Headrush เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา เมื่อไม่กี่ปีมานี้ สิ่งที่ทำให้ Headrush ดูน่าสนใจนั่นก็คือระบบการใช้จอแบบ Touch Screen เหมือนเราเล่นบนพวกมือถือ หรือ iPad ในการเปลี่ยน Chain กำหนดค่าต่างๆ ภายนอกเมื่อมองเข้ามาจะดูล้ำสมัยมากทีเดียว
Outside : เมื่อเราเสียบกีตาร์เข้ามาแล้วกดเปิดเครื่อง ส่วนประกอบด้านหน้ามีจอ Display แสดงผล เป็นจอ LED สี ที่จะโชว์พวก Signal Chain Effect ของเรา ปุ่ม Knob มี 4 ปุ่ม มีคุม Output รวม เป็น Master ถัดมาเป็น Output ของ Phones กับ Aux ถัดมาเป็นปุ่มกด Encoder คือเลือก เพื่อที่จะปรับค่าต่างๆ และกดเพื่อยืนยันการปรับ ด้านขวาจะเป็นปุ่มปรับค่า Parameter ต่างๆ ปุ่มกดเลือกต่างๆ มีทั้งหมด 12 ปุ่ม โดยทั้ง 12 ปุ่ม จะมีไฟแสดงผลว่าเปิดปิด หรือเลือกใช้งานเอฟเฟ็กต์ แอมป์ หรือ Setlist Bank อะไรอยู่ แล้วจะมี Expression Pedal โดยที่จะมีไฟ แสดงสถานะอยู่ด้านบน ด้านภาค Input-Output จะประกอบด้วย Input กีตาร์ Input ของ Expression Pedal Input ของภาค AUX ช่อง Input ของ XLR 2 ช่อง Ground Lift เพื่อตัด Noise ต่อมาเป็น Output ออก Amp 2 ช่องถัดมาเป็น Amp กับ Line Selector ถัดมาเป็น Output Phoneจากนั้นจะเป็น Send Return 2 ช่อง ใช้ได้ทั้ง Stomp และ Rack แล้วก็ Midi Input-Output จากนั้นเป็น USB Port และปลั๊กเสียบของเอฟเฟ็กต์
การใช้งาน
- หลังจากเสียบกีตาร์แล้วเปิดเอฟเฟ็กต์ขึ้นมา เราจะเห็น หน้าจอที่เป็น Signal Chain ต่างๆ ในแต่ละ Slot เราจะสามารถเลือกได้ว่า เราจะใช้เอฟเฟ็กต์ แอมป์ หรือ ใช้ Expression Pedal ต่างๆ เราสามารถเลือกตั้งค่าต่างๆ ได้ โดยกดปุ่ม Encoder แล้วหมุนเลือกไปที่ Slot ที่ต้องการแล้วปรับค่า Parameter ต่างๆ ด้านข้าง
- สิ่งที่เป็นความพิเศษของ Headrush ก็คือการใช้ การแตะจอ Touch Screen ในการเลือก Slot ต่างๆ เราสามารถลากเพื่อ เปลี่ยนตำแหน่ง แตะด้านข้างเพื่อเลือกที่จะปรับ Parameter หรือเลือกที่จะปรับค่า Option ต่างๆ โดยใช้มือแตะที่จอได้เลย
- เราสามารถ Set ค่าเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ได้ โดยแตะที่ด้านบนของจอที่เป็นเครื่องหมาย 3 ขีด เพื่อเลือก Set List ต่างๆ โดยจะมีชื่อ Rig (เซ็ตของ Amp และ Effect ที่เซ็ตมาให้ในตัว) หรือจะเลือกใหม่ทั้งหมดโดยกดที่เครื่องหมาย *** ซึ่งจะเป็นการเลือก Option ต่างๆ ที่สามารถใช้ได้ ในเอฟเฟ็กต์ตัวนี้
