทักมาใน IG ผม ถามเรื่องทำบีท ว่าเราทำได้ไหม เราก็ตอบว่าทำได้ก็ตกลง เลยได้เพลง All Year ที่พี่โต้ง ทำกับ DJ Tob คราวนี้ช่วงนั้นผมชอบเข้าไปหาเพลงใน Sound Cloud แล้วสังเกตว่าในเพลงเขาชอบเขียนคำว่า Prod. ผมก็เลยคิดว่าบ้านเราตอนนั้นก็ยังไม่มีใครเขียนเครดิตแบบนี้ลงในเพลงสายนี้ ขนาดพี่ Eazy Iam ที่เป็นโปรดิวเซอร์ของพี่โต้ง กับพี่ๆ ไทยเทฯ ที่ผมนับถือแกเป็นอาจารย์ผมอีกคนก็ยังไม่เขียนเลย ผมก็เลยลองเขียนลงในเครดิตดู เพราะผมรู้สึกว่าบ้านเราเหมือนไม่ค่อยมีคนสนใจอาชีพตรงนี้ แต่วันนึงมันต้องมีคนสนใจบ้างแหละ ผมคิดแบบนั้นก็เลยเขียนเครดิตลงไป ก็กลายเป็นคนแรกที่เขียน (หัวเราะ) ผมไม่ได้คิดอะไรมากด้วยครับ แต่แค่อยากใส่เอาไว้เฉยๆ กลายเป็นว่าพอใส่ไปคราวนี้งานมาเพียบเลย (หัวเราะ)
งานที่เปลี่ยนชีวิตของ Nino งานนึงก็คือเพลง “อยากนอนกับเธอ” ของเด็กเลี้ยงควาย เพลงนี่ที่มาของมันเกิดขึ้นได้ยังไง
Nino : เพลงนี้คือสิ่งใหม่ที่สุดในชีวิตผมเลยล่ะ (หัวเราะ) ตอนแรกผมก็กังวลแล้วไม่คิดว่าจะได้ทำงานนี้นะ เพราะผมก็ไม่ได้ถนัดแนวทางนี้ แต่ก็โอเคลองดู ซึ่งผมไม่รู้ตัวหรอก แต่ไอ้เสียงจังหวะที่อยู่ในเพลงนี้ มันอยู่กับตัวผมมาตั้งแต่แรก เพราะผมเป็นเด็กต่างจังหวัด แถวบ้านผมคือหมอลำ พวกพี่ๆ ข้างบ้านก็นั่งเคาะขวดเหล้าร้องเพลง ผมก็จับจังหวะ ฟิลลิ่งแบบนั้นเลย บังเอิญวันนั้น OG-ANIC มาทำงานกับผมพอดี ก็เลยให้ feat ดูเพลงนี้ทำเร็วมาก 30 นาทีเสร็จ ผมนั่งเคาะกลองสดเลย (หัวเราะ) พอเพลงเสร็จผมก็เอามานั่งฟังหลายรอบนะ คือผมก็คิดว่า เออ มันก็พอได้นะ สัก 10 ล้านวิว เนี่ยเป็นไปได้ ไปๆ มาๆ ระเบิดตู้ม 200 กว่าล้าน ชีวิตเปลี่ยนไปเลย 2 คนนั้น รวมถึงผมด้วย งานลูกทุ่งติดต่อเข้ามาเพียบเลย (หัวเราะ) ตอนแรกผมบอกน้องว่าไม่ต้องใส่ชื่อพี่ก็ได้นะ แต่น้องมันไม่ยอม เราก็โอเคได้ ก็เลยได้งานจากเพลงนี้เยอะ แต่ผมไม่ได้รับงานลูกทุ่งนะ เพราะผมก็ไม่ถนัดจริงๆ แต่เพราะจากเพลงนี้ผมเลยได้มีโอกาสทำเพลงสายป็อปมากขึ้น มีชื่อมากขึ้น ต้องขอบคุณน้องทั้ง 2 คนมาก ที่ทำให้ผมเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผมก็เลยมีอาชีพเป็นโปรดิวเซอร์โดยไม่รู้ตัว
ในแง่เทคนิคการทำงาน คิดยังที่มีกระแสวิจารณ์เรื่อง Autotune ในวงการ Hip Hop
Nino : ผมได้ยิน Autotune ครั้งแรกจากงานของ Kanye West กับ T Pain ผมว่ามันเท่นะ ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำแบบนั้นยังไง จริงๆ เรื่องนี้เมืองนอกก็ดราม่านะ ผมว่ามันเป็นเรื่องศิลปะของเสียงมากกว่า แต่บ้านเราอาจจะยังไม่เข้าใจตรงนี้ ถ้าเรามองในแง่เล่นสด เราต้องพูดตรงๆ ว่าการใช้ Autotune กับ Rapper บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจมันมากพอ คือสิ่งนี้มันทำให้ดูดีหรือแย่ก็ได้ บ้านเราอาจจะต้องวางแผนในการใช้ให้ดี เพราะเอาจริงๆ ตัวมันเองเป็นเอฟเฟ็กต์ที่มีเสน่ห์มาก ผมก็อยากให้เราลองใช้ให้ดีๆ วางแผนที่จะใช้ ใช้มันตอนไหน อย่าใช้มันเพราะเป็นแฟชั่น ผมเปรียบเทียบว่ามันเหมือนเอฟเฟ็กต์กีตาร์ ไม่ใช่แค่เรามีเอฟเฟ็กต์เสียงแตกแล้วเหยียบอย่างเดียว ถ้าเราใช้ถูกที่มันจะเยี่ยมมาก
