ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลงที่มีเอกลักษณ์เป็นอย่างสูง การร้องที่หาใครเลียนแบบได้ยาก จากนักดนตรีอินดี้ จนมาถึงทุกวันนี้ ชื่อเสียงของเค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะพูดว่าเริ่มอยู่ตัว ในวันที่สภาวะการเคว้งคว้างแบบนี้ เขาจะต่อยอดชื่อของ “สิงโต นำโชค” ให้ไปในทิศทางไหน การแข่งขันกับทั้งตัวเองและคลื่นลูกใหม่ที่ถาโถมมาเรื่อยๆ เขาจะยังโต้คลื่นกระแสเพลงได้หรือไม่ อัลบั้ม Just Have Fun With It อาจจะเป็นคำตอบให้ตัวเขา และทุกๆ คน ได้รู้ นี่คือเรื่องราวของ “สิงโต นำโชค” ในวันที่ต้องก้าวไปในวงการเพลง
Just Have Fun With It อัลบั้มแห่งความสุข
สิงโต : เป็นอัลบั้มของผมที่มีคอนเซ็ปต์ง่ายๆ ว่าเราอยากสนุกไปกับการทำงาน เมียผมเป็นคนคิดชื่อนี้ให้ (หัวเราะ) คือเขามองว่าผมทำงานเยอะ ไปทัวร์เยอะแล้วจะเครียด แต่จริงๆ มันสนุกจะตาย (หัวเราะ) ก็เลยเอาเป็นคอนเซ็ปต์นี้ ก็ร่วมงานกับพี่กิจแจ๊ซ, พี่ตั้ม Monotone ทีมเดิมเลย ซึ่งดนตรีค่อนข้างหลากหลายกว่าที่เคยเป็น แต่ก็ไม่ได้หลุดความเป็นเรานะ อย่างเช่นเพลง Will You Marry Me ที่มีซาวด์แบบ Acid Jazz นิดๆ กิอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมมีความรู้สึกว่าในอัลบั้มนี้ เพลงทั้งหมดจะถูกทำโดยมีความคิดหลักๆ ว่าผมอยากจะทำเพลงแบบไหน ณ ตอนนั้น คือพอมันมีโอกาส แล้วเรามีอารมณ์ร่วมกับดนตรีในแบบนี้ ก็จัดการสร้างมันขึ้นมาเลย จะได้ไม่ต้องไปรู้สึกเสียดายทีหลังว่า เอ๊ะ! ทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนี้ออกมานะ ก็เลยมีแนวดนตรีค่อนข้างหลากหลาย แต่เนื้อหาก็ยังคงความเป็น สิงโต นำโชคนั่นแหล่ะ ผมไม่อยากจะไปยึดติดว่าจะต้องเป็นเพลงอะไรสไตล์ไหน ถ้าจะจำกัดความก็เป็นเพลงป็อปสไตล์ สิงโต นำโชค ดีกว่า ทุกอัลบั้มที่ผ่านมามันเกี่ยวเนื่องกับช่วงชีวิตที่ผมอยู่ด้วย ชุดแรก อยู่ทะเล ก็ออกเป็น Surf Music ชุดสองอยู่กล้วยน้ำไทย ชุด 3 อยู่กิ่งแก้ว จะไป Surf มันก็คงแปลก (หัวเราะ) เพลงที่ปล่อยๆ ออกมาที่เห็นก็เป็น 6 เพลง ในอัลบั้มนี่ มีลึกกว่านั้นอีก มีเป็นคันทรี่ย์ด้วย พูดมาแบบนี้
อาจจะสงสัยว่าทิศทางผมจะเป๋มั้ย เพราะมีเพลงหลากหลายแนวมาก แต่ผมว่าคำว่า “เป๋” คือ คิดอะไรไม่ออกมากกว่า ดนตรีสมัยนี้มันคาดเดาอะไรไม่ได้หรอก เอาสนุกไว้ก่อนดีกว่า ดีกว่าทำอะไรไม่รู้ที่เราไม่สนุกเลย แล้วไม่เกิดผลอะไรเลย
ความสุขที่เหมือนเดิม
สิงโต : ผมรู้สึกเหมือนตอนที่ทำอัลบั้มชุดแรก ผมคาดหวังแค่นั้นจริงๆ นะ ให้มีความสุขเหมือนตอนนั้น เพราะเอาจริงๆ ชุดแรกผมก็ไม่ได้หวังว่ามันจะฮิต หรือ ติดชาร์ต แต่ละเพลงก่อนหน้านี่เราก็ไม่ได้หวังว่าจะให้มันดัง แต่มันก็ไปของมันเอง เพลง “ทิ้ง” กับ “อยู่ต่อเลยได้ไหม” ก็ไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบ เฮ้ย! เพลง “ทิ้ง” มันดัง ติดชาร์ต ต้องทำแบบเดิม สุดท้ายเพลง “อยู่ต่อเลยได้ไหม” ก็เป็นแบบโซล โมทาวน์ ซึ่งคนละแนวเลย ก็ไปของมันได้ ซึ่งผมก็เดาไม่ได้ แล้วถ้าถามความคาดหวังผมคืออะไร ณ ตอนนั้น ผมก็ตอบไม่ได้ ผมแค่ชอบเพลง แนวนั้น พอมาชุดนี้ ผมจะต้องทำแบบเพลง อยู่ต่อเลยได้ไหม หรือเปล่า แน่นอน ผมคิด แล้วลองทำแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผลลัพธ์ออกมาแบบนั้น