หลังจากที่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาข่าวเล็กๆ ในวงการดนตรีที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ กลับส่งแรงกระเพื่อมมหาศาล ต่อวงการดนตรีบ้านเรา เมื่อศิลปินจากต่างประเทศคนนึงกำลังจะมาเปิดการแสดงในบ้านเรา มันคงจะไม่มีอะไรถ้าคนๆ นั้นไม่ใช้นักร้อง มือกีตาร์ ซุปเปอร์สตาร์ที่ชื่อว่า John Mayer คนที่ติดตามวงการดนตรีเมื่อรู้ข่าวนี้ต่างก็ตื่นเต้นกันทั้งนั้น เอาง่ายๆ แค่ศิลปินบ้านเรารู้วันที่จะมาโชว์ หลายคนก็รีบเช็กตารางงานเลย บางคนถึงขั้นประกาศผ่านโซเชียลว่า “งด” รับงาน ถึงขั้นนั้นเลย แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่เราจะได้เห็นศิลปินผู้นี้มาเล่นที่บ้านเรา อะไรคือสิ่งที่ทำให้ John Mayer เป็นที่ชื่นชอบขนาดนั้น เรื่องราวของเขานั้นมีหลากหลาย ทั้งในแง่ของผลงานดนตรีที่เป็นที่ยอมรับของคนในวงการ และในมุมของการซุบซิบนินทา จนมีคำกล่าวแบบติดตลกของคนไทยว่า “เรื่องจั…ไร ไว้ใจ จอห์น” อะไรมันจะขนาดนั้น เอาล่ะเรามาดูเรื่องราวของซุป‘ตาร์ คนนี้ดีกว่า
Ep.1 อนาคตที่สร้างแรงบันดาลใจ
มนุษย์ทุกคนย่อมเคยเป็นเด็ก ใช่แล้ว John Clayton Mayer เจ้าหนู เชื้อสายยิว อเมริกัน ลูกคนกลางของพี่น้อง 3 คน ก็เช่นกัน เขาคนนี้ก็มีวัยเด็กเหมือนคนทั่วไป เที่ยววิ่งเล่นมีเพื่อนสนิทที่ภายหลังกลายเป็นนักเทนนิสอย่าง James Blake กิจกรรมที่ไม่ได้ต่างจากเด็กๆ ในวัยใกล้กัน John เกิดในปี 1977 ดังนั้นสิ่งเร้าของเขาก็คงไม่พ้นภาพยนตร์ วิดีโอเกม หนึ่งในภาพยนตร์ที่โด่งดังในยุคนั้น Back To The Future กับฉากเล่นกีตาร์ในตำนานของ Michael J Fox ฉากนั้นมันกลายเป็นแรงบันดาลใจอย่างรุนแรงให้กับเด็กชาย John และจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อญาติของ John เปิดเพลงของสุดยอดมือกีตาร์บลูส์ของโลก Stevie Ray Vaughan เด็กชาย John ก็กระโจนเข้าสู่โลกของ Blues อย่างเต็มตัว เขาทั้งหาผลงานเพลง Blues เรียนกีตาร์ ฝึก เขาโฟกัสในด้านนี้อย่างจริงจังจนพ่อ แม่ เขาคิดว่าเขาป่วยเป็นโรคจิตเลยด้วยซ้ำ ในวัย 19 ปี เขาได้เข้าไปเรียนใน Berklee College Of Music ซึ่งพ่อ แม่เขาไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ และ John เอง ก็เรียนได้แค่ 2 เทอม ก่อนที่เขาจะตัดสินใจย้ายไปที่ Atlanta เพื่อเข้าสู่วงการดนตรีเต็มตัวตอนนี้ ตัวเขามีเป้าหมาย มีไฟเต็มเปี่ยม และชัดเจนในแนวทางมากๆ ด้วย
เกร็ดใน Ep.1
- ฉากที่ Michael J Fox เล่นเพลง Johnny B Good พร้อมหล่นประโยคคลาสสิคว่า “ตอนนี้พวกคุณอาจจะยังไม่พร้อม แต่ลูกๆ ของคุณจะชอบมัน” เป็นตอนที่เขาเล่นเพลง Johnny B Good พร้อมกับเล่น Tapping ดันสายอย่างเมามันส์ พร้อมทั้งเตะตู้แอมป์ นั่นอาจจะไปจุดประกายบางอย่างในตัว John Mayer เพราะต่อมาตัวเขาเองก็เล่นทั้งบลูส์ ร็อคแอนด์โรลโอลด์สคูล และเทคนิคแบบกีตาร์ฮีโร่อยู่บ่อยๆ เช่นกัน เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะได้คอนเซ็ปต์ในการเล่นตั้งแต่นั้น
