Story
กีตาร์โปร่งแบรนด์ ญี่ปุ่น ที่อยู่กับเรามาช้านานก็คือ Takamine เราได้เห็นศิลปินในบ้านเรามากมายที่ หิ้วกีตาร์แบรนด์นี้เล่นคอนเสิร์ตตามงานต่างๆ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าแบรนด์นี้มีคุณภาพจริงๆ ปัญหาก็คือว่า ถ้าศิลปินใช้ สิ่งที่ตามมาก็ราคาที่อาจจะค่อนข้างสูง แต่ในเมื่อแบรนด์นี้มีคุณภาพขนาดนี้เราจะทำยังไงให้ ได้มาครอบครองล่ะ มันจะต้องเก็บเงินสักเท่าไร ถึงจะได้มาเล่น นี่เป็นปัญหาโลกแตกอยู่เหมือนกัน
About
คำถามถัดจากข้างบนก็คือ Takamine มีรุ่นถูกๆ ไหม คำตอบก็คือมี ตอนนี้ Takamine มีรุ่นล่าสุดที่ราคาพอจะจับต้องได้อาจจะไม่ได้ถูกมากแต่ก็สามารถเก็บเงินซื้อได้ไม่ลำบากมากนัก นั่นก็คือ Takamine รุ่น D2N นั่นเอง ซึ่งรุ่นนี้จะดีขนาดไหน คุ้มค่า คุ้มราคาหรือเปล่า เราจะนำมาให้ท่านได้ชมกัน ณ บัดนื้
Spec
Takamine D2N สเปกคือทรงเป็น Shape แบบ NEX ไม้ Top เป็น Spruce ข้างกับด้านหลังเป็น Mahogany ฟิงเกอร์บอร์ดเป็น Laurel ตัว Bridge เป็นแบบ Pin-Bridge
Outside
Takamine ซีรี่ส์นี้ถ้ามองจากภายนอกจะเป็นทรงแบบ NEX นั่นก็คือ เป็นทรง Jumbo ที่ย่อส่วนลงมา ที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือซีรี่ส์นี้เป็น Gloss Finish ทำให้ดูเงาๆ ลื่นมากขึ้นในการจับ ตังงานการ Binding ดูเรียบร้อยดี
Work
เราลองดีดเจ้าตัวนี้ ทั้งแบบตีคอร์ด Picking แล้วก็ลองเล่นเป็นเมโลดี้ ทั้งเฟร็ตต้นๆ และเฟร็ตลึกๆ ต้องบอกว่า มันค่อนข้างตอบสนองได้ดีแทบทุกอย่าง ดีดคอร์ดเสียงดัง เล่น Picking แล้วย่าน Low ไม่เยอะมากเกินไป และ Mid ก็กำลังดี บาลานซ์ใช้ได้ เล่นพวกเมโลดี้ก็เสียงโผล่เหมือนกัน คอไม่ใหญ่มากสัมผัสดี กดง่ายไม่ต้องใช้แรงมากเกินไป รูปแบบการใช้ค่อนข้างหลากหลายทีเดียว
Outstanding
จุดเด่นแน่นอนราคาไม่แพงมากเกินไป อยู่ในขอบเขตที่พอจะซื้อกันได้ไม่ยาก อย่างที่ 2 มีหลายสีให้เลือก ดำ แดง น้ำเงิน แล้วก็สีแบบ Sunburst จุดเด่นถัดมาก็คือเราจะได้ลองสัมผัส Laurel Fingerboard แล้วมันคืออะไร ต้องเท้าความแบบคร่าวๆ ก่อน ตอนนี้โลกเรามีเรื่องสนธิสัญญา Ceites ซึ่งหลักๆ ที่มีผลกระทบต่อวงการกีตาร์ก็คือห้ามใช้ไม้ Rosewood ดังนั้น Laurel คือไม้ที่ใช้แทน Rosewood นั่นเอง (ตอนนี้หลายๆ แบรนด์ก็ ค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนนะ ลองสังเกตดีๆ) เราจะได้ทำความคุ้นเคยกับสัมผัสของมันก่อน และแน่นอนเรื่องเสียงมันค่อนข้างบาลานซ์ได้ดีทีเดียว เล่นได้หลายแบบทีเดียว
Matching-Require
ด้วยความที่มันเป็นทรง NEX ฟิลจะคล้ายๆ กับ Jumbo กับ Dreadnought ผสมๆ กัน ทำให้มีย่าน Mid Low เวลาเล่นไปด้วยร้องไปด้วยเสียงจะไม่ไปทับเสียงร้องมากนัก แล้วได้โทนเบสเวลา Picking ด้วย จึงเหมาะกับคนกีตาร์สายโฟลค์ ด้วยประการทั้งปวง
Lost
ข้อด้อยเล็กน้อยคือไม่มีภาคไฟฟ้า ในกรณีที่ต้องการไปออกงาน ก็ต้องจัดภาค Pickup มาเสริม นั่นก็หมายความว่าเสียเงินเพิ่มนั่นเอง ต้องมีอุปกรณ์เสริมมากขึ้น ถัดมาก็เรื่องของรสนิยมเช่น บางคนไม่ชอบ Gloss Finish เงาๆ ชอบแบบด้านๆ มากกว่า หรืออาจจะไม่ชอบทรง NEX ก็อาจจะไม่สนใจ แต่เรื่องราคาน่ะมันยั่วใจมากนะขอบอก คุณภาพคุ้มราคาแน่ๆ
Level To Use : ก็ถ้าดีดกีตาร์เป็นก็เล่นตัวนี้ได้ทุกคน
Made For : คนที่อยากได้กีตาร์โปร่งดีๆ ไว้ใช้
Quality : **** คุณภาพดีมากเทียบราคาแล้วโอเคเลย
Price : ราคาตั้ง 7 พันกว่า แต่ตอนนี้ 6,990 ราคาประมาณนี้ แต่รีบนะอาจจะหมดเร็ว
Contact : นครหลวงการดนตรี เซ็นทรัลเวิลด์ 02-255- 9568