กีตาร์ไม่ว่าโปร่งหรือไฟฟ้า คือเครื่องดนตรีที่ถูกออกแบบมาให้เล่นด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เบสิกง่ายๆ เลยโดยทั่วไปคนส่วนใหญ่จะถนัดขวา ดังนั้น มือขวาจะทำหน้าที่ในการ “เล่น” และมือซ้ายจะทำหน้าที่ในการ “จับ” ตัวโน้ตหรือกลุ่มโน้ตเพื่อสร้างรูปคอร์ดขึ้นมา นั่นคือวิธีเบื้องต้นในการเล่นกีตาร์คราวนี้ เมื่อเวลาผ่านไป สมองอันกว้างไกลของมนุษย์ได้คิดวิธีการเล่นเพื่อให้เสียงที่ได้ออกมาน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การดีดโน้ตอย่างเดียวอีกต่อไป คนในยุคก่อนๆ ได้คิดค้นเทคนิคการเล่นกีตาร์โดยต้องการที่จะเลียนแบบเสียงต่างๆ ที่อยู่รอบตัว จนเกิดมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าเทคนิคกีตาร์ มาให้พวกเราในยุคปัจจุบันได้ปวดหัวเล่นๆ และทำให้เราได้รู้ว่ากีตาร์เป็นเครื่องดนตรีพิเศษ เมื่อกีตาร์แบบเลียนเสียงเครื่องดนตรีชนิดไหน มันจะสามารถสร้างออกมาและกลายเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวได้ หรือบางครั้งอุบัติเหตุเล็กๆ น้อย ก็สามารถสร้างอะไรๆ ที่มันเป็นนิรันดร์กาล ได้เสมอ และนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเลือกเล่นกีตาร์ เพราะมันท้าทาย ที่จะได้เล่นเทคนิคเหล่านี้ ทำเสียงเหล่านี้ ซึ่งเทคนิคยากๆ ที่ว่ามามักจะเกิดจากการใช้มือข้างที่เล่น ทำอะไรที่มากกว่าการ “ดีด” เราจะลองรวบรวม 20 เทคนิคที่ทำให้คุณยุ่งยากในการเล่นกีตาร์จนถึงทุกวันนี้ นี่คือ 20 เทคนิคที่ต้องอาศัยมือข้างที่เล่นอย่างหนักหน่วง
Pinch Harmonic
การกัดปิ๊ค เทคนิคอมตะที่เกิดจากอุบัติเหตุ และทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเล่นกีตาร์ในสไตล์ Rock และ Metal จนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือการดีดโน้ตแล้วเนื้อของมือด้านที่ดีด ดันไปโดนสายทำให้เกิดเสียง Harmonic ออกมา แล้วจากวันนั้นเป็นต้นมามือกีตาร์ที่เล่นเพลงร็อค ไม่ว่าจะมาจากอูกานด้าหรืออเมริกา ถ้าขึ้นชื่อว่ามือกีตาร์ Rock ต้องเล่นเทคนิคนี้ทุกคน
- ส่วนคนที่เล่นเทคนิคนี้คนแรกยังไม่แน่ชัดแต่เท่าที่มีบันทึกไว้ ในสื่อก็คือ Roy Buchanan มือกีตาร์บลูส์รุ่นเก๋า ในช่วง 60’s แต่บางแหล่งก็บอกว่าต้องย้อนไปถึง Robert Johnson คุณทวดของเพลง Blues นู่นเลย
Slap-Pop
นี่คือเทคนิคยอดนิยมของคนเล่นเบส การใช้นิ้วโป้งตบลงไปบนแถวๆ คอ พร้อมควบคุมจังหวะการเด้งของโน้ตด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นเพิ่มความเท่เข้าไปด้วยการ Pop หรือการเกี่ยวสาย ซึ่งนี่คือเทคนิคที่ต้องอาศัยการฝึกจากมือข้างที่เล่นค่อนข้างเยอะ หลังๆ มาก็มีมือกีตาร์เล่นเทคนิค Slap-Pop บนกีตาร์เยอะมากขึ้น