- จุดเปลี่ยนในชีวิตเขาคือชีวิตใน Berklee “จริงๆ ผมแต่งเพลงไว้ตั้งแต่อายุ 17 ประมาณ 10-12 เพลง ซึ่งก่อนที่ผมจะมา Berklee ผมมีทางเลือก 2 ทาง จะเป็นนักแต่งเพลงหรือโคตรเทพเจ้ากีตาร์ แน่นอนพอมาเรียนที่นี่ ผมเลือกอย่างหลังก่อน” นั่นทำให้เขาซ้อมกีตาร์มากขึ้น แต่แล้วเมื่อเขาได้เห็นมือกีตาร์หลายๆ คน ที่เล่นได้สุดยอดกว่าเขา เขาจึงคิดเป้าหมายใหม่ เขากลับไปหาเป้าหมายในเรื่องการเป็นนักแต่งเพลง และในที่สุดความคิดรวบยอดของเขาก็เกิดขึ้น เขาเคยบอกว่า “สำหรับตัวผม ผมคิดว่าผมไม่ใช่นักแต่งเพลง แต่ผมคือมือกีตาร์ ที่แต่งเพลง เล่นกีตาร์ และร้องเพลงด้วย …ผมยังชอบที่จะแต่งท่อนกีตาร์เจ๋งๆ และแต่งเนื้อเพลงที่น่าสนใจผสมลงไป ร้องเพลงแล้วส่งผ่านสิ่งเหล่านี้ให้ผู้คนได้รับรู้ถึงมันได้”
Ep.2 พลุแตก ความสำเร็จ ที่รวดเร็วดังติดจรวด
เมื่อตัดสินใจเข้าสู่การวงการดนตรี ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน John ก็ได้ทำตามอย่างที่นักดนตรีทั่วไปที่มีฝันทำ ร้องเพลงแลกเศษเงิน หาเงินหางานพร้อมทั้งทำเพลงด้วยจนในที่สุด EP ที่ชื่อว่า Inside Wants Out สำเร็จ (ซึ่งมีเพลงดังๆ อย่าง Back to You, No Such Thing, Neon รวมอยู่ด้วย) หลังจากที่เดินสายเล่นแถวๆ Georgia อยู่สักพัก EP นี้ได้ไปอยู่ในมือของ Gregg Latterman แห่ง Aware Records ในเวลาไม่นานนัก EP ชุดนี้ก็ถูกส่งต่อไปที่ Columbia Records ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ และใช้เวลาไม่นานมาก จาก EP สู่การเป็นอัลบั้ม Room For Squares เพลงจากใน EP ถูกขัดเกลาใหม่ และโด่งดังไปอย่างฉุดไม่อยู่ ทำให้ในปี 2003 John Mayer ได้รางวัล Grammy Awards ในสาขา Best Male Pop Vocal Performance พูดสั้นๆ ว่าเปิดมาก็ดังเลย น้ำขึ้นให้รีบตัก หลังจากที่ได้รางวัล John ออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสดแล้วตามด้วย อัลบั้มที่ 2 Heavier Things ก็ตามออกมา อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จมากกว่าอัลบั้มแรกมากมาย เพลงอย่าง Daughters ได้รับรางวัล Grammy ในสาขา Song Of The Year ถึงตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก John Mayer แล้ว ชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วปานสาย 8 วิ่งตอนเที่ยงคืน นอกจากจะดังแล้วผลงานของเขายังได้รับคำชื่นชมในด้านคุณภาพการผลิตอีกต่างหาก
เกร็ดใน Ep.2
- คงต้องเรียกว่าเก่งบวกเฮง เพราะ EP Inside Wants Out นอกจากจะมีเพลงดังๆ อยู่ การที่ EP นี้ได้ไปอยู่ในมือ Gregg Latterman ก็ถือว่าเป็นโชคอยู่ไม่น้อยเพราะ Aware Records เป็นค่ายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ Columbia Records นอกจากฝีมือของ John แล้ว การที่ได้ออกผลงานกับค่ายใหญ่แบบนี้ทำให้มีแรงโปรโมตเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย (ค่าย Aware เองก็มีศิลปินดีๆ อีกมากเช่น Train, Five For Fighting, Vertical Horizon เป็นต้น เรียกว่าก็ตาแหลมพอสมควร)
