ย้อนกลับไป แน่นอนเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดและไม่อยากให้เกิดขึ้น กับมือกีตาร์อนาคตไกลอย่าง สิงห์ Sqweez Animal เป็นสิ่งที่ทำให้แฟนๆ เพลงของวงนี้อยู่ในห้วงความเศร้าเอามากๆ แต่คนที่รับรู้และเข้าใจถึงคำนี้มากที่สุดคงไม่พ้น “วิน” แน่นอน ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานแต่แล้วในที่สุด ในรอบปีที่ผ่านมาทุกคนได้ฟังเพลงใหม่ของ Sqweez Animal กันอีกครั้ง และก็ยาวต่อเนื่องมาถึงเพลงใหม่อย่าง Grow Old ซึ่งนั่นหมายความว่า Sqweez Animal ยังคงมีอยู่ต่อไปแน่นอน สิ่งที่น่าสนใจก็คือ “วิน” เขาก้าวผ่านความเศร้ามาได้อย่างไร แรงบันดาลใจในการขับเคลื่อน Sqweez Animal คืออะไร ทำไมเขาถึงเลือกเดินต่อโดยใช้ชื่อนี้ มาติดตามไปพร้อมๆ กัน
ก่อนจะก้าวเดิน
วิน : จริงๆ พวกผมวางเรื่องผลงานใหม่ของ Sqweez Animal มาก่อนแล้ว อย่างเพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” เพลงนี้มันก็มีมาก่อนที่ผมจะเริ่มทำ The Ghost Cat คือ The Ghost Cat กับอัลบั้มสามมันก็มาคู่ๆ กัน พอช่วงที่จะทำอัลบั้มสาม มีอยู่ช่วงนึงที่สิงห์เขาอยากจะไปเรียนต่อ ผมก็เลยโอเค มันจะมีช่องว่างอยู่ประมาณปีนึง ผมก็เลยวางแผนไว้ว่าจะทำ Ghost Cat ตอนเขาไม่อยู่ แล้วพอตอนหลังเขาไม่ไปก็กลายเป็นทัวร์อะไรกันต่อไป The Ghost Cat ก็เหมือนกับถูก Hold ไว้แป๊บนึง แต่ก็ยังนั่งทำเพลงเจอกับพี่ก้อ ณฐพล อะไรแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายพอเกิดเหตุขึ้นปุ๊บ…..(นิ่งไปสักพัก) คือมันก็เหมือนกับว่าคนจะมองก็จะมองแบบว่าพอไม่มีสิงห์ Sqweez Animal เลยไปต่อไม่ได้ วินเลยทำ The Ghost Cat ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะผมตั้งใจที่จะทำอยู่แล้ว แล้วในเมื่อตรงนี้มันชอกช้ำมากแล้ว เราก็เลยเอาโฟกัสของเราไปจับงานตรงอื่นแทน ผมก็มาทำธุรกิจของตัวเองมากขึ้น โฟกัสกับ The Ghost Cat พยายามเอาเวลาตัวเองไปจดจ่อกับเรื่องอื่น ซึ่ง Sqweez Animal ตอนนั้นมันเป็นชิ้นๆ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบว่าอารมณ์มันแปรปรวนวุ่นวายไปหมดเลยมันทำไม่ได้ แต่ในใจผมรู้ว่าต้องมีอัลบั้มใหม่ ยังไงอัลบั้มนี้ก็ต้องไปให้จบ เพราะว่าในช่วงที่ปล่อย Secretive, มอเตอร์ไซต์ อะไรพวกนี้มันมีเหมือนเป็น Roadmap ของมันอยู่แล้วว่าระดับประมาณไหน แต่แค่ยังไม่ได้เข้าห้องอัด มีเดโม่ประมาณนึง ที่ผมเขียนไว้แล้ว สิงห์ก็ฟังหมดแล้ว มันยังไม่เสร็จทุกเพลง เป็นช่วงที่เราต้องวางลุคใหม่ของ Sqweeze Animal ในชุดที่ 