- เราคงต้องขอบคุณ Larry Graham สำหรับเทคนิคนี้ ด้วยการที่เขาต้องการเลียนแบบเสียงกลอง โดยใช้เบส และนั่นก็คือจุดตั้งต้นของเหล่าเซียนเบสทั้งหลาย นั่นเอง
Sweep Picking
อันนี้ขอเรียกว่าเป็น “การจัดระเบียบการดีดก็แล้วกัน” เทคนิคอีกเทคนึงที่พวกเหล่าเซียนนิยมกัน และมีหลายคนเรียกมันว่าเล่น “Arpeggio” (มีจริงๆนะ) ซึ่งไม่ใช่นะ การดีดกวาดหรือ Sweep Picking คือการดีดโน้ตให้ไปในทิศทางเดียวกัน เช่นดีดลงอย่างเดียว ดีดขึ้นอย่างเดียว ซึ่งมักจะใช้เล่นบ่อยๆ กับ “Arpeggio” ไม่ใช่การเล่น “Arpeggio” ต้องใช้คำว่า “เป็นเทคนิคที่นิยมใช้เล่นกับ Arpeggio” ด้วยเหตุผลเรื่องทางนิ้ว ปัจจุบันเทคนิคนี้ ถูกนำมาปรับปรุงให้เป็น Economy Picking คือการดีดในทิศทางเดียวแต่ผสมกับการดีดขึ้นลงด้วย ซึ่งตรงนี้อยู่ที่แต่ละคนคิดค้นสูตรขึ้นมา
- แน่นอนมันก็ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นมา Sweep Picking มีมานานมากแล้ว โดยเฉพาะมือกีตาร์สาย Jazz แต่ถ้าจะให้ชัดๆ ปู่ Chet Atkins สุดยอดมือกีตาร์ Finger Style เคยเล่นเอาไว้ในรายการทีวีรายการหนึ่ง หาดูได้ไม่ยาก ลองหาดู
Tapping
จิ้มสาย แน่นอนเทคนิคของเซียนที่คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เป็นอีกเทคนิคยอดฮิตของมือกีตาร์สาย Rock มันถูกใช้เพื่อต่อขยายโน้ตที่นิ้วเราไม่สามารถยืดไปถึง ให้ได้เสียงที่สูงขึ้น ขอบคุณ Van Halen ที่เอาเทคนิคนี้ไปตะโกนใส่หน้ามือกีตาร์ทุกคนบนโลกนี้ด้วยเพลงของเค้า นอกจากให้เสียงที่สูงขึ้นเทคนิคนี้ยังสามารถสร้างเป็นเสียงเอฟเฟ็กต์ เหมือน Delay เทียมๆ ได้ อย่างการจิ้มซ้ำโน้ตกันก็จะสร้างเสียงโน้ตซ้ำๆ ที่น่าสนใจได้
- นอกจาก Van Halen แล้ว ยังมีมือกีตาร์ที่เล่นเทคนิคนี้ก่อนเขาหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Steve Hackett แห่ง Genesis, Larry Carlton หรือแม้กระทั่ง Brian May แห่ง Queen
Multiple Tapping
หนึ่งในโคตรเทคนิค Tapping นั่นก็คือการใช้นิ้วที่เหลือทั้งหมดเล่นเมโลดี้เหมือนไล่สเกลไปด้วยนอกจากการดีด ซึ่งมันก็เหมือนการที่เราต้องใช้อีกมือนึงจับโน้ต จับคอร์ด ก็เหมือนฝึกเล่นกีตาร์ใหม่เลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเช่นกัน
- เทคนิคนี้ยิ่งเก่าแก่กว่า Tapping ปกติ เพราะมันถูกใช้ในดนตรีแบบพวกสไตล์ละตินมานาน หรือแม้กระทั่งเล่นกับพวก Chapman Stick ตั้งแต่ต้นยุค 70’s ด้วยซ้ำ
Sliding Tapping