- อาจจะบอกว่าเป็นโชคอีกชั้นของ John เพราะค่าย Aware เป็นค่ายที่ลุยเรื่องดนตรีกับ Internet แล้ว 2 อัลบั้มนี้ของ John เป็นช่วงท้ายๆ ของสิ่งที่เรียกว่า Tape Cassette เพราะหลังจากนี้โลกกำลังเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ยุคเริ่มต้นของดนตรีแบบ Digital ทำให้ John เองก็เป็นศิลปินที่ได้รับแรงโปรโมตในโลกโซเชี่ยลยุคแรกๆ เช่นกัน
- ในอัลบั้มแรกมีบางเพลงของ John ที่ถูกวิจารณ์เปรียบเทียบว่าเหมือนวงอื่น เช่น Dave Matthews Band อยู่เช่นเดียวกัน แต่หลังจากจบอัลบั้มแรก ก็แทบไม่มีคำวิจารณ์แบบนี้ออกมาอีกเลย
Ep.3 ชื่อเสียง การกลับสู่รากฐาน
จาก 2 อัลบั้มแรกที่ทำให้พี่ John มีชื่อเสียงขึ้นมากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ และเริ่มจะมีข่าวในทางสายบันเทิงมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน ในด้านดนตรี John กลับสู่รากฐานและเริ่มเล่นกับศิลปิน Blues Jazz รวมถึงศิลปิน Hip Hop มากขึ้น การเข้าหาดนตรีผิวสีของ John ซึ่งตัว John อินมากถึงขนาดทำวง John Mayer Trio ร่วมกับ Pino Palladino เบส และ Steve Jordan ออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสดชื่อว่า Try ออกมา ในปี 2005 และในปี 2006 ไอเดียทั้งหลายก็มาลงตัวเป็นอัลบั้ม Continuum ซึ่งเป็นอัลบั้มที่มีความเป็น Blues และ Pop ผสมกันซึ่งเป็นรากฐานของตัวเขาเอง เป็นการกะเทาะตัวตนออกมา เพลงอย่าง Gravity, Waiting On The World To Change เป็นเพลงที่ติดหู และมีกีตาร์แบบ Blues อยู่เต็มที่ จากอัลบั้มนี้ทำให้ชื่อเสียงชอง John ขึ้นสู่จุดสูงสุด เขาได้เข้าชิงรางวัล Grammy ถึง 5 รางวัล และได้มา 2 รางวัล ในสาขา Best Pop Album และ Best Pop Song With Vocal และตัว John เองเริ่มปรากฏตัวในซีรี่ย์ดัง อย่าง CSI รวมถึงเพลงของเขายังไปประกอบซีรี่ย์อีกมากมาย ตอนนี้ John Mayer กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปแล้ว หลังจากนั้นในปี 2009 อัลบั้มถัดมาที่ชื่อว่า Battle Studies ก็ได้ถูกนำเสนอออกมาสู่สายตาชาวโลก
เกร็ดใน Ep.3
- แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังแล้วแต่ในแง่งานดนตรีในช่วงปีนี้ต้องยอมรับว่า John Mayer ก็มาถึงจุดพีคเช่นเดียวกัน เขาได้ร่วมงานกับตำนานของดนตรี Jazz และ Blues มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Eric Clapton, B.B.King, Herbie Hancock, John Scofield และได้ตอกย้ำว่าเขายังเป็นมือกีตาร์อยู่ในการไปปรากฏตัวใน Crossroads Guitar Festival
- Steve Jordan กลายเป็นตัวแปรสำคัญทางดนตรีที่สำคัญของเขา หลังจากที่เขาทำวง Trio ขึ้นมา พอทำอัลบั้ม Continuum John ก็เลยให้ Steve Jordan เข้ามาช่วยเป็น Producer ร่วมด้วย
- หลังจากอัลบั้มนี้ John Mayer ก็ได้ทำการ “พักผ่อน” แบบสุดขั้ว ในรูปแบบของคอนเสิร์ต และ Fan Meeting ชื่องานว่า The Mayercraft Carrier พาแฟนเพลงของเขาล่องเรือสำราญ 3 วัน ได้ดูคอนเสิร์ต พร้อมแขกรับเชิญ ถามคำถามกับ John Mayer และแน่นอน เมาด้วย มันเหมือนเป็นการพักผ่อนหลังจากทำงานมาอย่างหนักไปในตัวด้วย