3 จะต้องมาทำ Photo Session ถ่ายรูปกัน แต่ว่าคนทำภาพก็ต้องเข้าใจว่าเราจะเป็นแนวไหน พอเพลงปล่อยไปได้ 2 เพลง ผมก็เลยบอกสิงห์ว่า สิงห์ช่วยทำเดโม่สั้นๆ มาแบบประมาณหนึ่งนาทีของทุกๆ เพลงมาให้หน่อยได้มั้ย ก็เลยทำจนมีออกมาแล้ว มันก็ทำให้ผมรู้ว่าเขารับเนื้อเพลงของผมออกไปตีโจทย์ออกมาเป็นยังไงให้ออกมา Direction ไหนในเรื่องของดนตรีก็เลยพอจะมีทิศทางอยู่บ้าง คราวนี้ถ้านับจากวันนั้นมาถึงวันนี้มันกินเวลาประมาณสามปีกว่าที่ไมได้ปล่อยเพลงอะไรออกมาเลย ก็ต้องพยายามหาจากคอมพิวเตอร์ของเขาทุกเครื่อง ฮาร์ดดิสก์ทุกก้อนว่าสิงห์เขาทำเดโม่เอาไว้เครื่องไหน Session ต่างๆ ผมไม่รู้มันอยู่ที่ไหนจริงๆ มันเลยดูอาถรรพ์มากเหมือนกับเขาจะบอกว่าพี่ทำใหม่เหอะไม่ต้องยุ่งกับผมหรอก (หัวเราะ) เพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” ก็เลยเป็นจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าเออ…สงสัยต้องทำใหม่ ก็เลยช่างมันเหอะ ผมก็ปลุกปล้ำกับมันอยู่ตั้งนาน แล้วก็ไม่ได้กะให้เพลงนี้มันล้ำหรือโมเดิร์นหรือสร้างอะไรใหม่มากมายในวงการ เพราะว่าเป็นเพลงที่ผมตั้งใจอยากทำให้แฟนเพลง ก็ตอนทำเดโม่เคยคุยกับสิงห์ว่าเออ…เราน่าจะมีเพลงที่ขอบคุณคนดูเวลาไปเล่นคอนเสิร์ตบ้างนะ เพราะว่าวงเราเล่นมาเป็น 10 ปีแล้ว และก็ไม่เคยมีเพลงที่ให้เขาดูจริง ส่วนใหญ่เขาจะเอาเพลงที่ผมเขียนจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องเพื่อน หรือให้กำลังใจเตือนสติเรื่องความรักแล้ว แต่ก็อยากจะมีสักเพลงนึงที่ของวง Sqweez Animal ที่มอบให้กับคนดูจริงๆ ว่า เออ..เราขอบคุณมากนะที่ผ่านมาได้มีช่วงเวลาร่วมกันกับเรา
เมื่อเดินคนเดียว
วิน : การทำเพลงนี้ยากมากทุกขั้นตอนเลยครับ เพราะปกติผมไม่ใช่คนทำดนตรี ผมจะเขียนเนื้อร้อง-ทำนองแล้วคิด Arrangement ไว้คร่าวๆ แล้วอาจจะมีเพลงที่ชอบReference ที่คิดว่าสไตล์นี้เหมาะกับเพลงนี้ คอร์ดชุดนี้ แล้วสิ่งเหล่านี้อาจจะไปตีโจทย์ต่อสร้างเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาแต่ยังมีโทนมีกลิ่นที่ผมชอบอยู่ แต่เพลงนี้มันก็เลยกลายเป็นว่าผมต้องรับบทบาทตรงนั้นมาเองทั้งหมด มันก็เป็นหน้าที่ท้าทายเหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่มีน้อง “อายุ” ที่ตีกลองให้ให้วงเรามาเป็นธุระจัดการให้ทุกเรื่องในสิ่งที่ต่างๆ ที่ผมไม่ถนัดอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ โปรแกรมต่างๆ เขาก็คอยเป็นพลังขับเคลื่อนอันนึงให้ผมแบบว่า “พี่วิน