- ถ้าเราเลือกที่จะ Set ค่า Rig ใหม่ หน้าจอจะกลายเป็น Slot ว่างๆ 11 ช่อง ซึ่งสามารถใส่เสียง Amp Effect IR ที่ต้องการได้ รวมถึงการ Loop FX ต่างๆ (มีลูกเล่นเล็กน้อยคือสามารถเลือกสี เวลาแสดงผลงได้) หลังจากตั้งค่าตามที่เราต้องการได้แล้ว เราก็สามารถ Save รวมถึงเปลี่ยนชื่อได้
- บนจอแสดงผลเราจะเห็นว่ามี Function ด้านล่าง 3 อัน ที่เขียนว่า Tail ถัดมาเป็น **** และ Mono ตัว Tail จะทำให้หางเสียงของ Delay / Reverb ยังคงอยู่ เวลาที่เราเปลี่ยน Rig ตัว **** จะเป็นการเลือกการเลือก Signal Chain ซึ่งจะมีอยู่ 3 แบบ แบบแรกก็คือตรงๆ ไปเลย แบบที่สองคือ ต่อตรงแล้วไปแยก เอฟเฟ็กต์เป็น 2 ชุดตรงกลาง แล้วค่อยรวมกัน แบบที่ 3 คือแยกกันมาตั้งแต่ต้น มารวมกันตอนท้าย ส่วน Mono ก็คือเราจะ Output สัญญาณเป็น Mono หรือ Stereo นั่นเอง นอกเหนือจากนั้นในแต่ละ Signal Chain เราสามารถเลือกเป็น Single -Dual Amp Cab ได้อีกด้วย โดยจะมีเครื่องหมาย 2x เวลาที่ใช้ฟังก์ชั่นนี้
- ด้าน Floor Control ปุ่มเหยียบต่างๆ เราสามารถใช้งานได้ 4 รูปแบบ แบบแรกก็จะเป็น Stomp View ตั้งค่าเป็นชุดๆ แต่ละชุดสามารถเลือก เอฟเฟ็กต์ได้ 8 แบบ โดยรวม Looper และ Tuner เข้าไปด้วย แบบที่สอง Rig View เราสามารถใช้ Rig (1 Rig จะมีผสมเอฟเฟ็กต์ แอมป์ ที่เราผสมเสียงไว้แล้ว ) ที่เราตั้งไว้ได้ 8 แบบใน 1 Bank แบบที่ 3 คือใช้ผสมกัน เรียกว่า Hybrid View คือเราจะผสมทั้งแบบ Stomp และ Rig View เข้าด้วยกัน ในกรณีที่เรามีเสียงที่ต้องการอยู่แล้ว 1 ชุด แล้วอยากเพิ่มเสียงที่ใช้เฉพาะใน เพลงนั้นๆ เราสามารถใช้แบบนี้ผสมกันได้ แต่ Rig กับ Stomp จะกลายเป็นอย่างละ 4 ชุดจาก 8 และสุดท้ายเป็น Set List จะคล้ายๆ Rig View แต่จะเป็นเสียง ที่ Preset มาแล้ว แล้วเราอาจจะไปแต่งเพิ่มนิดหน่อย เอามาเรียงกัน เป็น 8 แบบที่ใช้ได้
- ถ้าเราแตะหน้าจอ *** เราจะสามารถเข้ามาที่การ Setting ค่า Hardware พวกปุ่มกด Footswitch หรือ Scene ต่างๆ ได้ โดยเข้ามาที่ Hardware Assign ซึ่งเราสามารถตั้งค่า ปุ่มกดและ Expression Pedal Footswitch เราสามารถตั้ง Delay ตาม Tempo เพลงได้ ตั้งค่าตัว Midi Control และเราสามารถตั้งค่าปุ่มกดว่าเราจะใช้เป็นแค่ Toggle ปุ่ม เปิด ปิด Hold กดค้างเพื่อใช้งาน Footswitch ในการสั่งงาน (Foot Switch B) หรือเลือกเป็น Scene เพื่อกัน เวลาเปลี่ยน Rig ต่างๆ แล้วเสียงกระตุก ในส่วนของ Footswitch เราสามารถใช้ได้ 2 แบบ คือ Classic และ Advance ในส่วนของ Classic เราจะเลือกผสมเสียงได้อย่างละตัว เช่น Footswitch A ใช้เป็น Volume Control (เลือกปรับระดับความดังจาก 0-100 หรืออาจจะเป็น 40-100 ก็ได้ หมายความว่าเวลายกเท้าออกถ้าปิด 