Ep.4 สนามรบที่ต้องเรียนรู้ ศัตรูคือชื่อเสียง
ปี 2009 อัลบั้มที่ชื่อว่า Battle Studies อัลบั้มที่ 4 ของเขาก็ได้ออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังกัน เพลงในอัลบั้มนี้ก็มีอย่าง Heartbreak Warfare, Half Of My Heart น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ศิลปินยอดฝีมือคนนี้ ถูกวิจารณ์ในผลงานนี้ ค่อนข้างเยอะ ว่าทำอัลบั้มแบบเพลย์เซฟ ไม่หวือหวา แต่สิ่งที่หวือหวากว่าก็คือไอ้บทสัมภาษณ์ที่ John สัมภาษณ์ให้กับ Playboy และ Rolling Stone ช่วงปี 2010 โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์แบบล้วงลึกกับเหล่า เซเล็ป ฮอลลีวู้ด เช่นบอกว่าอดีตแฟนอย่าง Jessica Simpson คือระเบิดนาปาล์มแห่งเซ็กส์ หรือเรื่อง “การชัก….” ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะโดนเอาไปล้ออย่างสนุกปาก เพราะแต่ละคำให้ สัมภาษณ์ของแก นี่พูดไม่ถอก บอกไม่เถือกเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าดุ้นน้อยของเขาไม่นิยมสาวผิวสี ซึ่งในบทสัมภาษณ์เขาหลุด คำบางคำเช่น Nigger ทำให้โดนด่าว่าเหยียดผิวไป หรือการที่บอกว่าเขาคือนักชัก….ยุคใหม่ หรือบอกว่า เขาชัก….ก่อนชงกาแฟ จอห์น บอกว่า “ถ้าถามว่าผมชัก…..ทุกวันไหม ถ้าตอบว่า “ใช่ ผมอาจจะดูแย่ แต่แน่นอน ผมทำ” สาเหตุแห่งการชักไม่ใช่เพราะเขา มีอารมณ์ทางเพศ แต่เพราะเขาอยากลืมวุ่นวายในหัว ฯลฯ เรียกว่าบทสัมภาษณ์นี้ทำเอา อัลบั้มนี้ไม่มีคนพูดถึงเรื่องเพลงเลยและนอกเหนือจากนั้น เขาก็ได้พบเจอกับอาการบาดเจ็บด้วยการที่มีปุ่มเนื้อใกล้เส้นเสียง ทำให้เขาต้องพักงานยาวๆ หลังจากอัลบั้ม Battle Studies ไปเลยเกือบ 3 ปี เรียกได้ว่าเป็นช่วงเคราะห์ซ้ำกรรมกระหน่ำของแกจริงๆ ทำให้เรารู้ว่า John Mayer เนี่ยฟังเฮียแกร้องเพลงอย่างเดียวพอ อย่าให้แกเปิดปากสัมภาษณ์เด็ดขาด
เกร็ดใน Ep.4
- ในช่วงที่เขาทำอัลบั้มนี้เรื่องราวความสัมพันธ์ของเขากับสาวๆ ในวงการมันมีมาเรื่อยๆ จริงๆ เริ่มตั้งแต่ปี 2006 แล้วด้วยซ้ำ Jessica Simpson คือคนในวงการคนแรกที่ John คบและมีข่าวซุบซิบ Paparazzi ด้วย (ก็แม่ระเบิดนาปาล์มเซ็กซ์ ของแกนั่นแหละ) ซึ่งเฮียจ้อน (ขอเรียกแกแบบนี้ชั่วคราวใน Ep นี้) แกเองก็รับมือนักข่าว Paparazzi พวกนี้ไม่เก่งซะด้วย
- นอกจากดาราแล้ว เฮียจ้อนก็ยังหลอกเด็กอีกด้วย โดยเฉพาะ “ชีเท” Taylor Swift ที่คบกับแกสักพักในช่วงทำอัลบั้มนี้ (ตอนนั้น ชีเท อายุ ประมาณ 19 ส่วนจ้อน 30 ต้นๆ) ซึ่งก็ต้องบอกว่าแก “กินเด็ก” อีกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นน้อง หนูเทคงไม่แต่งเพลง “ถึง จ้อน” (Dear John) ออกมาหรอก ซึ่งเฮียจ้อน ด้วยความที่มีสุนัขเป็นเพื่อนอยู่ในปากอยู่แล้ว ได้บอกว่าเพลงนี้ไม่แฟร์กับแก แถมบอกว่า “ด้วยความที่เป็นนักแต่งเพลงเหมือนกัน ผมว่าเพลงนี้แต่งได้กากมาก” …ครับเฮีย!!
