ถือว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองมากกับหนุ่มน้อยคนนี้ ถ้าใครเป็นที่ชอบเปิด YouTube ก็คงสะดุดกับศิลปินอินเตอร์คนนึงที่พอไปอ่านชื่อ Phum Viphurit เอ๊ะ! นี่มันชื่อคนไทยนี่ ใช่แล้ว ภูมิ วิภูริศ คือศิลปินสัญชาติไทยที่มีเพลงเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติมากมาย และได้ไปทัวร์ต่างประเทศมาแล้วหลายประเทศ เรียกว่า “โกอินเตอร์” ไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และโผล่มาให้คนไทยได้รู้จักอีกทีก็กลายเป็น ศิลปิน Inter ไปแล้ว หนุ่มคนนี้มีความน่าสนใจมากมาย เราจะขอเชิญชวนให้ทุกท่าน มารู้จักเจ้าของเพลง Lover Boy คนนี้กันให้มากขึ้นดีกว่า
แนะนำตัวและอัพเดตผลงานสักหน่อย
ภูมิ : สวัสดีครับชื่อภูมิ วิภูริศ ครับผม ก็ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงทัวร์ ไปทัวร์ที่หลายประเทศ ฮ่องกง สิงค์โปร์ กลับมาเมืองไทยเป็นไข้เลย (หัวเราะ)
ภูมิเริ่มหัดเล่นดนตรีได้ยังไง มีใครเป็นแรงบันดาลใจ
ภูมิ : เริ่มต้นคือที่บ้านชอบฟังดนตรี มีพี่เป็นนักร้องสายประกวด แม่ก็ชอบก็สะสมซีดีเพลงเก่าๆ คือผมฟังดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ ผมเริ่มสนใจดนตรีจริงๆ ตอนประมาณอายุ 14 ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าอยากตีกลองมาก ก็เลยเริ่มตีกลองชุดก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มสนใจการเล่นกีตาร์โปร่งและร้องเพลงไปด้วยตอนอายุ15 เราฝึกจากการดูYouTube และ Cover เพลงที่เราชอบ ทำมาเรื่อยๆ จนอายุ 17-18 ก็เริ่มเขียนเพลงขึ้นมาเอง
ทำไมถึงเปลี่ยนจากการตีกลองเป็นเล่นกีตาร์โปร่งเบื่อกลองเหรอ
ภูมิ : ไม่ได้เบื่อครับ แต่สมัยนั้นกลองชุดมันอยู่ในโรงรถและข้างๆ บ้านเป็นเพื่อนฝรั่ง มันเสียงดังไปรบกวนเขา เขาชอบมาด่าที่บ้าน ก็เลยคิดว่าจะหาเครื่องดนตรีที่มันเล่นในห้องนอนได้ โดยไม่รบกวนชาวบ้าน เลยหันมาลองมาฝึกกีตาร์ดู
อย่างที่บอกพี่ชายเป็นนักร้องสายประกวดเขาได้มาช่วยสอนการร้องอะไรบ้างไหม แล้วส่วนตัวชอบฟังเพลงแบบไหน
ภูมิ : ก็ไม่ค่อยนะครับ คือเขาชอบทางด้านนี้ก็ทำของเขาไป ส่วนตัวผม ตอนผมมาเล่น Cover เพลง ผมจะมีความสนใจพวกดนตรีนอกกระแสอยู่แล้ว ตอนนั้นผมฟัง Foster The People, Daughter, Ben Howard เหมือนเรารู้ตัวว่าเรามาสายนั้นโดยเฉพาะเลย แล้วก็ไม่ค่อยมีใครเข้าใจผมด้วยว่าทำไมชอบดนตรีแนวนี้
ชอบพวกร็อคอะไรแนวนี้บ้างไหม
ภูมิ : จริงๆ ก็ชอบครับ สมัยตีกลองก็ชอบตีร็อคหนักๆ แต่พอรู้สึกว่าเราจะมาฝึกร้องฝึกเล่นกีตาร์เราชอบเราชอบดนตรีที่มันมีเมโลดี้หน่อย ก็เลยเลือกที่จะเเกะเพลงที่เราชอบจริงๆ
เพลงที่แกะเพลงแรกชื่อเพลงอะไร
ภูมิ : น่าจะเป็น Sunday Morning ของ Maroon5 เป็นเพลงที่หลายๆ คนต้องแกะ เพราะว่ามันมี 3 คอร์ด (หัวเราะ) แล้วก็ฝึกร้องไปด้วย เพราะเราไม่ได้ฝึกเล่นกีตาร์อย่างเดียว ผมอยากเล่นกีตาร์แล้วร้อง ก็เลยฝึกการร้องเข้าไปด้วย
เริ่มแต่งเพลงเอง แต่งเพลงเกี่ยวกับอะไรตอนนั้น