ทำเพลงไหมครับ” อะไรแบบนี้เขาอยากจะเห็นให้โปรเจ็กต์นี้มันเกิดขึ้นแล้วเขาก็รู้ว่าผมก็อยากจะเห็นเหมือนกัน แต่บางทีผมคนเดียวก็เปื่อยๆ เลยแบบขอไปทำงานดีกว่าตรงนี้มันยากว่ะ (หัวเราะ) ก็ยังดีที่มี “อายุ” เข้ามาช่วย พอมีปุ๊บมันก็เริ่มเป็นชิ้นเป็นอันขึ้น เขาก็มาเติมไฟให้ผม ผมก็เริ่มสนุกขึ้น เฮ้ย! มันเกิดขึ้นได้นี่หว่า เรายังสามารถสร้างทีมที่ผลิตชิ้นงานออกมาได้อยู่ ทีนี้ก็เลยทุกคนก็กลับมาซ้อมแล้วก็แจม จนในที่สุดก็ออกมาเป็นเพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” ที่ออกมาอย่างที่ทุกคนได้ยินตอนนี้ครับ คือก่อนหน้านี้มันมีหลากหลายสไตล์มากเลย อ้อมไปเป็นดิสโก้ก็มี (หัวเราะ) มานั่งคุยกันว่าอะไรแบบที่มันใช่หรือไม่ใช่วะ จนวันนึงก็รู้สึกว่า เออ อันนี้น่าจะถูกโจทย์เพราะมันก็ซึ้งดี แล้วมันก็ดูย้อนยุค มีความอัลเทอร์เนทีฟช่วง 90’s -2000’s ก็น่าจะถูกโจทย์เพราะวงเราเกิดมาในช่วงนั้น ปลายๆ ช่วงนั้นพอดี แล้วมันประจวบเหมาะหลายอย่างซึ่งช่วงนั้นไปเจอพี่ เมธี โมเดิร์นด็อก ซึ่งเขาก็เป็น God ของช่วงเวลานั้นเหมือนกัน ก็ได้ไปเจอพี่เขาในงานคอนเสิร์ต Big Mountain หลังเวทีระหว่างที่วงสักวงนึงเล่นอยู่ เลยได้พูดคุยกับพี่เมธีว่าจริงๆ ผมทำเพลงอยู่ พี่น่าจะช่วยผมได้ เพราะผมว่าผมตันๆ แล้ว ซึ่งพี่น่าจะเหมาะมาก เนี่ยพี่ลองดูสิ ผมก็เอามือถือจ่อหูเขา เขาก็อื้อๆ เพราะดีนะ (หัวเราะ) ก็เลยถามต่อว่าเอาเลยไหมพี่ พี่เมธีก็ตอบกลับมาว่า “งั้นก็ได้นะ เดี๋ยววินส่งมาให้พี่ละกัน” ผมก็รีบ แบบพี่จับมือสัญญาผมเลยนะ เขาก็บอกว่าได้ๆ (หัวเราะ) ซึ่งกว่าจะดันให้ออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ก็มีกระทุ้งกันอยู่หลายทีเหมือนกันครับ เพราะพี่แกค่อนข้างยุ่ง เพราะมีงานวาดรูป มีทำกีตาร์อะไรของเขา จนในที่สุดเหมือนกับว่าเขาเล่นกีตาร์จนเขาคิดอะไรออกมาให้ฟังสักอย่าง ซึ่งตอนแรกแกบอกว่า “เอาแบบคร่าวๆ เลยนะวิน ไม่ได้อัดอะไรดีมากมาย เพราะพี่ก็ไม่ค่อยเก่งคอมพิวเตอร์เหมือนกันต้องให้น้องอีกคนมาช่วยที่บ้าน” ผมก็เลยแบบว่า เออ…ได้พี่ ได้หมดผมก็อยากได้ยินว่าพี่อัดยังไง สุดท้ายเขาก็ส่งมา ผมก็ฟังแล้วก็เฮ้ย! มันได้ ซึ่งผมว่าได้ๆ จริงๆ เดี๋ยวมาแจมกันเลย แล้วโชคดีที่แฟนพี่เมธีต้องมากายภาพบำบัดใกล้ๆ บ้านผม คือต้องขอบคุณอาการเจ็บไข้ของแฟนเขา ไม่งั้นงานนี้คงไม่เกิดเหมือนกัน (หัวเราะ) เขาจำเป็นต้องขับรถมาส่งแฟนเขาตรงนั้น แล้วระหว่างตอนที่แฟนบำบัดอยู่ก็ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยชวนไปว่าพี่มาบ้านวินมา (หัวเราะ) ก็นั่งเล่นกัน ผม อายุ พี่เมธี คือเป็นภาพนี้อยู่หลายคืนมาก น่าจะเกือบ 5-10 วันที่มาเล่นตั้งแต่ประมาณทุ่มสองทุ่มแล้วก็กินข้าวกันจนถึงเที่ยงคืน พี่เมธีก็ใส่ยับ เอฟเฟ็กต์กระจุย มีให้ผมเลือกประมาณสักร้อยแบบ ผมแบบว่าโห..