Ep.5 การกลับมาของ จอห์น ชาวไร่ เจ้าแห่งการสาวแหน
หลังจากที่ไปพักร่างกาย เฮีย John ก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมทั้งไอเดียใหม่ในอัลบั้ม Born And Raised หลังจากเปิดตัวด้วย Single Shadow Days ทำให้แฟนๆ ประหลาดใจพอสมควรที่แกเลือกแนวทาง Country ใส่หมวกคาวบอยเป็นไอ้หนุ่มท้องทุ่ง แถมยังตอกย้ำต่อด้วยอัลบั้ม Paradise Valley ซึ่งในสองอัลบั้มนี้ สำเนียงการร้องของ John ออกมาในสไตล์ Country เสียงกีตาร์โปร่ง Lap Steel ที่ประกอบในอัลบั้มมากมาย ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่อัลบั้มในช่วงนี้ก็ประสบความสำเร็จพอสมควร ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดี ซึ่งในช่วงนี้ตัวเขาเอง ก็ได้ไปร่วมงานและทำโปรเจ็กต์กับศิลปินหลายคนเช่น ไปร้องคู่กับ Ed Sheeran หรือไปทำโปรเจ็กต์ Dead And Company ที่ทัวร์ร่วมกับสมาชิกของวง The Grateful Dead ที่เหลือ ในช่วงปี 2015
เกร็ดใน Ep.5
- เหตุผลในการที่เลือกสไตล์ Country ประการนึงคือการเซฟเสียงของเค้าเอง ซึ่งใน 2 อัลบั้มนี้จะไม่ใช้เสียงมาก ใช้คีย์ที่ต่ำลง และมีรายละเอียดพาร์ทดนตรีเยอะขึ้น
- แน่นอนเฮียจ้อนซะอย่าง ชาติเสือ ย่อมไม่ทิ้งลายเสือ ในเพลง Who You Love เฮียจ้อน ของเรา กับ Katy Perry ซึ่งภายหลังก็มีข่าวว่าทั้งคู่ คบหาดูใจกันด้วย ทำให้หนุ่มหลายๆ คนถึงกับชอกช้ำ เพราะรู้ว่าระดับ เฮียจ้อน ไม่ ft. เรื่องเพลงอย่างเดียวแน่ๆ (แต่ล่าสุดก็เลิกรากันแล้ว เพราะน้องเก๋ได้คำปรึกษาจากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างชีเทนั่นเอง)
Ep.6 John คนเดิมเพิ่มเติมคือของใหม่
จนในปี 2017 เฮีย John Mayer ก็ได้ปล่อยอัลบั้ม EP คู่ให้ได้ฟังในทุกช่องทาง Streaming ในอัลบั้มที่ชื่อว่า The Search For Everything : Wave One และ Wave Two ออกมาเป็น 2 EP (มันต่างกับอัลบั้มเต็มตรงไหนหว่า) ซึ่งในทั้ง 2 ชุด ก็มีเพลงและไลน์กีตาร์ รวมถึงเสียงร้อง ที่ทำให้หวนรำลึกในยุคเก่าๆ บวกซาวด์แบบโมเดิร์นเข้ามาด้วย และล่าสุดก่อนแกจะมาทำ John Mayer ปล่อยเพลงที่ชื่อว่า New Light ซึ่งมิวสิควิดีโอที่ช่างเกรียนเสียเหลือเกิน (เช่นตั้งใจเขียนชื่อตัวเองผิดเป็นต้น) และในเดือนเมษา เราจะได้พบเขาที่บ้านเราแน่นอน
เกร็ดใน Ep.6
- สิ่งที่เปลี่ยนไปของ John Mayer นั่นคือกีตาร์หลังจากที่เขาใช้ Fender มาอย่างนมนาน ตอนนี้ John Mayer กลับมาใช้ PRS ในรุ่น Silver Sky ซึ่งกำลังฮอตมากในช่วงเวลานี้
- เจอกัน 3 เมษายน Impact Arena ได้เลย
เรื่องดนตรี จิปาถะของเฮียจ้อน
