มือกีตาร์ร็อคตัวพ่อ อย่าง Slash กำลังจะมาเยือนไทยในวันที่ 10 มกราคมนี้ และทาง The Guitar Mag ก็โชคดีที่ได้รับเกียรติให้สัมภาษณ์เขาสั้นๆ ถึงเรื่องการทัวร์ และอัลบั้มใหม่ของเขา ดังนั้นก่อนที่เขาจะนำพาอัลบั้มใหม่มาทะลวงรูหูเราสดๆ ที่เมืองไทยเราไปอุ่นเครื่องกันสักนิดดีกว่า
Slash เป็นอีกครั้งที่คุณมาเยือนเมืองไทย ครั้งนี้มีความรู้สึกยังไงบ้าง มีแผนจะท่องเที่ยวเมืองไทยสักหน่อยไหม
Slash : ก็ดีใจที่กำลังจะได้มาที่นี่อีกครั้ง ล่าสุดก็ประมาณปีครึ่งแล้วมั้ง ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปแฮงค์เอาท์เหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่าต้องดูอีกที (หัวเราะ) แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือผมกำลังจะไปหาแฟนๆ ชาวไทย พร้อมกับนำวัตถุดิบใหม่ๆ เพลงใหม่ๆ มาให้พวกคุณชม แล้วก็อยากจะเห็นว่าพวกคุณจะมีความรู้สึกยังไง ซึ่งผมตื่นเต้นมากจริงๆ นะ
แน่นอนครั้งนี้ คุณน่าจะมาทัวร์พร้อมกับเพลงดังๆ มากมาย และที่พิเศษก็คือเพลงจากอัลบั้มใหม่อย่าง Living The Dream เราอยากรู้คอนเซปต์เรื่องราวในอัลบั้มนี้สักหน่อยว่าพูดถึงเรื่องอะไรเป็นหลักๆ
Slash : จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นคอนเซ็ปต์หลักๆ ขนาดนั้นนะ มันก็เป็นเรื่องราวแล้วแต่เพลงน่ะ บางเพลงถูกเขียนขึ้นช่วงปี 2015, 2016 บางเพลงก็พึ่งมาเขียนตอน 2018 มันก็แค่เพลงที่ผมคิดว่ามันดีและเจ๋ง ที่ผมเก็บสะสมมันเอาไว้
Myles Kenedy & The Conspirators เชื่อว่าแฟนๆ อาจจะรู้จัก Myles ดีอยู่แล้ว แต่กับสมาชิก The Conspirators ที่เหลืออยากให้คุณแนะนำสักหน่อยว่าไปชักชวนพวกเขามาเล่นได้ยังไง
Slash : คืองี้ ผมกับ Myles หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะร่วมทำงานด้วยกันแล้วออกทัวร์ เราก็ต้องรีบฟอร์มทีมนักดนตรีขึ้นมาให้เร็วที่สุด ดังนั้นผมก็ต้องออดิชั่นมือกลองมากมาย รวมถึงนึกถึงคนที่ผมรู้จักให้มากที่สุด เพราะมันมีงานจะต้องทำในภาค Session นี้ค่อนข้างเยอะ แล้วก็ต้องหามือกลองที่เหมาะสมจริงๆ ซึ่งผมก็พยายามหาอยู่ จนได้มือกลองที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยนะชื่อ Brent Fitz ผมลองเล่นกับเขา 2-3 ชั่วโมง แล้วก็รู้สึกว่าหมอนี่เป็นคนที่ใช่เลย คราวนี้ ตอนแรกผมมีมือเบส แต่ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ Brent เลยบอกผมว่าเขารู้จักอยู่คนนึงชื่อ Todd Kerns เล่นอยู่ในเวกัส ก็เลยติดต่อไปซึ่ง Todd ก็รีบตามมาสมทบกับพวกเราเลย