ภูมิ : (หัวเราะ) ตอนนั้นอยู่นิวซีแลนด์ ไปประมาณ 8-9 ปีและก็เริ่มแต่งเพลงที่รู้ว่าจะต้องกลับมาไทยมาเรียนต่อเมืองไทย เลยเริ่มแต่งเพลงให้เพื่อน ให้ฝรั่งที่เราชอบบ้างตามก็ประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป
ปั๊ปปี้เลิฟใช่มั้ย
ภูมิ : แน่นอนครับ(หัวเราะ)
จริงๆ แล้วเห็นภูมิไม่ได้มีความฝันที่จะเป็นนักดนตรีเลย แล้วทำไมถึงเลือกดนตรี
ภูมิ : ผมไม่ได้ฝันว่าจะทำดนตรีเป็นอาชีพ แต่สนใจด้านภาพยนตร์ เลยสมัครเข้าเรียนภาพยนตร์ที่มหิดลอินเตอร์เรียนภาพยนตร์จนจบ คือดนตรีเนี่ยแค่รู้ว่ามันเป็นงานอดิเรกที่เราชอบ เวลาเราได้กลับห้อง ไปนั่งเล่น นั่งแกะเพลงที่เราชอบแล้วแบบเฮ้ย!! …เราเล่นได้ ก็โอเคแล้ว ผมเองไม่ได้ฝันว่าเราจะทำดนตรี แค่เราชอบมัน และรู้สึกสนุก
จริงๆ งานภาพยนตร์ก็ไม่ใช่ความฝัน จริงๆ เห็นว่าเคยอยากเป็นนักกีฬาหรืออะไรมาก่อนใช่ไหม
ภูมิ : ผมเคยอยากเป็นยาม มาก (หัวเราะ) หลังจากนั้นเราเล่นกีฬาค่อนข้างหนัก เล่นบาส, ว่ายน้ำ, เทนนิส, ฟุตบอล เราค่อนข้างจะจริงจังกับกีฬา
เดี๋ยวๆ ทำไมถึงอยากเป็นยาม
ภูมิ : บ้านที่เมืองไทยผมจะอยู่ข้างๆ คอนโด แล้วพี่ยามเขาใจดี เวลาเรากลับมา เขาก็จะเปิดประตูให้ และเขามียูนิฟอร์มชุดใส่เป็นทางการ ก็เลยทำให้อยากเป็นยาม (หัวเราะ) ตอนนี้ก็ยังเป็นได้ใช่ไหม (หัวเราะ)
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรามาทำดนตรีจริงจัง
ภูมิ : ผมมีความรู้สึกว่าไม่ได้มีจุดใดจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าเราอยากเป็นนักดนตรีจริงๆ ผมเริ่มทำเพลงกับค่าย Rats Records ตั้งแต่อายุ 19 จนตอนนี้อายุ 23 ก็ผ่านมา 4 ปีแล้วในทุกๆ ช่วงก็จะทำทีละเพลงๆ รู้สึกว่าเราค่อยๆ เติบโตขึ้นมา ก็จำไม่ได้มีจุดไหนที่เราอยากเป็นนักดนตรี อย่างทุกวันนี้ผมก็จะไม่เรียกตัวเองว่าเราเป็นนักดนตรีศิลปินอะไรแบบนี้ เหมือนเราค่อยๆ เรียนรู้ทีละขั้น
เข้าไปทำร่วมงานกับค่าย Rats Records ได้ยังครับ
ภูมิ : สมัยนั้นผมจะมีเพลง Cover ใน YouTube ประมาณ 6-7 เพลง แล้วพี่ที่คณะเป็นศิลปินของค่าย Rats Records ตอนนั้นเขากำลังมองหาศิลปินเดี่ยวแบบ Singer Songwriter ภูมิเลยเอาเพลงที่เรา Cover เพลง All I Want ของ Kodaline ไปให้ที่ค่ายดู หลังจากนั้นเขาก็ติดต่อกลับมาว่าสนใจทำซิงเกิลมั้ย เราก็ตอบไปว่าสนใจครับ เลยทำจนมาถึงทุกวันนี้
วันนั้นที่ทำเพลงเรานึกแค่สนุกๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรใช่ไหม
ภูมิ : คิดว่าสนุกนะครับ แล้วมันก็เป็นโอกาสที่จะทำให้เรามีตัวตนในโลกอินเทอร์เน็ต ได้เป็นชื่อ Phum Viphurit ซึ่งตอนนั้นก็สนุกด้วยและตั้งใจทำผลงานออกมา แต่ยังไม่ได้คาดหวังไปถึงเป็นนักดนตรี หรือศิลปิน
ตอนที่ทำเพลงแรกชื่อเพลงว่าอะไรครับ
ภูมิ : เพลงเเรกชื่อว่า Adore ครับ จะเป็น Indie Folk หน่อยๆ ตอนอายุประมาณ 19-20
ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้เข้าห้องอัด
ภูมิ : รู้สึกสนุกครับ ผมไม่เคยมีประสบการณ์อัดเพลงในห้องอัดมาก่อน พอเข้ามาจริงๆ มันเป็นงานที่ยาก เราเป็น Singer Songwriter คนเดียว มันเลยต้องใช้ความช่วยเหลือจากหลายๆ คนการในที่จะทำผลงานออกมาให้เป็นชิ้นเป็นอัน ยิ่งตอนคุมเสียงหายใจตอนอัดนี่แบบ Oh Shit (หัวเราะ) คือผมไม่ได้เรียนร้องเพลงหรืออะไรด้วยเลยรู้สึกว่ามันยาก แต่มันก็สนุกดี
