Story
การใช้งานอะคูสติกกีตาร์ในการออกงานต่างๆ จะว่าไปบางครั้งมันก็มีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด เพราะอันที่จริงความไพเราะของอะคูสติกนั้นเกิดจากตัวกีตาร์เป็นหลักใหญ่ๆ อยู่แล้ว คราวนี้ความคาดหวังของคนที่มาในงานที่เป็นงานเล่นแบบอะคูสติก ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถึงขนาดต้องการซาวด์ไพเราะระดับเทพขนาดนั้น บางครั้งเราก็อาจจะทำตัวเป็นประเภท “เสียงดังตังค์มา” ก็ทำได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เวลาที่เราเล่นอะคูสติกแล้วเสียงที่ได้มันไม่ค่อยดี อารมณ์มันก็ไม่ได้ ผลกระทบก็คือเล่นออกมาไม่ดีนั่นเอง
About
LR Baggs ชื่อนี้เป็นโปรดักท์ของแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับงานอะคูสติกกีตาร์ โดยตรง และค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงในทางที่เป็นบวกด้วย โดยเฉพาะภาค Pre Amp และ Pickup ต่างๆ ของกีตาร์อะคูสติก ที่มีส่วนช่วยในการรังสรรค์เสียงดีๆ ให้กับกีตาร์อะคูสติกมาอย่างเนิ่นนาน มาในคราวนี้พวกเขามีสิ่งใหม่ๆ มานำเสนอให้กับชาวกีตาร์อะคูสติกได้ลองเล่นกัน นั่นคือ LR Baggs Align Series นั่นเอง
Spec
LR Baggs เราจะเรียกว่าเป็น Pedal ของกีตาร์โปร่งของ LR Baggs ก็ว่าได้ มีอยู่ 4 ตัวที่จะขอพูดรวมๆ กันเลยก็คือ
- Active D.I. ซึ่งจะประกอบด้วย ปุ่มกด Mute ปุ่ม Phase ปุ่มเลือก Thru- Out, Lift-Gnd, Pad 0-10-20 มี 1 Input 1 Output ด้านหลังมีที่เสียบ XLR Cable ใช้ Power Supply 9V DC ถ่าน 9V และ Phantom 48V
- Reverb ที่มี Volume, Tone, Reverb, Decayมีปุ่มเปิด ปิด และ 1 Input 1 Output ใช้ Power Supply 9V DC และถ่าน 9V
- Equalizer ที่มีปุ่มปรับ Volume กับ Notch มีปุ่มปรับย่าน EQ 85-350-700-1.6K-4.8K-10K ปุ่มปรับ HDF เลือกได้ตั้ง 40-80-120 ปุ่ม Phase ปุ่มปรับ Gain -6-0-+6 และปุ่มกดเปิด ปิด 1 ปุ่ม ปิด และ 1 Input 1 Output ใช้ Power Supply 9V DC และถ่าน 9V
- Session ประกอบด้วยปุ่มปรับ 4 ปรับ Volume, Gain, Sarutate, Comp EQ1 Input 1 Output ใช้ Power Supply 9V DC และถ่าน 9V
Outside
เจ้า 4 ตัวนี้ภายนอกดูค่อนข้างหรูหราทีเดียวเป็นสีแบบลายไม้ ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป น้ำหนักไม่มาก ทุกอย่างกำลังพอดี ลาดเอียงเหมาะแก่การเหยียบยิ่งนัก
Work
การทำงานของเจ้า 4 ตัวนี้ไม่ซับซ้อน คือทุกอย่างก็ตามหน้าที่ของมัน ตัว Active D.I. ก็ใช้หน้าที่เป็น D.I. Box เจ้า Reverb ก็ทำตามหน้าที่ของมันเป็นเสียง Reverb เพราะๆ ตัว Equalizer มีย่านให้ปรับเพียบเลยทีเดียว ส่วน Session ทำหน้าที่เหมือน EQ รวมๆ คือจะบอกว่าหน้าที่ของเจ้า 4 ตัวนี้ไม่ซับซ้อนเท่าไร สิ่งสำคัญมันอยู่ที่วิธีการใช้ และการใช้ลองอ่านในลำดับถัดไปได้เลย
Outstanding
จุดเด่นที่สุดก็คือ การดึงศักยภาพของกีตาร์อะคูสติกเมื่อผ่านเจ้าพวกนี้ทั้ง 4 ตัวออกมาเต็มศักยภาพมากที่สุด ซึ่งเจ้า 4 ตัวนี้ทำได้ ดีสุดๆ ตามหน้าที่ และยกระดับเสียงออกมาได้อย่างเด่นชัด D.I. สามารถให้สัญญาณที่ดีในยามที่ต้องใช้ Reverb ต้องเรียกว่าอาจจะเป็นพระเอกของ Series นี้เลยเสียงออกมาสามารถรักษาความเป็นธรรมชาติของตัวอะคูสติกกีตาร์และบาลานซ์กับเสียง Reverb ได้ดีสุดๆ ตัว Equalizer ปรับย่านเสียงได้อย่างหลากหลาย ส่วน Session ก็เป็น เหมือน Compressor ที่สามารถรักษาไดนามิกของความเป็นอะคูสติกกีตารืได้อย่างดี และทำให่เสียงชัดเจนขึ้นอีกด้วย
Matching-Require
นี่คือจุดสำคัญคือการจับคู่ ต้องบอกว่าเราไม่จำเป็นจะต้องมีทั้ง 4 ตัวนี้ก็ได้มันอยู่ที่ลักษณะกีตาร์อะคูสติกและ “ความต้องการของเสียงในภาคไฟฟ้า” ที่คุณต้องการจะใช้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีกีตาร์ที่มีภาค Pre Amp ในตัวที่เพียงพอแล้ว และเล่นผ่านตู้ดีๆ ที่ต้องการก็อาจจะแค่ ตัว Session หรือ Reverb 2 ตัวหรือตัวใดตัวหนึ่งก็เพียงพอ แต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณชอบเสียงกีตาร์แบบใช้ Pickup ซึ่งไม่มี EQ ที่ปรับละเอียด ก็อาจจะต้องการตัว Equalizer มาช่วยเรื่องย่านเสียง หรือโอเค ถ้าคิดว่ามากเกินไปก็อาจจะมีตัว Session เอาไว้ Compress หรือ Reverb ไว้เป็นน้ำจิ้ม หรือสุดท้ายถ้าอยากให้จบทีเดียวก็มีทั้ง 4 ตัวไปเลย
Lost
ปัญหาก็คือราคาต่อหนึ่งตัวค่อนข้างสูงทีเดียว พวกนี้ไม่ได้ขายเป็นชุด ขายแยกเป็นตัว ต้องยอมรับว่าแม้ว่าทั้ง 4 ตัวจะคุณภาพสูงมาก แต่ก็ดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับคนที่ชอบเล่นอะคูสติกแบบที่ใช้ Pickup มากกว่าคนที่ใช้ Pre Amp บนตัวกีตาร์ ถ้าคุณชอบเสียงอะคูสติกที่สมบูรณ์แบบ และทรัพย์ถึง ชุด Align Series แทบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
Level To Use : ใช้ไม่ยากมากนัก คุณภาพยอดเยี่ยม
Made For : คนจริงจังด้านอะคูสติก
Quality : **** ดีเยี่ยมครบถ้วน แต่ราคาต้องวัดใจหน่อย
Price : ทุกตัว 8,000 ยกเว้น D.I. 7500 เป็นราคาตั้งลดหลั่นได้
Contact : ธีระมิวสิค 02-424-8988, 02-424-9959