Boss ใช้เวลาหลายปีเหมือนกันในการพัฒนา GT-1000 ขึ้นมา จาก GT-100 เป็นช่วงที่พวกเค้าหายไปจากหน้าจอเรดาห์ของวงการดนตรี จนในที่สุด Boss ก็สร้างความฮือฮา ด้วยการเปิดตัว GT-1000 ทำให้หลายๆ คนตื่นเต้นกันมากทีเดียว
Outside : เรื่มจากที่เราดูจากด้านบนก่อน เราจะเห็นหน้าจอ Display และปุ่ม Knob ทั้ง 6 ปุ่ม ด้านข้างเป็นปุ่มกดเลือกจะเขียนว่า Effect, Menu, Exit, Write ถัดไปเป็นปุ่มหมุนปรับค่า Output Level จากนั้นจะเป็น SW/EXP1 ก็คือ Footswitch ที่มากับตัวเอฟเฟ็กต์นั่นเอง คราวนี้มาดูที่ปุ่มกดเลือกจะมีปุ่มกด เลือก Bank Down Up จากนั้นจะเป็น CTL1, CTL2, CTL3 ด้านล่างจะมีปุ่มกดอีก 5 ปุ่ม คราวนี้ภาค Output ด้านหลัง จะประกอบด้วย Input กีตาร์ ถัดมาเป็น Main Output ที่ออกซ้ายขวา จะต่อแอมป์เดียว หรือต่อ 2 แอมป์ก็ได้ ถัดมาเป็น Phones จากนั้นเป็น Send Return 1-2 รวมเป็น 4 ช่อง จากนั้นจะเป็น Sub Output เอาไว้ต่อออก Mixer หรือ PA System (เป็นสายแบบ XLR) ถัดมาจะเป็นช่องต่อ EXP2 (CTL4/5), EXP3 (CTL6/7) ถัดมาจะเป็น Amp CTL 1, 2 ถัดมาก็จะเป็นช่อง USB, ช่องต่อ Midi Control อีก 2 ช่อง ปุ่มเปิด ปิด ช่องอะแด็ปเตอร์ (ต้องใช้ของ Roland เฉพาะตัวนี้ ตรงนี้จะมีที่ล็อคสายของอะแด็ปเตอร์ด้วย) จากนั้นจะเป็น Ground Terminal
การใช้งาน :
- เมื่อเราเสียบกีตาร์ เปิด Power เป็นที่เรียบร้อย เราจะต้องเลือกที่จะเซ็ตค่าต่างๆ จาก 2 ปุ่มก็คือ Effect และ Menu ถ้าเลือก Effect จะเป็นการเซ็ตเสียง Amp Effect ต่างๆ ซึ่งจะขึ้นเป็นรูปบล็อก และ Signal Chain เราจะใช้ปุ่ม Knob ปุ่มที่ 6 ในการหมุน เลือก ขยับบล็อกที่จะปรับใน Signal Chain ส่วน ปุ่ม Knob อีก 5 ปุ่มจะใช้ในการปรับค่า Parameter ต่างๆ ใน Effect Amp ในแต่ละบล็อก
- ในส่วนของ Menu เมื่อเลือกแล้วจะเป็นการตั้งค่าต่างๆ ในส่วนของ Output เราสามารถตั้งค่าใน Control Assign, In/Out Setting, Play Option, Midi, Hardware Setting และ Factory Preset ตรงนี้จะใช้ Knob 1 ในการเลือก
- ในส่วนของ Tuner Boss GT-1000 จะมีให้เลือก โดยกดปุ่ม CTL3 ค้างไว้ จากนั้นเลือกตั้งค่าโดยใช้ปุ่ม Page ในการเลือกที่จะตั้งค่าในแต่ละหน้าได้ ในส่วนของ Tuner Setting เราจะใช้ปุ่ม Knob 1 เพื่อเลือกว่าจะใช้แบบ Mode ปกติ หรือเราจะใช้แบบ Polytune ก็ได้ ปุ่ม Knob 3 จะเลือก Pitch ตั้งแต่ 435-445 Hz ปุ่ม Knob 4 จะเป็นการเลือก Output เวลาตั้งสาย Mute ก็คือเงียบหมด Bypass ได้ยินเสียงกีตาร์ Thru มีได้ยินเสียงเอฟเฟ็กต์ด้วย (ในกรณีที่ใช้การตั้งสายแบบ Polytune) ปุ่ม Knob 5 Type ใช้เลือกว่าจะตั้งสายแบบไหน ตั้งปกติ 6 สาย ดร็อป D 6 สาย ตั้ง 7 สาย หรือ Drop A 7 สาย ส่วน Knob 6 Offset ก็ดูค่า Pitch ในแต่ละสายแบบ Polytune