ไม่ได้มีความรู้สึกนอยด์ๆ ว่าทำไมข้างนอกเราร้องได้และพอเข้าห้องอัดแล้วทำไมร้องไม่ได้
ภูมิ : ก็มีครับ กดดันตัวเอง เรารู้สึกว่านี่เป็นเสียงในเวอร์ชั่นมาสเตอร์นะ เลยเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิสูง
เพลงแรกทำมาสเตอร์เสร็จแล้วเราฟังมีความรู้สึกยังไง
ภูมิ : รู้สึกดีใจมากครับ รู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่เราแต่งขึ้นมาเอง และเราได้เห็นผลงานของตัวเองวันแรกที่อัพลง YouTube รู้สึกดีใจมากเลยครับ เราได้เริ่มต้นมีตัวตนและผลงานแล้วเพราะภูมิเชื่อว่าอะไรที่หลุดเข้าไปในโลกของอินเทอร์เน็ตมันจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป เราเป็นอมตะในโลกโซเชี่ยลแล้ว (หัวเราะ)
ซึ่งมันก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในเพลงถัดๆ มาหรือเปล่า
ภูมิ : ใช่เลยครับ หลังจากทำซิงเกิลแรกออกไปก็ค่อยๆ ทำซิงเกิลถัดมาเพราะภูมิเป็นคนที่ใช้เวลาในการทำงานดนตรีค่อนข้างช้า สมัยก่อนเราไม่ได้มีหัวในการแต่งเพลงได้เท่าตอนนี้เราคิดแค่ว่าการแต่งเพลงคือมีเสียงกีตาร์โปร่ง และเสียงร้องของภูมิก็คือจบไม่ได้คิดเผื่อว่ามันต้องมีอะไรอีกแล้วค่อยมานั่งคิดทีหลัง มันถึงใช้เวลานาน จนมาถึงทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแต่งเพลงที่ค่อนข้างโอเคมากขึ้น
คือหลังจากเพลงแรกก็เริ่มรู้ว่ามันต้องมีอะไรมากขึ้นใช่ไหม
ภูมิ : ใช่ครับ
ตอนนั้นเป็น Indie Folk เหมือนเดิม
ภูมิ : ช่วงนั้นก็คือคนค่อนข้างจะมองเราเป็น Indie Folk ตอนนั้นก็จะเน้นเสียงกีตาร์โปร่ง มันเป็นเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว แต่จริงๆ เราไม่ได้ฟังเพลง Indie Folk ขนาดนั้น แค่ชอบเสียงกีตาร์โปร่ง
แล้วแบ่งเวลากับการเรียนยังไง ถ้าเอาจริงๆ ตอนนั้นก็น่าจะใกล้ๆ จบแล้วเหมือนกันนะ
ภูมิ : ตอนนั้นเริ่มทำเพลงตั้งแต่ปลายปี 1 ก็ค่อนข้างยากเพราะเราโฟกัสเรื่องเรียนก่อนเสมอ ก็เลยหาเวลาไปทำดนตรี ค่อนข้างเหนื่อยแต่ก็ทำเสร็จจนได้ ตอนทำอัลบั้มเสร็จ กำลังจะจบ น่าจะขึ้นปี 4 ตอนนั้นงาน thesis กำลังเข้มข้นมาก (หัวเราะ)
กลายเป็นว่าเรามีอัลบั้มแรกและการเรียนของเรากำลังจะจบแล้ว มองอนาคตตอนนั้นว่าจะไปทำงานทางภาพยนตร์หรือมาเป็นสายนักร้องมากกว่ากัน
ภูมิ : รู้สึกค่อนข้างโชคดีตอนที่ภูมิเพิ่งจบได้ประมาณ 3 เดือน พอจบปุ๊บกระแสอัลบั้ม Manchild ก็ไปไกลจนเราได้มีโอกาสได้ไปทัวร์แล้วนำ Content ที่เราทำมาตลอดในการเรียนเรื่องภาพยนตร์มาผสม ทำให้ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด และการเป็นนักดนตรีในปัจจุบันต้องคิดงานแบบปีต่อปี เราจะมองว่าอีก 5 ปีเราจะมีทัวร์อะไร แบบนี้มันไม่ได้เพราะมันจะต้องดูปีต่อปีว่าผลงานเราจะเป็นยังไง จุดเปลี่ยนก็คือช่วงเรียนจบนี่ล่ะครับโชคดีที่กระแสอัลบั้มมันมาเลยได้ทำต่อไปเรื่อยๆ
ทำ MV เองด้วยบ้างไหมครับ