เลือกไม่ถูกเลย แล้วทุกอันดีหมด แต่ว่าอันไหนมันเข้ากับเราเท่านั้นเอง ก็คืออย่างที่ออกมาเป็นชิ้นสุดท้ายนี่ก็คือผมได้เลือกแล้วว่าพี่เมธี ทำออกมาแล้วเหมาะกับ Sqweez Animal ไม่ได้เป็น Moderndog จนเกินไปมีทั้งไทยเดิม สเกลจีนอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ซึ่งมันเท่หมดเลย ตอนแจมกันมีโมเมนต์ขนลุกบ่อย แบบว่าโห…ทำอะไรก็ดูดีไปหมดเลยแล้วก็แบบเอามาใช้ได้เลยไม่ได้ขออีกเทคหรืออะไรแบบนั้น ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ถนัดเขาด้วยกับการที่ผมมี Scope ไว้ให้เขาด้วยแบบว่าพี่ผมอยากได้ประมาณนี้ๆ ของวงนั้น ซึ่งมันก็จะเป็นคนในยุคนั้นทั้งนั้น เขาก็จะบอกว่าได้ๆ เออ เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน มันก็มีอะไรหลายอย่างที่ตรงกัน แล้วก็ยังเข้ามาช่วยปรับคอร์ดเปลี่ยนท่อนให้ชัดเจนจากเดิมที่เพลงค่อนข้างจะแบนๆ นิดนึง ซึ่งมันก็มีเมโลดี้มีท่อนอะไรของมันแล้ว ซึ่งแกก็แจมไว้เยอะ เราก็อัดเก็บไว้ในคอมฯ ซึ่งถ้าคอมฯ ไม่แรงจริงๆ ก็คงพังไปแล้ว (หัวเราะ)
ทิศทางเดินใหม่
วิน : ผมก็รู้สึกว่า Sqweez Animal เรามาจากหลายสายมาก จริงๆ แล้วฐานของผมก็ยังเป็นคนชอบดนตรีที่มีจังหวะมีกรู๊ฟ แต่ถ้าวัดจากเพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” เพลงนี้จะเป็นอะไรที่มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติของผมมากนัก แต่ผมก็รู้สึกว่าตอบโจทย์ที่มันช่วยดันเนื้อหาดันมู้ดของเพลงออกมาได้ดี เพราะถ้ามันทำแบบมีไลน์เบส มีบรรยากาศเหมือนกับที่ Sqweez Animal ถนัดหรือเป็นฟั้งก์ เฮ้าส์อะไรแบบนี้มันจะไม่ถึงใจคนเท่ากับอันที่มันจะควรเป็นแบบนี้ แล้วเพลงนี้นี่มันก็จะเน้นมือกีตาร์ในแบบ Post Brit Rock ซึ่งมันก็จะเป็นแบบมือกีตาร์จะต้องเด่น มีริฟฟ์ มีอะไรที่ทำให้คนจดจำได้ด้วย แล้วขึ้นเวทีก็มีศักยภาพพอที่จะถ่ายทอดออกมาได้ด้วย
ภาพสุดท้ายของการเริ่มใหม่
วิน: เพลงมันยาว MV ก็เลยต้องยาว (หัวเราะ) MV ก็อยากมันเสริมกันนะ ผมก็มีการนั่งคุยกับผู้กำกับว่ามันมีหลายประเด็น หลายจุดที่เขาเน้นได้อะไรแบบนี้ เรื่องความเก่า ความย้อนยุคของมัน เรื่องอารมณ์เศร้าปนสุขสำหรับอดีตที่ผ่านมา แล้วก็อาจจะอยากให้คนรู้ด้วยว่า Sqweez Animal ก่อนหน้า เนี่ยเดินทางมาเจออะไรบ้าง คือมีแฟนเพลงเก่า แฟนเพลงใหม่แล้วก็คนที่ไม่รู้จักเรา