- เหตุผลนึงที่ทำให้ John Mayer เป็นที่รักของคนดนตรี โดยเฉพาะมือกีตาร์คือเขาเป็นคนที่ต่อยอดเรื่องกีตาร์ฮีโร่ เพลงของเขามีทั้งคอร์ดและโซโล่ที่ดี ซึ่งในยุค 2000 กีตาร์ฮีโร่แทบจะหายไปแล้ว
- มีชาวเมทัลหลายคน เปลี่ยนแนวเพราะแกนี่แหละ
- เฮียจ้อนชอบเอาเพลงจากกีตาร์ฮีโร่ตำนานๆ ไปเล่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Bold As Love (Hendrix) Cross Roads (Eric Clapton) และ Lenny (SRV)
- อาจารย์คนสำคัญของพี่ John มี 2 คน คนแรกคือ Al Ferrante คนนี้เป็นคนแรกๆ กับ อีกคนก็คือ Tomo Fujita เทพเจ้าสแล็ปกีตาร์ฟั้งก์
- หนึ่งเพลงที่ทำให้มือกีตาร์บ้านเราหลงรัก John Mayer ก็คือ Neon ซึ่งเพลงนี้ถูกเล่นโดยใช้กีตาร์ Novax ซึ่งไม่ใช่กีตาร์ปกติ แต่เป็นกีตาร์ Multi Scale ผสมกับสายบนที่เป็นสายเบส แน่นอนนี่อาจจะเป็นครั้งแรก ในเพลงป็อปที่เราได้เห็นการใช้กีตาร์ลักษณะนี้
- Neon ถ้าเล่นด้วยกีตาร์ปกติจะเป็นคีย์ Cm
- เพื่อนร่วม Berklee ของแกมีหลายคนที่วันนี้มีชื่อเสียงเช่น James Valentine แห่ง Maroon 5 เป็นต้น
- อย่างที่เราบอกไป John Mayer ชอบเล่นกีตาร์ในแบบกีตาร์ฮีโร่อีกด้วย โดยเฉพาะเพลงที่เล่นโดย Van Halen อย่าง Panama หรือ Beat It
- หลายเพลงที่ John แต่งมักจะถูกโยงให้ไปกับช่วงชีวิตรักของแก เช่น Shadow Days ที่หลายๆ คนรู้สึกว่าเฮียแกแต่งให้ Jennifer Anniston
- PRS Silver Sky เป็นกีตาร์ตัวใหม่ของแก แต่ว่าตอนที่ John ติดต่อ PRS ไปครั้งแรก คนที่รับสายของ PRS ไม่เชื่อว่าเป็นเฮีย John ทำให้ตอบ John มีค่อยดีเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นสุดท้าย PRS และ John Mayer ก็ได้ร่วมงานกันอยู่ดี
กีตาร์ ซุบซิบ กับ John Mayer
John Mayer ถ้าเราพูดถึงชื่อนี้เราไม่พูดถึงเครื่องดนตรีที่แกใช้มันก็คงไม่ได้ John Mayer ใช้กีตาร์ เยอะมาก ในชีวิตนักดนตรีของเขา และด้วยความเป็นซูเปอร์สตาร์ ทำให้มีคนเอากีตาร์มาให้เขาเล่น หรือไม่ก็ไปขอแบรนด์ใหญ่ๆ ให้ทำกีตาร์ให้ นี่เป็นตัวอย่างเล็กน้อยๆ ของกีตาร์ที่เขาเคยใช้และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ (ป.ล. รูปอาจจะไม่ใช่ตัวที่ John ใช้จริง)
- Squier คือกีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกของ John Mayer เขาใช้ตอนเริ่มเล่นแรกๆ ทำให้ติดซาวด์ และทรงของกีตาร์แบบ Strat มาตั้งแต่ตอนนั้น
- Novax Expression เป็นกีตาร์ที่อยู่บนปกอัลบั้มแรก Room For Squares ของเขา และใช้ในการเล่นสดในเพลง Neon