0-100 เสียงจะเงียบ แต่ถ้าตั้งเป็น 40 พอยก Footswitch สุด เสียงจะไม่เงียบ จะดังอยู่ในระดับ 40 เป็นต้น ตรงนี้ปรับค่าได้ที่ Assign กับ Range) พอเปลี่ยนมาใช้ Footswitch B จะผสม เสียง Delay หรือ Modulation ต่างๆ เข้ามาได้ อีก 1 ตัว แล้วเมื่อกดที่ตัว Footswitch จะเป็นเสียงเอฟเฟ็กต์ที่เราเลือกผสมเข้ามา แต่ถ้าเป็นใน Mode Advance เราจะสามารถผสมเอฟเฟ็กต์ เพิ่มเข้ามาได้อีก 4 เสียง โดยปรับค่าเสียงที่ผสมเข้ามาตรง Assign กับ Range
- ระบบ Hand Free Mode สามารถใช้การปรับค่าต่างๆ โดยใช้ ตัว Foot Control ได้ กดปุ่มตัวที่จะปรับค้างไว้ แล้ว ปุ่มกดด้านบน 6 ปุ่ม จะกลายเป็น Parameter สามารถตั้งค่าได้โดยใช้ Footswitch กดขึ้นลง ถ้าจะออกจากการตั้งค่าให้กดปุ่มด้านล่างซ้ายค้างไว้
- สามารถ Loop ได้ 20 นาที และอัดทับได้ 100 Layer
- ใน Global Setting จะมี 3 หน้า หน้าแรกจะมีการตั้งค่าความสว่างของ LED แสดงผล ตัว Input Output ต่างๆ สามารถตั้งค่า Sampling Rate ได้ 3 ค่า 44.1-48.0-96.0 ตั้งค่าเปิดปิด USB Audio และค่า Midi Control ทั้งหลาย หน้า 2 จะเป็น EQ ของ Output ในส่วนของ Output ที่เป็น XLR หรือ Amp Line ต่างๆ หน้า 3 จะเป็น ตัวควบคุม เปิด ปิด External Expression เปิด ปิด Confirm Unsaved (เวลาตั้งค่าแล้ว Save ค่าต่างๆ จะมีตัวนี้ออกมา แต่ถ้าปิด คือ Save แล้ว Save เลย) สุดท้ายเป็น Auto Assign
Preset
เอฟเฟ็กต์ใน Headrush จะมีดังนี้
- ในส่วนของ ภาค Amp จำลองมี 34 แบบ เช่นตระกูล Tweed ต่างๆ 59 Tweed Prince 59, Deluxe 59, Tweed Bass หรือแบที่จำลอง Blackface เช่น 64 Black Lux Vib, Lux Norm, VIB, 65 Black Sr, Black Mini แล้วก็จะมีอย่าง 65 J45, 66 AC Hi Boost, 67 Black Duo จากนั้นเป็นพวก Plexi 67 Plexi Glas Vari, 68 Plexi Glas 50W, 69 Plexi Glas 100W จากนั้นจะเป็น Blue Line Bass, 82 Lead 800 100W, M-2 Lead ตระกูล SL-100 มีเสียง Drive, Crunch, Clean จากนั้นจะมี 92 Treadplate Modern-Vintage, 93 MS30 ตระกูล RB RB-01B Red, Blue, Green จากนั้นจะเป็นจำลองแอมป์ Mod ต่างๆ 82 Lead 800 Bass Mod, 89 SL-100 Ext Range, 82 Lead 800 Bright, 67 Black Shimmer, 59 Deluxe Gain Mod, 68 Plexi EL84 Mod, 66 AC Hi Boost Mod, 69 Blue line Scoop
- ในส่วนของ Cabinet มี 15 แบบ 1X8 Custom, 1X12 Black Panel Lux, 1X12 Tweed Lux, 1X15 Open Back พวกที่เป็น 2X12 เช่น Ac Blue, Black Panel Duo, B30, Silver Cone ที่เป็น 4 ดอก เช่น 4X10 Tweed Bass, Black Sr, 4X12 Classic 30W, 4X12, 65W, 4X12 Green 25W, 4X12 Green 20W และ 8X10 Blue Line