ภูมิ : ทำด้วยครับ แต่ก็ไม่ได้กำกับเอง แต่เล่น MV เองนะ (หัวเราะ) คือมันได้เป็นตัวหลัก แต่ชอบที่จะมีส่วนร่วมในด้านของ Visual เพราะเราก็จบภาพยนตร์มาด้วย
แล้วไม่คิดจะไปทำงานสายภาพยนตร์เลยเหรอพอจบปี 4 ออกมา
ภูมิ : จริงๆ เรามีความสนใจอยู่มาก เพราะเราหมดกับค่าเทอมไปเยอะ (ยิ้ม) ไม่อยากจะทิ้งเหมือนกันในอนาคตอยากจะทำหนังสั้นสักเรื่อง และลองทำงานเป็น Creativeตาม Agency ต่างๆ อยากลองกำกับ MV ให้คนอื่นบ้างอะไรประมาณนี้ แต่ตอนนี้ก็ขอทำตามความฝันก่อนครับ
ช่วงแรกๆ เพลงของภูมิค่อนข้างดิ่ง ดูมืดมนเหมือนกันนะ มันเกิดอะไรขึ้น
ภูมิ : (หัวเราะ) เหมือนวัยรุ่นกำลังเติบโตและผ่านความโรแมนติกในชีวิตช่วงนั้น ก็เลยแบบเอามาเเต่งเพลง เพลงบางเพลงเลยดูแบบรู้สึกอกหักอะไรแบบนี้
เพลงดูดาร์กมากเลย คือตอนนั้นเราคิดว่ามันเท่ด้วยไหมหรือไม่เกี่ยว
ภูมิ : ผมไม่ได้มองว่ามันเท่ แต่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เรารู้สึกที่สุดในช่วงเวลานั้น ผมเป็นคนที่ถ้าเราเศร้าดนตรีก็จะเศร้าเหมือนกัน ช่วงนั้นที่มีเพลงเศร้าก็เป็นเพราะผมกำลังเศร้าจริงๆ (หัวเราะ)
ทำไมไม่ตั้งเป็นฺ Band ขึ้นมาเพราะจริงๆ ในมหิดลมีนักดนตรีเพียบเลยนะ
ภูมิ : จริงๆ นักดนตรีในวงก็คือรุ่นน้องที่เคยเจอกันในชมรมนักดนตรีที่มหิดล อินเตอร์ พี่มือเบสมือกลองก็เป็นเด็กด็กดุริยางค์เก่าด้วย ซึ่งทุกวันนี้วงที่ทัวร์กับผมก็คือวงของเด็กมหิดลนี่แหละครับ
การทำงานกับทางค่าย Rats Records เป็นยังไงบ้าง
ภูมิ : อบอุ่นครับ จริงๆ เราจะเป็นทีมที่มีคนไม่เยอะ ทำงานแล้วมีความรู้สึกว่ามันสบาย ทำงานก็มี Space ส่วนตัว แล้วรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง มันเป็นความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีมากๆ
ทางค่ายได้แนะนำอะไรให้บ้างไหม
ภูมิ : แนะนำ ให้ Reference คอยบอกว่าเราลองทำแบบนี้ไหม แบบนั้นไหม เราก็จะลองมาปรับเปลี่ยนใช้กับตัวเราเอง เหมือนกับเราทำงานแต่งเพลงเป็นศิลปินเดี่ยวก็จริงแต่ได้ความคิดเห็นเข้ามาทำให้ช่วยในการที่ทำให้เราไม่ได้อยู่กับตัวเองมากจนเกินไป
แล้วพวกเทคนิคการอัดเสียง สตูดิโอ เราก็เรียนรู้หรือเขาปล่อยพี่ๆ
ภูมิ : ปล่อยพี่ๆ ดีกว่าเพราะผมเป็นคน Low Tech มาก (หัวเราะ) จะทำไม่ค่อยเป็น แค่อัดก็มีความสุขแล้ว แค่แยกแทร็คเป็น 8 แทร็คได้ก็ภูมิใจแล้ว (หัวเราะ)
ภูมิไม่ชอบกีตาร์ไฟฟ้าเหรอ
ภูมิ : ชอบครับชอบ ตอนนี้แทบจะเล่นแต่กีตาร์ไฟฟ้าแล้ว จริงๆ ก็คือได้กีตาร์ไฟฟ้าหลังจากกีตาร์โปร่ง คือเวลาเราเล่นกีตาร์โปร่งแล้ว Accent มันจะค่อนข้างหนักและเราเป็นคนที่เล่นแล้วใช้ปิ๊คไม่เป็น ทุกวันนี้เล่นกีตาร์ไฟฟ้าก็ใช้นิ้ว มันก็ค่อนข้างพังๆ หน่อย (หัวเราะ) เพราะเทคนิคที่ผมเล่น ผมปรับจากการเล่นกีตาร์โปร่งมาโดยตลอด
พูดถึงเพลงที่ทำให้ภูมิมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่าง Lover Boy เพลงนี้เกิดขึ้นได้ยังไง