อยากให้คนทุกๆ กลุ่มมอง MV นี้แล้วได้ความรู้สึกถึงรสชาติของการเป็น Sqweez ในปัจจุบันนี้ แล้วก็รู้ถึงอดีตว่าเป็นมายังไงมาด้วย แล้วไปจบภาพสุดท้ายที่เหมือนกับตอนนี้กับการเป็นวงมากขึ้นแล้วนะไม่ใช่แค่สองคน ตอนนี้มีเพื่อนที่ผมเรียกว่า SQ Crew รายล้อมผมแล้วมีแขกรับเชิญคือพี่เมธี มันเป็นรอยยิ้มแล้ว ไม่ใช่ความเศร้า ถ้าได้ดู MV มันก็จะมีไอ้พวกจุดต่างๆ ที่พูดไปแฝงอยู่ มีกิมมิกของเก่าๆ จาก MV เพลงนั้น เพลงนี้ ทำให้แฟนเพลงเก่าๆ เห็นแล้วก็นึกถึงว่าอ๋อ แมวนี่มาจาก MV “คำบางคำ” นะ สัตว์สต๊าฟก็จะมาจาก MV “Secretive” นะ วินสิงห์เดินคู่กันก็คือ MV เพลง “เริ่มใหม่” อะไรแบบนี้ ก็จะพอระลึกถึงภาพเก่าๆ ที่มันผ่านไป มันก็ทำให้คนที่คิดถึงสิงห์ยังระลึกอยู่ มีการสอดแทรกภาพสิงห์กับปัจจุบันนี้ สับไปสับมาเหมือนเขายังเล่นอยู่ในวงด้วยเลย คือผมว่าเขาก็ทำออกมาได้ดี หลายๆ คนดูแล้วอาจจะมีน้ำตาคลอออกมาได้ ด้วยความซาบซึ้ง ความคิดถึงอะไรแบบนี้
Memory – Eternity
วิน : ก็…ผมเห็นผมก็คิดถึงเขาตลอดอยู่แล้ว ตอนแรกก็เป็นห่วงเหมือนกันว่าเอ๊ะ! จะดึงให้คนเขาดาวน์เขาเศร้าเกินไปหรือเปล่าแล้วใจนึงผมก็ไม่อยากจะไปดึงสิงห์เข้ามาเกี่ยวข้องกับปัจจุบันมากนัก แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะว่ามันก็ยังอยู่ในอัลบั้มที่ 3 ยังอยู่ภายใต้ชื่อ Sqweez Animal ซึ่งเขาก็ยังมีตัวตนเป็นสิ่งที่เราคิดถึงกันอยู่ ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไงก็ เอ่อ…(นิ่งสักพัก) ไม่ค่อยอยากจะเอาให้คนเศร้ามากแล้ว MV นี้ผมก็รู้สึกว่ามันก็เศร้า เพลงนี้ก็รู้สึกว่ามันก็มีความเศร้าของมันด้วยเหมือนกัน แต่มันก็เต็มไปด้วยพลังที่แบบตะโกน อัดอั้น หรืออะไรแบบนี้ซึ่งจริงๆ แล้วมันจะทำให้การทำเพลงของผมเนี่ยมันช้า เพราะผมก็ต้องมานั่งคิดว่าเอ๊ะ เราก็น่าจะให้เพลงนี้สนุกไปเลยกับการ Celebrate ความรักของคนสองคนที่มาถึงทุกวันนี้ หรือเราควรแบบว่าเอาให้มันเศร้าๆ นิดนึง กับสิ่งที่ผ่านมากับการสูญเสียแล้วปัจจุบันเราก็ Happy กับสิ่งที่เราอยู่ ซึ่งแฟนๆ ก็อาจจะซึมๆ ได้ เลยดักทางไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะมีอีกเวอร์ชั่นนึงที่ Happy ขึ้น ออกมาให้เข้าใจหน่อยว่าเออ ไม่เศร้ากูก็ทำเป็นนะ (หัวเราะ)
จุดมุ่งหมายของ Sqweez Animal