เทคนิคเพิ่มสไลด์เข้าไปในการ Tapping เพื่อสร้างเสียงกระชากอันเฟี้ยวฟ้าวมะพร้าวแก้ว มันเป็นเทคนิคที่เล่นโดยการจิ้มโน้ตที่ Tap แล้วลากสไลด์ให้เกิดเสียงแบบกระชากๆ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้เป็นเทคนิคที่เป็นที่นิยมจากพวกมือกีตาร์หลังจาก Eddie Van Halen เป็นส่วนใหญ่
- หนึ่งในเพลงที่ใช้เทคนิคนี้ที่คนไทยรู้จักดีก็คือ Green Tinted Sixties Mind ของ Big โดยฝีมือของ ป๋า พอล กินระเบิดนั่นเอง
Artificial Harmonic
การสร้างเสียง Harmonic เทียม เป็นเทคนิคที่ค่อนข้างยากสักหน่อย มันถูกพัฒนาขึ้นมาโดยพวกมือกีตาร์สาย Classis ด้วยซ้ำ วิธีการก็คือสมมติเราจับโน้ต C ที่เฟร็ต 3 สาย 5 เราจะวางนิ้วชี้ (หรืออาจจะนิ้วกลางแล้วแต่ถนัด) บนเฟร็ตที่นับจากโน้ตที่เรากดไป 12 เฟร็ต แล้วดีดโน้ตนั้นด้วยนิ้วโป้ง หรืออาจนิ้วนาง จะได้เสียง โน้ตที่เป็น Harmonic ของ C นอกจากนี้ถ้าเราเล่นแบบเดิม โดยดีดตรงที่เป็นตำแหน่งโน้ต Triad ของ C (C E G) ก็สามารถทำได้เช่นกัน (เราสามารถหาโน้ตอื่นๆ ได้อีก แต่ยังไม่ขอลงรายละเอียด)
- เทคนิคนี้ในกีตาร์ไฟฟ้า ที่ผสมเอฟเฟ็กต์เราอาจจะใช้ปิ๊คเพิ่อดีด โดยใช้นิ้วโป้ง นิ้วนางจับปิ๊ค หรือไม่ก็เคาะเบาๆ ลงไปเหนือเฟร็ตก็ได้ ก็จะได้เสียง Harmonic เช่นกัน
Harp Harmonic
ขยายความจากข้อ 7 เทคนิคนี้จะเล่น Artificial Harmonic เป็นรูปคอร์ด แต่จะผสมกับเสียงโน้ตปกติด้วย ผสมการเล่น Picking เข้าไป ซึ่งเทคนิคนี้จะสร้างเสียง Harmonic ในแบบเสียงคอร์ด เสียงจะใสๆ เหมือนเล่นพวกเสียง Piano หรือเสียง Harp ตามชื่อเทคนิคเลย (แต่เล่นยากอาจจะต้องฝึกฝนหน่อย)
- เทคนิคไม่ใช่เทคนิคที่เหมาะกับเสียงแตกด้วยประการทั้งปวง ดังนั้น อย่าใช้ดีกว่า แต่ถ้าชอบก็แล้วแต่จะลองก็ได้ แต่มันไม่น่าจะดีสักเท่าไร
Chicken Picking
เทคนิคเฉพาะแนวของมือกีตาร์ Country เป็นการเล่นกีตาร์โดยดีดโน้ตผสมกับนิ้ว แต่การดีดด้วยนิ้วจะผสมเทคนิคการ Pop แบบที่เบสเล่น คือจะทำให้เสียงสั้น กระแทกๆ และเป็นเสียงแบบไก่ฝรั่งร้อง (กะต๊ากๆ ไม่ใช่เอกอิเอ๊กเอ๊กนะ) อะไรประมาณนั้น
- และนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมต้องเป็น Telecaster ถึงจะเข้ากับ Country เพราะการเล่นเทคนิคนี้ใน Country เสียง Pop จะค่อนข้างแหลมๆ พุ่งๆ ผสมกับสไตล์ของกีตาร์ Tele จะเข้ากันมาก
Banjo Roll
ก็ต่อยอดมาจากเทคนิค Chicken Picking เทคนิค Banjo Roll จริงๆ ก็คือการจัดระเบียบการ Picking เพียงแต่เวลา Picking เราจะต้องให้เสียง ของคอร์ด ของโน้ตค้างไว้ และได้กลิ่นแบบ Chicken Picking ด้วย ฟังดูเหมือนซับซ้อน แต่ไม่ยาก ทำความคุ้นเคยสักนิดก็น่าจะได้
- จริงๆ เทคนิคนี้ก็ตามชื่อเลยมันเป็นการเล่นแบบ Banjo แต่ใช้กีตาร์เล่น คือเล่นให้ได้เสียงแบบ Banjo มากที่สุด