เพลงอยากนอนกับเธอ บังเอิญวันนั้นของ OG-ANIC มาทำงานกับผมพอดี ก็เลยให้ ดูเพลงนี้ทำเร็วมาก 30 นาทีเสร็จ ผมนั่งเคาะกลองสดเลย พอเพลงเสร็จผมก็เอามานั่งฟังหลายรอบนะ คือผมก็คิดว่า เออ มันก็พอได้นะ สัก 10 ล้านวิว เนี่ยเป็นไปได้ ไปๆ มาๆ ระเบิดตู้ม 200 กว่าล้าน ชีวิตเปลี่ยนไปเลย 2 คนนั้น รวมถึงผมด้วย
คิดว่าตอนนี้ คนไทยเข้าใจ Hip Hop จริงๆ หรือยัง หรือว่าเป็นแค่แฟชั่น
Nino : ผมว่ามีทั้งคู่ คือต้องบอกว่า Hip Hop มันมีเพลงที่ให้แง่คิดก็มี หรือสนุกสนานอย่างเดียวก็มี แต่ตอนนี้ Hip Hop ไปอยู่กับทุกแนวดนตรีแล้วทั้งเมืองไทยและเมืองนอก
บ้านเราเคยมีกระแส สกา เร็กเก้ แล้วไปสักพัก ก็เป็น อีโม แล้วก็จะมีคนเข้ามากระจุกในสไตล์นั้นๆ เยอะ แล้วพอหายก็หายไปเลย บ้านเราจะมีอะไรแบบนี้ตลอด กลัวไหมว่าวันนึง Hip Hop จะเป็นเหมือนแบบนั้น
Nino : จริงๆ ผมก็เคยแอบกังวลนะแต่สุดท้ายผมมองว่า Culture นี้มันก็จะอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะมันมีเรื่องราวให้พูดไม่หยุด สิ่งที่ดีของ Hip Hop คือเราอยากจะพูดเรื่องอะไรก็ได้จริงๆ เช่น เราอยากกระโดดน้ำ เราก็พูดเรื่องกระโดดน้ำ เป็นแบบเวอร์ชั่น Hip Hop ด้วยตัว Hip Hop เองก็คงจะอยู่ได้ แต่แฟชั่นยังไงมันก็ต้องเปลี่ยน ความสนใจคนอาจจะน้อยลงอยู่แล้ว บ้านเราอาจจะเรียกว่าเป็นกระแสก็ได้ เพราะคนฟังต้องการฟังอะไรใหม่ๆ ทุกวัน ทุกวันนี้ทีวีคือ YouTube คืออะไรก็ตามที่ขึ้นมาหน้า Feed นี่คือทีวีของเรา มันเป็นยุคที่เราจะต้องเปิดรับทุกอย่างให้มากขึ้น
ค่าจ้างในการทำ Hip Hop แบ่งเป็นยังไงบ้าง
Nino: อย่างผมตอนนี้ก็จะคิดเป็นโปรเจ็กต์ คิดแยกเป็นค่ามิกซ์ ค่าทำบีท แต่สมัยก่อนผมจะคิดเป็นค่า บีทอย่างเดียว ทำเป็นแคตาล็อกส่งเป็นอีเมล์เลย แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น ก็คล้ายๆ กับการทำงานแบบป็อป หรือแบบแบนด์ ที่เป็นค่าอะเรนจ์ ค่าไลน์กีตาร์ ก็ว่ากันไปครับ
แน่นอนว่าการสร้างชื่อขนาดนี้ ไม่มีค่ายเพลงติดต่อทาบทามบ้างเหรอ
Nino: มีครับ แต่ผมยังอยากมีค่ายของตัวเองอยู่ คือผมกลัวเรื่องงระบบ ผมกลัวว่ามันจะไม่ได้ออกมาแบบที่เราคิด การทำงานมีด่านเยอะมากกว่าจะถึง Final Boss เราต้องฟาร์มเลเวลกระอักแน่นอน (หัวเราะ) ผมเลยออกมาทำเองแล้วลองดูสิว่าจะเป็นยังไง
ฝากข้อคิดถึงคนที่อยากจะเข้ามาทำงานในสาย Hip Hop สักหน่อย
Nino: เตรียมใจมาอย่างเดียวเลยครับใจต้องมาก่อน เหมือนเราอยากเล่นกีตาร์ ก็เก็บตังค์แล้วออกไปซื้อกีตาร์มาเล่นเลย ทำอะไรก็เอาเลย อย่างผมเอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ประสบความสำเร็จ แต่เพียงแต่เรารู้ว่ามีเป้าบางอย่างที่เราอยากจะไป ผมเลยมุ่งมั่นซ้อมการทำบีทตั้งนาน ผมเป้าหมายว่าอยากจะให้ซาวด์ของผมเป็น “World Wide” อยากประสบความสำเร็จนอกประเทศเหมือนกัน
ฝากอะไรถึงคนที่เป็นแฟนเพลง
Nino: ก็เสพอะไรอย่างมีสตี บางทีเราต้องสนุกกับมันบ้างไม่ใช่ให้ซีเรียสไปทุกอย่าง แล้วก็ทุกวันนี้คนมักจะมองกันแต่ลุคภายนอก แล้วก็คอมเมนต์ จนกลายเป็นว่าติด ทำไม ไม่ทำอย่างนั้นอย่างงี้ คนก็จะคอมเมนต์อย่างเดียว ผมมองว่าลุกออกมาลองอะไรก็ทำเถอะ อย่างเช่นเรื่อง Autotune เราลองเอามันออกไปใช้ก่อน ไม่แน่คุณอาจจะชอบมันก็ได้