ภูมิ : เพลงนี้เป็นเพลงที่ทิ้งช่วงมาจากอัลบั้มชุดแรก เหมือนเรารู้ตัวว่ากำลังจะทำเฟสสองของ Phum Viphurit เราก็เลยลองกลับไปมองตัวเองว่าเราชอบดนตรีสายไหนจริงๆ และก็มองว่าเราชอบฟังโมทาวน์ Stevie Wonder, George Benson, Earth Wind And Fire, Boney M ก็เลยอยากลองทำเพลงที่มีกลิ่นอายของความเป็นโมทาวน์ โซลป็อปในยุค70’s เลยทำ Lover Boy ขึ้นมาแล้วอยู่ดีๆ ก็บูมเฉย (หัวเราะ)
เพลงนี้ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยใช่ไหม
ภูมิ : ไม่เลย เพราะก่อนหน้านี้กระแสคนไทยก็คือต้องมีกลุ่มฟังแนวนี้โดยเฉพาะจริงๆ ยอมรับเลยว่าเพลงนี้ทำให้กลุ่มคนฟังมีความ Mass และกว้างขึ้นเยอะเลย
เพลงนี้สำหรับชาวไทยที่ไม่ได้เก่งเรื่องภาษาอังกฤษมาก พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับเพลงนี้
ภูมิ : (หัวเราะ) มันเป็นคล้ายๆ Alter Ego เป็นเหมือนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งไล่ตามหาความรักทั้งที่ตัวเองยังไม่พร้อมกับสิ่งเหล่านี้ ผมได้คอนเซ็ปต์ของความเป็น Lover Boy มาก่อน รู้สึกว่า Lover Boy มันคือพ่อหนุ่มนักรัก มันฟังดูเรื้อนมากเลยนะ (หัวเราะ) ซึ่งมันเป็นคอนเซ็ปต์ที่แบบว่าเป็นคนที่วิ่งตามหาความรักแบบเอาจริงเอาจังมาก แต่จริงๆ แล้วเค้ายังไม่พร้อมกับการที่จะเจอความรัก
เพลงนี้มันดูมีความสดใสแต่พอมาย้อนดูจริงๆ เพลงเก่าๆ ของภูมิ จะดาร์กและดิ่งมาก
ภูมิ : ใช่ครับก็ค่อนข้างน่าสนใจและคนจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ใช่คนที่แฮปปี้ตลอดเวลา เพลงบางเพลงเราดูสดใสจนคนคิดว่าเราเป็นบ้าหรือเปล่า แล้วก็ดีใจที่ Lover Boy ทำให้คนมาค้นเจอว่าเราเคยมีผลงานเพลงมาก่อนหน้านี้นะ
เพลงนี้ MV กำกับเองด้วยใช่ไหม
ภูมิ : ไม่ใช่ครับ ไม่ได้กำกับเอง มีพี่ที่เป็นรุ่นพี่เป็นสายแฟชั่นฟิล์ม พี่จีน คำขวัญ ดวงมณี มาช่วยกำกับให้ พอได้เดโม่มาก็ส่งไปให้พี่เขาบอกให้ช่วยกำกับให้หน่อยแล้วก็ไปพัทยาอีก 2 วันก็ได้ MV กลับมา นักแสดงพี่เขาเป็นคนจัดหามาเองหมดเลย เราเล่นอย่างเดียว ถ่ายง่ายๆ สนุกๆ
พอถ่ายออกมาแล้วดูแล้วมีความตกใจไหม เพราะ MV ภาพมันสวยมากเลยนะ
ภูมิ : ก็ตกใจมากเลยครับและดีใจและขอบคุณมากเลย เพราะตอนเดินทางไปถ่ายที่พัทยา ความรู้สึกมันไม่ได้เป็นแบบนั้น เหมือนเดินถ่ายสนุกๆ แต่พอออกมาเป็นเพลงกับภาพแล้ว มันเป็น Mood Tone ที่รู้สึกประทับใจ ก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนร่วมในโปรเจ็กต์นี้
Lover Boy เพลงนี้จริงๆ ใช้แนวความคิดเป็นเพลงต่อเพลงหรือมองภาพรวมเพื่อต่อยอดเป็นอัลบั้มเลยหรือเปล่า
ภูมิ : ก็คิดได้ทั้งสองแบบครับ เพราะอัลบั้มชุดนี้ภูมิต้องการความ Positive Thinking ความมีพลังทางด้านบวก อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ที่คิดอัลบั้ม แต่มันก็เหมือนกับตอนที่ภูมิแต่งเพลงตอนเรียนไปด้วย ผมจะแต่งเพลงเป็นเพลงต่อเพลง จะค่อนข้างเป็น Episode คือการแต่งเพลงของผมจะไม่ใช่แต่งเพลงทีเดียว 3 เพลงแต่จะทำทีละเพลงให้จบ มันเลยค่อนข้างเสร็จช้า คอนเซ็ปต์จะได้ตรงกับสิ่งที่เราเป็นที่สุดในช่วงนั้น
เพลงนี้ปล่อยออกมาได้สักพักแล้ว เพลงต่อไปทำเสร็จแล้วหรือยัง
ภูมิ : มีครับกำลังทำเพลงอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้กำลังทัวร์อยู่มีงานค่อนข้างเยอะกว่าที่เราคาด จริงๆ อัลบั้ม 2 อยากปล่อยภายในปีนี้แ ต่ว่าน่าจะไม่มีทางทำทัน