Thumb
แปลไม่ยาก ใช้นิ้วโป้งดีดนี่แหละ แต่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ดีดได้ง่าย จะฝึกให้คล่องๆ มันยากอยู่นะ ลองดีดพวกสายเล็กๆ มีโอกาสพลาดสูงอยู่ ซึ่งเทคนิคนี้ต้องขอบคุณ Wes Montgomery ไม่สิต้องเมียเขามากกว่า เพราะเมียบอกเขาเล่นเสียงดังเลยใช้นิ้วโป้งเล่น ปรากฏว่าได้ไดนามิกของการเล่นกีตาร์ที่เยี่ยมและได้เสียงโน้ตที่นุ่มนวลอีกด้วย เหมาะกับการดีดที่ต้องใช้ไดนามิกมากๆ
- มือกีตาร์อย่าง Jeff Beck หรือ Richie Kotzen ก็ใช้นิ้วโป้งในการเล่นเมโลดี้ ซึ่งมันสามารถช่วยในเรื่องไดนามิกได้จริงๆ และบางครั้งมันจะให้เสียง Harmonic Overtone ที่น่าสนใจด้วย
Boom Chick
อันนี้เป็นการเล่นของพวกสาย Finger Style แบบ Country โดยการเล่นสายเบสสลับกันเหมือนเปียโน เวลาเล่นโน้ตเบสคอร์ดสลับกัน เป็น 1-3-5-3 หรืออาจจะเป็น แพทเทิร์น อื่น ซึ่งในเปียโนจะง่ายกว่ากีตาร์ เพราะกีตาร์ต้องเล่นข้ามสาย โดยใช้นิ้วโป้งดีดสลับสาย พร้อมกับเล่นคอร์ดไปด้วย เป็นเทคนิคที่อยากใช้ได้ทีเดียว
- Tommy Emmanuel เป็นคนที่เล่นเทคนิคนี้อย่างเซียนและฉมังมาก ลองทำความรู้จักลุงเขาดูนะ
Tremolo
เป็นเทคนิคเบสิกของกีตาร์คลาสสิคคือการดีดสายเดียวรัวๆ ถ้าเป็นการใช้กีตาร์ไฟฟ้าและใช้ปิ๊คจะเป็นเรียกว่า Tremolo Picking เป็นการดีดขึ้นลง เร็วๆ แต่ถ้าเป็นการเล่นกีตาร์คลาสสิค การดีดรัวๆ สายดียว บางครั้งใช้ถึง 3 นิ้ว ซึ่งมีแพทเทิร์นตรงนี้ให้ฝึกมากมาย
- เพลงที่เป็นแบบฝึกหัดเทคนิคนี้ที่โด่งดังมีหลายเพลงเช่น Recuerdos de la Alhambra หรืออย่าง Asturias ที่ชาว Rock อาจจะชอบได้ไม่ยาก
Right Hand Mute
เทคนิคที่ง่ายที่สุดก็คือการเอามือขวามา Mute สายไว้ซะเลย โดยให้มือข้างที่เล่นโน้ต เล่นเป็น Arpeggio หรือไม่ก็เป็น Scale ไหลๆ ไปซึ่งเป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ทำให้เสียงกีตาร์โดยเฉพาะเมื่อเล่นกับ Drive เยอะๆ ออกมาเคลียร์ จริงๆ มันควรเป็นเทคนิคเพื่อโชว์ออฟ ธรรมดา แต่ก็มีมือกีตาร์บางคนสร้างมันออกมาเป็นดนตรีได้
- และคนๆ นั้นก็คือ Joe Satriani ในเพลง Mystical Potato Head Groove Thing เขาเอื้อมมือชวาไป Mute สายและมือซ้ายเล่น Arpeggio ของคอร์ดที่เป็น Tension ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี หรืออย่าง Cool#9 ที่อุดสายและเล่น Wah Wah แบบ ฟรีสไตล์ นั่นคือการใช้การอุดสายให้เห้นผลมากที่สุด
Right Hand Capo
เทคนิคนี้เป็นการใช้มือขวาคร่อมมือจับเป็นรูปคอร์ด แล้วใช้มือซ้าย จับเป็น Octave บางทีเป็นรูปคอร์ด หรือแม้แต่โน้ตตัวเดียว แล้วมืออีกข้าง Hammer On Pull Off สลับไปมา ซึ่งเวลาเล่น Hammer On, Pull Off สลับกับโน้ตที่กดไว้ จะได้ซาวด์ที่น่าสนใจมากๆ