- จำลอง Microphone 10 แบบ DYN 7, DYN 57, DYN 409, DYN 421, COND 67, COND 87, COND 414, RIBBON 121, DYN 20, DYN 12
- เสียงแตก มี 6 แบบ ประกอบด้วย White Boost, Green Jrc-Od, DC Distort, Black OP, Tri Fuzz, 8-BIT Crush
- จำพวกที่เป็นเสียงพิเศษเช่น Rotary จะมี 8 แบบ ในส่วนของ Dynamic/EQ ต่างๆ มี 7 แบบ ตัว Modulation มี 13 แบบ ตัว Delay Reverb มี 7 แบบ แล้วนอกนั้นจะเป็น Expression Pedal เช่น Wah Wah ต่างๆ
- สามารถโหลด IR ได้
จุดแข็ง ระบบ Touch Screen เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ทุกคนพุ่งเข้ามาหา Headrush จอไฟ LED ที่ใช้ในการแสดงผลทำให้มันดูน่าตื่นเต้น ที่สำคัญการใช้งานไม่ได้ซับซ้อนเกินไป ลูกเล่นของ Expression Pedal ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ การที่สามารถใช้ได้ทั้ง 2 แบบ การผสมเสียงต่างๆ ถือว่าเป็นจุดแข็งสุดๆ ของ Headrush วิธีการใช้งานที่ค่อนข้างสะดวก และประมวลผลเร็ว มีการปรับ EQ แบบ Hand Free Mode ที่สะดวกเวลาเล่นจริงๆ รวมถึง Looper ที่สามารถเล่นได้อย่างสะใจ โหลด IR ได้ รูปลักษณ์ค่อนข้างโฉบเฉี่ยวมากสำหรับ Headrush ที่สำคัญราคาไม่สูงมากอีกด้วย จึงทำให้เป็น Multi ที่มาแรงในช่วงปีที่ผ่านมา
จุดอ่อน ถึงอย่างนั้น Headrush ก็มีสิ่งที่อาจจะต้องปรับปรุงอยู่เหมือนกัน อย่างแรกก็คือ Signal Chain ที่มีบังคับ 3 แบบ แม้ว่าความเป็นจริง ก็เพียงพอนั่นแหล่ะ แต่มันก็ทำให้ตัวเลือกในการทดลองน้อยไปนิดหน่อย เอฟเฟ็กต์ในตัวที่ค่อนข้างน้อย ภาค Output ก็ไม่เยอะมาก เสียงของเอฟเฟ็กต์และแอมป์ที่อยู่ในตัวไม่หวือหวามากนัก อาจจะต้องโหลด IR มาใช้ จุดนี้เป็นจุดที่ Headrush ต้องทำการบ้านเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
รูปลักษณ์ภายนอก/ความสวยงาม
***** ระบบ Touch Screen ทำให้ดูทันสมัยและง่ายต่อการใช้งาน รวมถึงไฟในการแสดงผลต่างๆ ดูทันสมัย
ฟังก์ชั่นการใช้งานเบื้องต้น/ยาก-ง่าย
***** ฟังก์ชั่นต่างๆ ใช้ไม่ค่อยยาก จิ้มแล้วปรับได้เลย Signal Chain ไม่เยอะ ทำให้ง่ายต่อการวางตำแหน่งเอฟเฟ็กต์และตั้งค่าต่างๆ รวมถึงการจัดการระบบ Rig หรือ Set List ที่ง่ายต่อการเลือกใช้
ฟังก์ชั่นพิเศษ/โดดเด่น
**** ฟังก์ชั่นที่โดดเด่นนอกจาก Touch Screen ก็พวก ระบบ A-B Footswitch ที่ตั้งผสมเสียงได้หลากหลาย
ความแข็งแรง/ทนทาน
**** ใช้ได้ดีทีเดียว
ราคา/คุ้มค่า
**** ราคาอยู่ที่ 42,000 อาจจะมีเอฟเฟ็กต์ให้เลือกใช้น้อยไปสักนิด