เพลงที่สองทำเสร็จไปแล้วประมาณกี่เปอร์เซ็นต์
ภูมิ : ตอนนี้เดโม่ใกล้เสร็จแล้ว
แอบบอกได้ไหมว่าจะคล้ายกับเพลง Lover Boy ไหม
ภูมิ : ถ้าถามว่าคล้ายมั้ย ในโซนดนตรีผมว่าไม่คล้ายนะครับ ไม่อยากให้คนคาดเดาทางเพลงได้
เเปลกใจขนาดไหนที่คนสนใจเพลง Lover Boy เยอะขนาดนี้
ภูมิ : แปลกใจมากครับ เพราะว่าเหมือนแต่ก่อนไม่ได้รู้สึกว่าเราเปลี่ยนไปขนาดนั้น แค่ดนตรีเรามันไม่ใช่เพลงแนว Feel Good ที่เราทำมันมีอีกเพลงหนึ่งที่เราทำเหมือนไปลิงค์ ให้คนต่างประเทศฟังก่อนชื่อเพลงว่า Long Gone ซึ่งปล่อยก่อน Lover Boy หลายเดือนอยู่ ตอนที่ปล่อย Long Gone ไปคนไทยก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร แต่พอปล่อยเพลงนี้ออกไปก็ตกใจว่าทำไมคนไทยกลับให้ความสนใจเฉยเลย ก็รู้สึกดีครับและแฮปปี้มาก
ต้องปรับตัวในเรื่องของการแสดงโชว์ไหมเพราะเราเริ่มมีแฟนคลับและความคาดหวังของแฟนคลับก็มากขึ้น
ภูมิ : ก็ต้องปรับครับ ขึ้นทุกสามโชว์ต้องมารีอะเรนจ์ ไม่ใช่แค่ให้คนดูไม่เบื่อ แต่ต้องให้ตัวเองไม่เบื่อในการเล่นดนตรีด้วย เราจะต้องลองเล่นอะไรใหม่ๆ ด้วย
ตอนนี้นอกจากจะโชว์ปกติแล้วกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ด้วยเป็นยังไงบ้างครับ
ภูมิ : ดีใจมากครับเป็นคอนเสิร์ตจัดเต็มที่สุดครั้งแรกที่จัดกับทาง Very Company และได้ขึ้นคู่กับ Boy Plabo ซึ่งแนวทางเขาก็จะคล้ายๆ ภูมิ คือเป็น YouTube Recommendation ติดในชาร์ตลิสต์เดียวกัน เล่นวันที่ 24 พ.ย. แล้ว 25 พ.ย.ก็จะได้ไปเล่นที่มะนิลาพร้อมกันอีก ก็ดีใจมากละรู้สึกว่าค่อนข้างเร็วนะครับสำหรับเด็กที่มีอัลบั้มเพียงแค่ชุดเดียวเพราะตั้งแต่ตอนทำอัลบั้มแรกเสร็จก็อยากจะมีงานเปิดอัลบั้ม ก็ไม่ได้จัดสักทีจนมาอีกทีก็เป็นคอนเสิร์ตเราเองเลย ก็ดีใจ
รู้จักวงนี้อยู่แล้วใช่ไหมกับ Boy Plabo Lover Boyแนวเพลงเค้าคล้ายกับเพลงเราเลย
ภูมิ : รู้จักครับ ใช่ครับ
แล้วถ้าเขาเอาเพลง Lover Boy ขึ้นไปเล่นก่อนทำยังไงอะ
ภูมิ : ผมก็ขโมยเพลงเขามาเล่นบ้าง แลกกัน Trade กันได้ (หัวเราะ)
ได้คุยกับทางเค้าบ้างไหม
ภูมิ : ยังไม่ได้คุยเลยครับ แต่ก็จะมีโอกาสได้คุยเพราะจะมีอีกงานหนึ่งที่เราได้ไปเล่นด้วยกันอีก
เวลาไปเล่นเมืองนอกคนดูต่างจากบ้านเราไหม
ภูมิ : ต่างนะครับเพราะว่าเหมือนเราไปเมืองนอกแล้วเราเป็นศิลปินนอก คือมันเป็นความรู้สึกที่เขามองเราอาจจะไม่เหมือนกับที่เมืองไทยเพราะทุกคนคุ้นเคยและเห็นเราบ่อยแล้วอย่างล่าสุดเราไปเล่นฮ่องกง ,สิงคโปร์ กับอินโดนีเซีย สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือเขาจะร้องเพลงเราได้แม้กระทั่งเพลงเก่าๆ ที่มันดาร์กๆ เขาก็ร้องตามได้ คือมันรู้สึกเหมือนกับเราไม่ได้ไปแค่เพลงดังของเรา แต่เขาชอบ Discography ของเราด้วย
รู้สึกยังไงบ้างที่เส้นทางของภูมิดูมีความราบรื่นไปหมดเลยเหมือนพอมีเพลงออกมาเพลงก็ดังและได้มีคอนเสิร์ตใหญ่ทุกอย่างดูเร็วมาก