- ในบ้านเราเทคนิคที่ถูกใช้ไม่บ่อยนักแต่ในเพลงเหนื่อยไหมหัวใจ ของ Retrospect เราจะได้เห็นน๊อตใช้เทคนิคนี้ในท่อน Run ท่อนสุดท้ายด้วย ซึ่งเป็นไอเดียที่เจ๋งมากทีเดียว
Percussive On Body
อีกหนึ่งเทคนิคที่เป็นไอเดียที่น่าสนใจก็คือการตี หรอตบลงบอดี้กีตาร์โปร่ง ทุกส่วนของกีตาร์โปร่ง มันทำมาจากไม้และให้โทนเสียงที่ต่างกัน ในแต่ละตำแหน่ง เทคนิคนี้ต้องมีพื้นฐาน การตีกลองประมาณนึง
- นอกจากเรื่องโทนเสียงแล้วการจ่อไมค์ก็มีผล เพราะโทนเสียงแต่ละตำแหน่งในกีตาร์ก็ต่างกันออกไป
Scratch Body
นี่ก็เป็นอีกวิธีที่ขยายมาจากการตบลงบนบอดี้กีตาร์ มือกีตาร์บางคนจะใช้นิ้วเหมือนข่วน บนบอดี้กีตาร์โปร่ง ทำให้เสียงทีได้เหมือนเวลาเราใช้ แส้ ตีบนสแนร์กลอง เป็นอีกเทคนิคที่ นิยมทำกันในสายฟิงเกอร์สไตล์
- สิ่งที่เสริมเทคนิคนี้ได้ก็คือพวกเอฟเฟ็กต์ เช่น Delay, Reverb นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม กีตาร์โปร่งจึงต้องมีเอฟเฟ็กต์ นั่นเอง
Volume-Tone Technic
เทคนิคสุดโบราณ ในการเลียนแบบเสียงไวโอลิน โดยการเล่นแล้วใช้นิ้วก้อยเกี่ยว เปิด ปิด Volume บนตัวกีตาร์ เมื่อผสม Delay ก็จะได้เสียงแบบไวโอลิน ซึ่งเราจะเห็นคนที่เล่นเทคนิคนี้แบบสุดๆ ก็คือ Yngwie Malmsteen นั่นเอง
- แล้วมีคำถามว่าแล้วถ้าหมุน Tone ล่ะจะได้เสียงแบบไหน เสียงที่ได้จะเหมือนการใช้ Wah Wah ใครที่กีตาร์มี Tone ลองหมุนดูได้นะ
Weird Harmonic
การสร้าง Artificial Harmonic ยังมีแบบสุดโต่งอีกมากมาย อยู่ที่ใครจะเลือกใช้หรือคิดค้นแบบไหน เช่น ลองเอามือขวากดโน้ต G สาย 3 เฟร็ต 12 แล้วเล่น Hammer On, Pull Off ในสายเดียวกันแต่เฟร็ตต่ำลงไป ลองดูเสียงที่ได้ อาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ
- อีกอันที่เล่นกันเยอะก็คือ Hammer On, Pull Off อยู่กับที่แล้วเลื่อนนิ้วมือข้างที่เล่น อย่างเช่นนิ้วชี้ วางเบาๆ เลื่อนขึ้น เลื่อนลง ไปตามตัวและคอ โดย ยัง Hammer On Pull Off อยู่ เล่นกับเสียงแตกจะได้ซาวด์ที่สะใจมากๆ ทีเดียว
Selector Play
เทคนิคนี้ก็เป็นเทคนิคโบราณที่โชว์ความเป็นร็อคสตาร์ แต่คำเตือนก็คือต้องใช้กับกีตาร์ที่มี Selector 3 ทางเท่านั้น โดยลองปิดเสียง Pickup ตัว Neck แล้วเล่นอะไรก็ได้ กับเสียงแตกลากเสียงค้างไว้ แล้วปรับ Selector ไปมา จะได้เสียงแบบ ติดๆ ดับๆ ก็ได้อารมณ์ร็อคไปอีกแบบ
- และเทคนิคนี้ถูก Tom Morello เอาไปต่อยอด ด้วยการทำให้เป็นเหมือนเสียง Turn Table โดยใช้มือขวาสับ Selector และมือซ้ายถูกีตาร์นั่นเอง