วิน : ผมก็ยังยึดหลักเดิมไม่ได้คิดใหญ่มาก ตั้งแต่มีสองคนก็ไมได้คิดใหญ่ คือเราก็ทำเพลงอย่างที่เราชอบจริงๆ แล้วปัจจุบันที่เป็นอยู่นี่เผลอๆ อาจจะเข้มข้นหนักกว่าเดิม เพราะว่าผมแคร์มากที่สุดก็คือในวงกลมวงเล็กนี้ ไม่ได้ออกไปไกลขนาดว่าคนฟังหรือตลาดเพลงที่จะต้องไปจับใจประชากรไทยทั้งหมด ผมก็แค่รู้สึกว่าเออเราทำเพลงตรงนี้มันสนุกกับบรรยากาศในการทำเพลง แล้วได้เพลงอย่างที่เราชอบ อย่างที่เราฟังแล้วภูมิใจกับมันจริงๆ ไม่ได้มานั่งคิดว่าโห ที่มันเป็นอย่างนี้ต้องมานั่งเอาใจตลาด เอาใจคนฟัง มันยังคงคอนเซ็ปต์อย่างนี้เอาไว้เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่ามองยังไง ผมคิดว่ามันเป็นเหมือนที่ๆ ผมใช้ปลดปล่อยตัวเองกับตัวตนจริงๆ ของผมออกมามากกว่า แล้วก็ในบางครั้งอาจจะมีเพลงอย่าง Wขอบคุณทุกช่วงเวลา” ที่ทำออกมาเพื่อให้กับคนฟังจริงๆ คือพอเวลามันผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นพื้นที่ที่สวยงามมาก ผมว่าถ้ามันหายไปจากชีวิต ผมคงจะเฉามาก เพราะปัจจุบันนี้ผมทำงานมีธุรกิจที่ต้องดูแลแล้วก็มันก็ไม่ได้สร้างความสุขเหมือนกับดนตรีที่สร้างให้ผมได้ ถ้าผมหยุดไปนี่ ชีวิตหายไปมากกว่าครึ่ง ก็เลยรู้สึกว่ามันขาดไม่ได้ จะทำให้คนฟังมากคนน้อยยังไงก็จะทำ แล้วก็จากมิตรภาพรอบๆ ที่มันเกิดขึ้นจากการสูญเสียนี่มันกลายเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก ที่ผมต้องดูแลต้องใส่ใจกับเขาให้มีความสุขมากที่สุดเพราะเขาชอบที่จะอยู่ตรงนี้เหมือนๆ กับผม ทุกคนเห็นค่าในพื้นที่นี้จริงๆ ให้มันด้วยใจไมได้มาหวังอะไรจากตรงนี้เลย มันเลยเป็นอะไรที่หาที่อื่นไม่ได้ เพราะว่าคนมาทำงานทุกวันเขาก็หวังเงินเดือน แต่ว่าตรงนี้คือมาเพื่ออยากจะทำมันเลยทรงคุณค่า แล้วถ้าได้ไปร่วมงาน Meet & Greet เล็กๆ ที่ได้จัดไป ในงานนั้นมีช่วงนึงที่เป็นเหมือน Preview เพลงในอัลบั้มที่จะเกิดขึ้นเป็นเดโม่ที่สิงห์ทำเอาไว้กับผมนี่ละ ประมาณเพลง 5-6 เพลง เพลงประมาณ 5 วินาทีที่เปิดให้คนฟังว่ามันเป็นประมาณไหน Roadmap ของผมก็คืออันนี้ล่ะ ตอนนี้ทุกๆ เพลงก็เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงโปรดักชั่นการผลิตอยู่ครับ
ฝากแฟนๆ
วิน : ผมขอมอบเพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” ไว้กับแฟนเพลงทุกๆ คนที่ติดตาม Sqweez Animal ตลอดมา ที่รอคอยอยากจะให้ผลงานออกมาสักทีในที่สุดก็ออกมาแล้ว ผมก็อยากจะมอบเพลงนี้ไว้ให้จริงๆ แทนคำขอบคุณสำหรับช่วงเวลาต่างๆ ที่คอยให้กำลังใจผม คอยติดตามผม ก็หวังว่าจะชอบกัน แล้วหลังจากนี้ก็ไม่ต้องห่วงแล้วเพราะจะมีผลงานต่อๆ ออกมาเรื่อยๆ ให้ได้ฟังกัน แล้วพบกันตามงานคอนเสิร์ต ขอบคุณครับ
ขอขอบคุณ : ติ๊ก / เพิร์ล SPICYDISC ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์