ซึ่งเขาเล่นแล้วมันลงตัวกับพวกเรามาก นอกจากเล่นเบสได้ เขายังร้องเพลงได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย แล้วจริงๆ The Conspirators เนี่ยต้องมีมือกีตาร์อีกคนคือ Bobby Schneck ซึ่งเคยร่วมงานกับผมตอนทำ Slash’s Blues Ball ซึ่งเป็นวงคัฟเว่อร์เพลงบลูส์ที่ผมเคยทำช่วงๆ 90’s แต่ก็อาจจะไม่ได้เล่นด้วยกันนานไปหน่อย เขาก็เลยไม่ค่อยพร้อม เราก็เลยต้องออดิชั่นมือกีตาร์อีกคนคือ Frank Sidoris ส่วนตัวผมไม่รู้จักเขานะ แต่คนในวงรู้จักทุกคน เขาก็เลยกลายมาเป็นมือกีตาร์ Rhythm ที่เจ๋งมากให้กับวง คราวนี้สมาชิกครบ เป็นกลุ่มนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมมีความรู้เรื่องดนตรีจริงๆ รากฐานแน่นหนา แล้วก็ชอบที่จะเล่นสดด้วย จึงเป็นอะไรที่สนุกมากที่ได้เล่นด้วยกัน
อัลบั้มใหม่ของคุณอย่าง Living The Dream มี Riff กีตาร์ที่เด็ดขาดมากๆ หลายๆ เพลง Driving Rain, Sugar Cane เพลงที่ส่วนตัวเราชอบมากคือ Read Between The Lines อะไรคือเคล็ดลับ หรือไอเดียในการคิด Riff กีตาร์ในอัลบั้มชุดนี้ มันดูสดมากเลยในทุกๆ เพลง
Slash : ชมกันเกินไปแล้ว (หัวเราะ) พวก Riff ในเพลงเหล่านั้น ก็เป็นสิ่งที่ถูกเรียบเรียงขึ้นมา อาจจะมาจากสิ่งที่ได้ยินในหัว หรืออาจจะสะดุดตอนที่เล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย 2 ใน 3 เพลงที่คุณบอกมา มันเริ่มจากในห้องสักห้องที่โรงแรม หรืออาจจะบ้านผม หรืออาจจะที่ไหนก็แล้วแต่ คือมันไม่ได้มีเรื่องราว ประวัติศาสตร์อะไรมากมายนักหรอก ผมเองยังจำได้ไม่แม่นเลยว่าเขียนมันขึ้นมาเมื่อไหร่หรือตอนนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (ยิ้ม) แต่ยังไงก็ตาม เวลาที่ผมคิดริฟฟ์ๆ เฟี้ยวๆ ขึ้นมาได้ ผมจะมานั่งเล่นกับ Todd กับ Brent ก่อน เพื่อสร้าง Rhythm Part หรือกำหนดจังหวะต่างๆ จนพอมันได้ Groove ที่แน่นอนแล้ว เราถึงจะขยายความต่อไปเป็นเพลงทั้งเพลง
ถ้าถามความเห็นส่วนตัว คุณคิดว่าอัลบั้ม Living The Dream นี้มีอะไรที่แตกต่างจากอัลบั้มที่ผ่านมาของคุณบ้าง
Slash : ไม่รู้ดิ ผมไม่ได้อยากคิดอะไรมากขนาดนั้นนะ แต่ที่ชัดเจนแน่นอนมันเป็นการก้าวไปข้างหน้าตามแบบที่มันควรจะเป็น จาก World On Fire ตอนเราทำ World On Fire เราก็ค่อนข้างสดมาก ถ้าเปรียบเทียบจากอัลบั้ม Apocalyptic Love ทุกๆ ครั้งที่ทำอัลบั้มใหม่ ก็แค่ต้องมีสมาธิอยู่ ณ เวลานั้น แล้วก็ต้องคาดหวังว่าถ้าอยากพัฒนาให้มากขึ้นคุณต้องมีมุมมองดนตรีที่ต่างจากเดิม มีไอเดียใหม่ๆ หรืออะไรก็ตาม แล้วคุณก็ต้องเริ่มจากจุดนั้นแหละ ดังนั้นผมพูดได้เต็มปากว่ามันพัฒนาขึ้นจาก World On Fire แน่นอน ผมค่อนข้างชอบอัลบั้มนี้นะ มันมีทิศทางดนตรีที่พัฒนาขึ้นจากเดิม