- เราสามารถ Preset ได้ 2 Patch คือ User Patch (ตั้งแต่ U01-1 ถึง U50-5 ตรงนี้เราจะสามารถเซ็ตค่าต่างๆ แล้วเซฟทับได้ แต่ถ้าเป็น P01-1 ถึง P50-50 จะเป็น Preset ของโรงงาน) เราสามารถเปลี่ยนชื่อเซฟค่าต่างได้ๆ รวมถึงแสดงค่า Input, Send Return, CMP, สถานะของ Bluetooth ต่างๆ ได้ ส่วนการ Edit ใช้ Knob 6 ในการเลือก และ 5 Knob ที่เหลือใช้ปรับค่าต่างๆ
- นอกจากนั้นสำหรับคนที่อยากมองเป็นแบบ Stompbox สามารถเซ็ตแต่ละ Patch ให้เป็นแบบเอฟฟเฟ็กต์ก้อนได้ โดยเลื่อนปุ่ม Page แล้วเลือกที่ Menu Stompbox ใน Patch นั้นจะกลายเป็นการปรับค่าแบบ Stompbox Effect ไป และสามารถเซฟเปลี่ยนชื่อได้
- เราสามารถใช้ GT-1000 เป็น Audio Interface ได้ (อย่าลืมลง Driver กันก่อนนะ ลองดูใน Boss.info/Support) นอกจากนั้นเราสามารถโหลด Preset ต่างๆ ซาวด์จากศิลปินลง Patch รวมถึง Backup ข้อมูล ได้จาก Bosstonecentral.com
- เราสามารถใช้ External Midi รวมถึงพวก EXP Pedal ต่างๆ ในการสั่งงานได้ โดยการเซ็ตในพวก Control Assign –Control Function Menu ได้
- ใน GT-1000 เราสามารถใช้ Bluetooth Function ในการจัดเรียงหรือโหลด Preset ต่างๆ ได้ โดยการโหลด App Boss Tone Studio For GT-1000 และสามารถเปิดใช้ในโทรศัพท์ได้เลย
- ส่วนในภาค Loop ใช้ได้ 39 วินาที (ภาค Mono) และ 19 วินาที (Stereo) ใช้ CTL 1-3 ในการบังคับ
- GT-1000 มี Sampling Frequency 96KHz AD Conversion 32 Bits DA Conversion 32 Bits เช่นกัน
Preset
ตัว GT-1000 มีเอฟเฟ็กต์มากมายที่น่าสนใจ ลองมาไล่ดูกัน
- Compressor มี 5 แบบ หลักๆ ถ้าเป็นของ Boss Comp จะจำลองตัว Boss CS-3 ตัวถัดมาจะเป็น X-Comp จะเป็นการใช้ MDP (Multi Dimension Professor) ทำให้การ Compressor เป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่วน D-Comp ตัวนี้คือ MXR DynaComp, ORANGE อันนี้จำลองของ Dan Armstrong Orange Squeezer และสุดท้ายคือ Stereo Comp เป็น Stereo Compressor
- เสียงแตก Distortion 1-2 แบบที่เป็น Boost จะมี Mid Boost, Clean Boost, Treble Boost , Crunch, Natural OD และ Warm OD และแบบเสียงแตกจะมี Fat DS เป็นเสียง Distortion หนาๆ หน่อย, Lead DS เสียงแตกแบบ Overdrive กึ่งๆ จะเป็น Distortion, Meta DS ก็ตามชื่อเลยใช้เล่น Metal, Oct Fuzz เป็น Fuzz ที่ให้ฮาร์โมนิกที่ดี, A-Dist ตัวนี้ใช้ MDP Technology เพื่อความสมบูรณ์ของ Distortion ในทุกย่าน, X-od, X-Dist ก็จะคล้ายๆ กัน Blues OD เป็นเสียง Crunch แบบ Boss Blues Driver, OD-1 เสียงสไตล์ Boss OD-1, T-Scream อันนี้เป็นเสียง TS-808, Turbo OD นี่เป็นเสียง Boss OD-2, DIST อันนี้เป็นเสียงแบบ Traditional Distortion Sound, RAT เป็นเสียงแตกสไตล์ Proco RAT, GUV DS เสียงแบบ Marshall GUV’ NOR., DIST+เสียงแตกแบบ MXR Distortion + Metal Zone เสียงแบบ Boss MT-2, ‘60S FUZZ เป็นสไตล์ Fuzzface, MUFF FUZZ อันนี้เป็นเสียง Electro-Harmonix Big Muff TT
- ในภาค AIRD Pre Amp จะใช้ BOSS’s Proprietary Cutting-Edge AIRD (Augmented Impulse Response Dynamics) Technology ในการเก็บรายละเอียดต่างๆ ของแอมป์ เพื่อมาใช้ใน GT-1000 โดยจะแบ่งเป็น Type Advance และ Classic Amp