ภูมิ : (หัวเราะ) ดีใจครับ แล้วก็ไม่ได้อยากให้มันราบรื่นแบบนี้ตลอดไปนะ อยากให้มันมีความท้าทายด้วย ก่อนหน้านี้กว่าภูมิจะได้มีชื่อในวงการจริงๆ ก็ต้องอธิบายกับทางที่บ้านเหมือนกันว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ก็อยากจะต่อยอดตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ถึงกระแสมันจะมาก็ไม่ได้อยากจะเกาะกระแสนี้ต่อไปอีก ผลงานต่อๆ ไปก็อยากทำให้มันแปลกใหม่และสร้างสรรค์อยากให้เด็กรุ่นใหม่ๆ ดู และสร้างแรงบันดาลใจ
คาดหวังไว้ในฐานะ Artist ยังไงบ้างครับ
ภูมิ : อยากจะท่องเที่ยวอย่างงี้ต่อไปเรื่อยๆ ท่องเที่ยวแบบแลกค่าตั๋วเครื่องบินกับการร้องเพลง การทำงานไปด้วยและท่องเที่ยวไปด้วยอยากทำแบบนี้ต่อไป พอได้ทัวร์นอกประเทศทำให้เรารู้เลยว่านี่คือสิ่งที่เราอยากจะทำ มันสนุกมากกับเวลาที่เราไปอยู่ในที่คนแปลกหน้าที่เราไม่เคยเจอมาก่อนในเวลาชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่งที่เราเล่นดนตรีเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เราก็มาอยู่ร่วมกัน มันเป็นความรู้สึกที่ผมชอบมาก อยากจะไปเที่ยวไปทวีปแปลกๆ อย่างอินเดีย อยากไปเล่นที่ไหนก็ได้ที่แปลกๆ (หัวเราะ) ถ้าเขาจ้างผมก็ไป
เรื่องดนตรีแบบภูมิ
Lover Instrument
ภูมิ : กีตาร์ตัวแรก คือ Yamaha C-40 ที่มันเป็นกีตาร์คลาสสิค เล่นแล้วรู้สึกว่ากีตาร์มันเล่นยาก (หัวเราะ) คอมันใหญ่แล้วเวลาจับคอร์ดมันจับยาก คือเป็นกีตาร์ที่ไม่เหมาะที่จะต้องมาจับในรูปแบบบาร์คอร์ดทำให้จับคอร์ด F ไม่ได้ถึงทุกวันนี้ (หัวเราะ) คือยังจับ F แบบโกงๆ ไม่จับบาร์คอร์ดเวลาเล่นคอร์ด F แต่กีตาร์โปร่งที่เป็นสายเหล็กตัวแรกเป็นกีตาร์ Tanger ของจีน ตัวนี้ก็ทำให้จับ F ได้คล่องขึ้น (หัวเราะ) ส่วนไฟฟ้า เป็น Epiphone ทรง Les Paul
Lover Groove
ภูมิ : คอร์ดแรกที่จับได้น่าจะเป็น Dmaj7 เพราะมันง่าย คือพอผมได้กีตาร์โปร่งก็ซื้อคอร์ดชาร์ตมาและอันที่ดูง่ายสุดก็คือ Dmaj7 ง่ายมากแค่เอานิ้วชี้มาแปะนั่นคือคอร์ดแรกที่จับได้ ก็ฝึกดีดคอร์ด ประมาณปีครึ่งสองปีครับ ภูมิเป็นคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ถนัดสาย Lead เลย เพราะใช้ปิ๊คไม่ได้นิ้วหมือมันก็ไม่ไป เพราะแต่เดิมเรามีพื้นฐานมาจากกลองก็เลยรู้ตัวว่าเป็นสาย Rhythm ตั้งแต่นั้นมา
Lover Hero
ภูมิ : ภูมิเริ่มแกะเพลง Neon ของ John Mayer ตั้งแต่เราเล่นกีตาร์ได้ประมาณ 2 ปี ทุกวันนี้ก็ยังเล่นเพลงที่เราเคยเล่นมาเล่นทุกครั้งก่อนจะมาจับกีตาร์เป็นเหมือนการวอร์มอัพ เหมือนฝึกกีตาร์ข้ามสเตปไปเลย ที่อยากเล่นเพลงนี้ได้ เพราะว่าดูคอนเสิร์ตที่เขาไลฟ์แล้วเล่นคนเดียวแล้วเราดูแล้วรู้สึกว่าแบบโห..เล่นไปด้วยร้องไปด้วยถ้าเราทำได้คนดูน่าจะความประทับใจแล้วเราเองก็ภูมิใจด้วย ซึ่งพวกคอร์ดที่ผมจับ ก็ได้จากการแกะคอร์ด John Mayer วิธีแบบเล่นคอร์ด Open Shape ที่เขาใช้ แล้วบางเพลงมือเขาจับแปลกมากๆ ถือว่าเป็นอาจารย์ของผมเลย
60’s Boy