ในการอัดเสียงกีตาร์อัลบั้มนี้นอกจาก Les Paul และ Marshall แล้ว มีซาวด์จากกีตาร์อื่นบ้างหรือเปล่า อย่าง Tele หรือ Strat
Slash : ผมไม่เคยห่างจาก Les Paul เลยนะ ในการอัดอัลบั้มนี้ ความแตกต่างมากๆ ถ้าเปรียบเทียบกับตอนทำ World On Fire ก็คือใน World Or Fire ผมใช้กีตาร์หลายแบบนอกจาก Les Paul และความแตกต่างอีกอย่างก็คือในอัลบั้มนี้ผมจะใช้พวกกีตาร์ Vintage ที่ผมมีแล้วก็ไม่ได้ใช้มานาน ผมใช้ Les Paul 57’ Gold Top กับ 59’ อัดทั้งอัลบั้มนี้ หลักๆ ผมจะใช้ Gold Top ก่อน แล้วบางเพลงค่อยใช้ 59’ แอมป์ที่ใช้เป็น Marshall Jubilee รุ่นใหม่ อัดทั้งอัลบั้ม ยกเว้นเพลง The Great Pretender ที่ผมใช้ Vintage Fender Deluxe Amp กับ Les Paul 59’ น่าจะเป็นแค่ครั้งเดียวที่ผมไม่ได้ใช้ Marshall
จากเด็กคนนึงที่ชอบเล่นเพลงของ Aerosmith สู่วันนี้ที่กลายเป็น Icon ของกีตาร์ ให้กับเด็กที่อยากเล่นกีตาร์ และมือกีตาร์มากมาย คุณมีความรู้สึกยังไงที่หลายๆ คน บอกคุณว่า “คุณทำให้ผมอยากเล่นกีตาร์” มีมือกีตาร์ในประเทศไทยหลายคนเริ่มฝึกกีตาร์จริงจังเพราะคุณ รวมถึงเล่น Gibson เพราะคุณเลยนะ
Slash : มันเป็นคำชมที่น่าตื้นตันใจมากๆ จริงๆ นะ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่บอกผมแบบนี้มันรู้สึกดีเสมอ รู้ไหมเวลาที่ใครก็ตามมาพูดกับผมด้วยความรู้สึกแบบจริงใจ มันทำให้ผมนึกย้อนไปในวันที่ผมเริ่มเล่นกีตาร์เหมือนกัน ผมฟังมือกีตาร์มากมาย จากนั้นผมก็ได้มีโอกาสอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับมือกีตาร์เหล่านั้น มีอยู่ 2-3 คนที่ผมเคยพูดแบบนี้กับพวกเขาเหมือนกัน ซึ่งมันมาจากใจจริงของผม ดังนั้นเวลาที่มีใครมาพูดกับแบบนี้ มันทำให้ผมรู้จุดยืนของตัวเอง เพราะผมเข้าใจว่าว่าคนที่บอกกับผมเขารู้จักผมจากอะไร ซึ่งคำชื่นชมมากมาย คุณคงทำจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าบอกว่า “ขอบคุณมากครับ” (หัวเราะ) สิ่งเหล่านี้มีความหมายมากนะเวลาใครกล่าวชมคุณแบบนี้ และผมก็ขอรับมันไว้
แล้วเราจะได้เจอกับคุณที่ประเทศไทยแน่ๆ อยากให้ฝากอะไรถึงแฟนชาวไทยที่เป็นแฟนเพลงของคุณ ที่จะได้ดูโชว์ของคุณสักหน่อยครับ
Slash : ผมกำลังจะไปเมืองไทย แล้วเจอกันเร็วๆ นี้แน่นอน
ขอขอบคุณ : คุณเอก BEC-Tero Music ที่ประสานงานในการสัมภาษณ์ครับ