- Fender ก็ถ้าจะไม่พูดถึงคงไม่ได้ John Mayer คือคนที่ทำให้ Fender ขายดีเช่นกัน หลักๆ แล้ว John ก็ใช้ Fender ตามฮีโร่ของเขาอย่าง SRV หรือ Hendrix และเขามี Fender หลากหลายมากทั้งรุ่นเขาเอง รุ่นฉลองครอบรอบต่างหรือ แม้กระทั่ง รุ่น Limited ที่ทำโดยช่างเก่งๆ อย่าง John Cruz เป็นต้น
- Moog E1 นอกจากกีตาร์แบบปกติแล้ว John ยังใช้ Guitar Synth อีกด้วย ซึ่งตัวนี้ถูกใช้ในเพลง War Of My Life และเพลง Assassin
- Ernie Ball Music Man มือกีตาร์อีกคนที่ John ชื่นชอบมากก็คือ Eddie Van Halen โดยตัว John เคยบอกว่า Music Man ของ Van Halen เป็นกีตาร์ในฝันของเขา (รุ่น Axis ที่ Van Halen ใช้) โดยทาง Music Man ได้ทำรุ่นนี้ขึ้นมาใหม่เพื่อ John และที่ Head Stock จะเขียนชื่อย่อ JCM (ชื่อย่อของตัวเขาเอง) ไว้ด้วย นอกจาก Music Man ตัว John ยังมีกีตาร์ Custom Shop ที่ทำ ลายกีตาร์เลียนแบบ Frankenstein ของ Van Halen อีกด้วย
- Duesenberg นี่ก็เป็นอีกแบรนด์ ที่เขาใช้เล่นในช่วงอัลบั้ม Battle Studies ในเพลงอย่าง Wildfire
- Martin ถ้าเป็นกีตาร์โปร่ง Martin ก็เป็นอีกแบรนด์ที่เขาใช้อยู่เสมอ แต่กีตาร์โปร่งตัวแรกจริงๆ ของเขาก็คือ Washburn
- Jackson 30 Anniversary Soloist ตัวนี้เป็นตัวที่เราอาจจะเห็น John ลงโซเชียลอยู่บ้าง หรือในงานที่เล่นกับ Ed Sheeran ในรายการ The Late Show
- Charvel Guthrie Govan กีตาร์ตัวนี้ John Mayer ใช้เล่นในคลิปที่เล่นแบบไม่เป็นทางการนัก ซึ่งชาวกีตาร์ตาดีก็เห็นว่าเอ๊ะ! นี่มันกีตาร์ Signatureของพี่ Guthrie Govan นี่นา
- PRS ก็เป็นแบรนด์ล่าสุดที่ John Mayer เลือกใช้งาน ก่อนที่จะมี Silver Sky ตัว John Mayer ได้ลองเล่นพวก PRS Super Eagle มาสักพักก่อนที่สุดท้ายจะมาลงตัว PRS Silver Sky
เด็กพี่จ้อน
พี่จ้อนนั้น นอกจากเล่นกีตาร์เก่ง เสียงดี ยังหล่อ เท่ (และหื่น) อีกด้วย จึงไม่ค่อยน่าแปลก ที่จะมีสาวๆ มาติดพันมากมาย พี่จ้อนมักจะติดอยู่ในลิสต์พวกไอ้หนุ่มเพลย์บอยตัวพ่อ อะไรแถวๆ นี้อยู่เสมอ แถมสาวๆ ที่อยู่กับแก ก็ระดับตัวแม่ทั้งนั้นเอาเป็นว่า เราเอาให้ดูพอ หอมปาก หอมคอ เน้นสายดนตรี สักหน่อยนะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นหนังสือดารา เกินไป
- Demi Lovato คนนี้น่าจะล่าสุดแล้วนะ ถ้าเป็นสายนักร้อง ศิลปิน
- Katy Perry น้องเก๋ก็คบพี่จ้อน ช่วงแกเป็นไอ้หนุ่มคันทรี่ย์
- Taylor Swift คบสั้นๆ แต่แค้นนั้นยาวนาน ชีเทดันไปแต่งเพลงให้พี่จ้อนแบบนั้น เสียหมด
- Jessica Simpson ระเบิดนาปาล์มเซ็กซ์ พูดซะผู้หญิงเสียเลยอะ เฮียจ้อน
- Vanessa Carlton คนนี้นี่ช่วงเฮียจ้อนดังแรกๆ ตอนนั้นเธอเองก็ดังในยุคนั้น ดูเป็นคู่ที่เหมาะดี