ภูมิ : ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่าทำไมเราเสียงออกไปทางนั้น เหมือนคนเขาเคยคอมเมนต์มองว่าเราร้องแบบแนว Frank Sinatra ผมก็ดีใจ และก็ไม่รู้ว่าทำไมเราร้องสไตล์นี้ อาจจะเป็นเพราะผมเคยอยู่วงประสานเสียงแจ๊ซ แต่ก็ไม่รู้ว่าได้แรงบันดาลใจตอนไหน คือตั้งแต่ 18 ก็รู้ตัวเองว่าเสียงแตก เสียงจะแหบๆ เวลาร้องเพลงอาจจะมีการใช้เสียงที่มีความแจ๊ซ แต่ผมเองไม่ได้ฟังเพลงที่แจ๊ซจ๋าขนาดนั้น จะฟังแบบ Nat King Cole, George Benson ที่มีความแจ๊ซแบบผสมกับโซลอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้ดัดครับเสียงเลยเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็จะมีคนแซวว่าทำไมเสียงแก่จังอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไรถ้าเขาจำเสียงผมได้ก็โอเคแล้ว
Solo Boy
ภูมิ : จริงๆ ก็มีโซโล่บ้าง จะเน้นโชว์สกิล Rhythm มากกว่า เช่นไลน์เบสเก่าๆ อย่างไลน์เบสของ Bee Gees เพลง Stayin Alive ไม่ก็แบบ Stevie Wonder เพลง Superstition ที่เราสามารถโชว์ความโจ๊ะของเราได้ (หัวเราะ) ผมจะชอบโซโล่แบบนั้น รู้สึกว่าแปลกดี ไม่ค่อยมีใครโซโล่แบบนี้ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ ผม อยากโซโล่ให้ได้แบบ Tom Misch แนวแจ๊ซผสมบลูส์คือความรู้ดนตรีเรายังสูงไม่พอ เราเลยยังทำไม่ได้แต่ในอนาคตอยากจะฝึกและเรียนรู้ไป
Effect Boy
ภูมิ : ตอนนี้มีน่าจะ 6 ก้อนแล้วครับตัวหลักมี Reverbของ Strymon Flint แล้วก็ใช้ Small Clone ของ Electro-Harmonix เป็น Chorus เพิ่งไปได้ Pog Nano Electro-Harmonix อีกตัว เริ่มติดใจ แล้วก็มี Drive ของ Ibanez Mini Tube Screamer เอาไว้กด Drive นิดนึง แต่ชอบใช้ที่สุดคือ Wah Wah ของ VOX ซึ่งเหยียบก็ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่มันก็ทำให้ดนตรีมันมี Texture ดีชอบครับ
Favorite
คอร์ดเมเจอร์เซเว่นที่ชอบที่สุดคือคอร์ดอะไร
ภูมิ : ยกให้เป็น Dmaj7 ครับเพราะมันเป็นคอร์ดแรกที่จับได้
แล้วไมเนอร์เซเว่นละ
ภูมิ : Dm7 (หัวเราะ)
แล้วถ้าคอร์ดดอมิแนนท์เซเว่นจริงๆ ละ
ภูมิ : ก็ยังเป็น D7 (หัวเราะ) ง่ายดี
ถ้าสมมติว่าเป็นเนื้อเพลงที่เป็นท่อนที่ทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้เรามีมั้ยครับ
ภูมิ : ถ้าไม่ใช่เพลงของตัวเองก็น่าจะเป็น Everything’s Gonna Be Alright ของ Bob Marley เพลงนั้นเลยครับ มันคือแรงบันดาลใจทุกๆ ด้านเลยครับทั้งในชีวิตทางด้านดนตรีและทุกๆอย่าง OKจริงๆ
มีด้านความรักไหม
ภูมิ : ด้านความรักก็คงต้องเป็นของ Everything’s Gonna Be Alright ของ Bob Marley อีกเช่นกัน
ฝากผลงานกับแฟนๆ หน่อยครับ
ภูมิ : สวัสดีครับ Phum Viphurit ตอนนี้มีอัลบั้ม 1 ชื่อว่า Manchild หาฟังได้ที่ YouTube ก็ได้ Spotify, Apple Music, iTunes ที่ไหนก็ได้ และก็ซิงเกิ้ล Lover Boy ถ้าใครไม่เคยฟังก็หาฟังกันได้ หวังว่าจะได้เจอกับทุกคนที่เวลาที่ภูมิไปแสดงสด แล้วฝากคอนเสิร์ต Very Live : Phum Vipurit & Boy Pablo วันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ Moonstar บัตร Early Bird 1,500 ส่วนราคาปกติ 1,800 ฝากด้วยนะครับ อยากจะเจอทุกคนรวมถึงชาว The Guitar Mag ด้วยครับ
ขอขอบคุณ : เมย์ PR ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