- ภาค Modulation ต่างๆ มีมากมาย ที่สำคัญสามารถใช้ได้ทั้งในแบบ กีตาร์ไฟฟ้า และมีสำหรับกีตาร์โปร่งอีกด้วย
- ยังมีเอฟเฟ็กต์หลากหลายที่ทำเสียงร้อง หรือ อย่าง Slow Gear ที่ทำเสียงคล้ายๆ ไวโอลินได้ด้วย
จุดแข็ง ถ้าเราตั้งต้นจาก GT-100 เปรียบเทียบกัน เลข 0 ที่เพิ่มขึ้นมาก็ดีกว่า ขึ้นมาอีกเกือบ 10 เท่าเช่นเดียวกัน ระบบการทำงานต่างๆ ถูกพัฒนาให้ทันกับยุคสมัย และเหมือนจะนำไปอีกขั้น ด้วยเสียงแบบ 32bit ซึ่งทำให้ความละเอียดของเสียงต่างๆ มันดูมิติมากขึ้นจริงๆ ทำให้องค์รวมของภาคจำลองแอมป์ เอฟเฟ็กต์ต่างๆ ฟังดูดีขึ้นมาก การใช้งานของภาค Output ที่กำลังพอดี เสียงเอฟเฟ็กต์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะภาค Modulation ที่จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยน Preset ที่ไม่ต้องใช้ระบบ เพื่อช่วยในการแก้การกระตุก เพราะระบบใน GT-1000 สามารถประมวลผลได้รวดเร็วและรองรับเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ได้มากพอ รวมถึงเอฟเฟ็กต์เสียงพิสดารมากมาย มีลูกเล่นหลากหลาย มีภาคอะคูสติกในตัว สามารถใช้งาน Expression Pedal ได้เยอะ ทีเด็ดอีกอย่างก็คือ Tuner แบบ 7 สาย ที่สามารถเลือกแบบ Drop และเป็น Polytune ด้วย นี่คือ Multi Effect ของ Boss ที่น่าสนใจมากที่สุด และที่สำคัญราคาจับต้องได้
จุดอ่อน จุดอ่อนของ Boss ก็คือเสียงแบบ Boss เสียงเอกลักษณ์ของ Boss ไม่ว่าจะเป็นแอมป์ หรือเอฟเฟ็กต์ มักจะมีโทนที่ออกไปทาง Mid Hi พอสมควร เวลาเล่นจริงกับแบนด์ เสียงเหล่านี้จะโผล่ออกมา แต่ว่าถ้าปรับฟังคนเดียว จะมีหลายคนที่บอกว่ามัน “แหลม” และเนื้อหายไปสักนิด แต่ถ้าจะให้บอกแบบไม่อวย GT-1000 แก้ปัญหาตรงนี้ได้เยอะมากแล้ว อีกจุดนึงก็คือการโหลด IR ที่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีตรงจุดนี้ แต่ที่สุดก็มีจนได้ แต่อาจจะขึ้นตรงกับเสียงที่ Boss พัฒนา หากโหลดของเจ้าอื่น อาจจะไม่แมตช์กัน ซึ่งอันนี้ต้องลองพิสูจน์กันดูอีกที
รูปลักษณ์ภายนอก/ความสวยงาม
**** อาจจะดูเรียบร้อย ไม่หวือหวาเท่าไร จอภาพไม่สวยมากนัก
ฟังก์ชั่นการใช้งานเบื้องต้น/ยาก-ง่าย
****1/2 Boss ค่อนข้างมีการใช้งานที่ง่าย ตัว Signal Chain ก็ดูมีไม่อิสระมากนัก แต่ก็เพียงพอต่อความจำเป็น
ฟังก์ชั่นพิเศษ/โดดเด่น
****1/2 ฟังก์ชั่นอาจไม่ถึงกับหลากหลายแต่ความโดดเด่นก็คือเสียงแบบ 32 Bit และการประมวลผลที่เร็วมาก จึงแทบจะไม่ต้องใช้ฟังก์ชั่นอย่าง Scene หรือ Snapshot โดยเฉพาะเสียง Modulation ในแบบ Stereo ที่โดดเด่นจริงๆ รวมถึงเสียงจำลองโดยรวมทั้งเสียงแตก และแอมป์มีมิติและเนื้อเสียงมากขึ้นอีกด้วย
ความแข็งแรง/ทนทาน
***** ก็การันตีปุ่มเหยียบว่าเป็นล้านครั้งไม่พังเราก็คงต้องเชื่อล่ะ
ราคา/คุ้มค่า
***** ราคา 3x,xxx (ล็อตแรกเป็นราคาพิเศษ) ณ ตอนนี้ ถือว่าถูกที่สุด (ราคาที่ถูกต้องสามารถสอบถามได้ที่ธีระมิวสิคครับ)