สุดท้ายเราก็ทำงานในแบบที่เรารักนั่นแหละ เอาเราเป็นตัวตั้งไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เราหลงทิศ หลงทาง คือคำว่าหลงทิศทางเนี่ย สำหรับผมคือการทำอะไรซ้ำๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดิมนะ เอาแบบไม่โลกสวยนะ คือถ้าทำแล้วได้ผลแบบเดิม ผมก็จะทำ แต่มันไม่มีทางไง ผมลองแล้ว (หัวเราะ) ดังนั้นแล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้เราแฮปปี้ กับการที่เราทำงาน ฝากชีวิตไว้ที่ยอดวิวเหรอ แล้วถ้ายอดวิว มันไม่ได้ ชีวิตเราไม่พังเหรอ อะไรที่อยากทำก็ไม่ได้ทำเลยนะ ก็กลายเป็นไม่ได้อะไรเลย
Song Guide By สิงโต
Will You Marry Me : เพลงนี้เป็นเพลงเปิดอัลบั้ม ก็เกี่ยวกับความรักที่ต้องขอแฟนแต่งงาน เป็นอีกสเต็ปนึง เป็นความรักที่เราจะต้องเดินกันต่อไปหลังจากนี้ ซาวด์จะออกไปทางที่ผมไม่เคยได้ทำมาก่อน ออกไปทาง Acid Jazz
น่าดู (feat. YoungBong, ว่าน วันวาน) : ผมเป็นผู้ชายอบอุ่น รักครอบครัว แต่ก็ต้องมีด้านที่ดุดันบ้าง พอได้ดู YouTube เห็นพวกนี้ พวก YB ก็สนใจ ดูน้องๆ มันดุดันดี (หัวเราะ) เลยลองติดต่อไป ซึ่งน้องๆ น่ารัก จริงๆ ผมก็ชอบแนวนี้อยู่แล้วนะ แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำ
Goodbye : สำหรับคนที่ชอบเพลงสไตล์เก่าๆ อย่าง “ทิ้ง” ผมแนะนำเพลงนี้ เป็นซาวด์แบบกีตาร์โปร่งตัวเดียว ง่ายๆ ไม่มีเครื่องอะไรเยอะ แต่ว่าอย่างที่บอก ถ้าผมยึดเพลงนี้ไว้เป็นหลัก ทำเพลงง่ายๆ แบบ สิงโตอีก ผมก็จะหมดโอกาสในการทำเพลงสไตล์อื่นๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบเพลงนี้นะ แค่จะบอกว่าเพลงสไตล์นี้ผมก็ยังเล่นยังร้องอยู่
ต๊อก : ผมมีความคิดว่าในขณะที่เราได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ที่เก่งเพลงแจ๊ซ อย่างพี่กิจแจ๊ซ ทำไมเราจะไม่ทำเพลงสไตล์นี้ออกมาล่ะ มันจะเสียโอกาส ซึ่งมันอาจจะฮิต ไม่ฮิตไม่รู้ แต่ครั้งนึงในชีวิตเราได้ทำดนตรีสไตล์นี้ ซึ่งเราก็อยากทำมาก ผมได้มีเพลงแจ๊ซ ที่มันออกมากลายเป็นเพลงป็อปๆ เหมือนเพลงนี้ การที่เราได้ร่วมงานกับคนที่ทำเพลงแบบนี้ออกมาได้ ทำไมเราจะไม่ทำล่ะ
You Gonna Like It (Feat. The Vintage) : เพลงนี้มีความมัน เป็นคันทรี่ย์ แบบ 50’s เลย เป็นอะไรแปลกๆ ที่ผมได้ลองทำ แล้วกับ The Vintage ซึ่งผมเคยไปเห็นวงเค้าในผับ ก็ชอบเลย ลองมาแจมกัน
สิงโตวันแรก กับวันนี้
สิงโต : ผมว่ามนุษย์เปลี่ยนทุกวันนะ โลกมันเปลี่ยนทุกวัน ผมสังเกตทุกๆ ศิลปินนะ อย่างผมชอบ John Coltrane ผมไปบอกอาจารย์ผมว่าผมชอบ John Coltrane ก็ถูกถามกลับมาว่าชอบยุคไหน ดนตรีมันก็เหมือนงานศิลปะ มันอยู่ที่ตัวศิลปินรู้สึก ณ ตอนนั้น ผมอาจจะเขียนเพลงเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่ผมก็พยายามเขียนเพลงที่ผมรู้สึก ณ ตอนนั้น วันนึงผมอาจจะไม่ได้อยากทดลองเพลงยากๆ เหลือแค่กีตาร์ตัวเดียว หรืออาจจะมีเครื่องดนตรี เยอะแยะไปหมด หรือผมอาจจะกลายเป็นป็อปไปเลยก็ได้ ไม่รู้จนกว่าจะถึงตอนนั้น ผมไม่ชอบวางแผนกับดนตรีนะ ผมแต่งเพลงเก็บทีไร ไม่เคยได้เอามาใช้เลย
สิงโต นำโชค เป็นใคร
สิงโต : ตอนนี้มีคนรู้จักผมเยอะขึ้น มันมีช่วงแรกๆ ที่ผมรู้สึกตกใจนะ จากนักดนตรีอินดี้เล่นในผับ เรามองศิลปินดารา จากในจอทีวี จนวันนึง เรามายืนตรงนี้มีคนฟังเพลง มีคนขอถ่ายรูป เรารู้สึกประหลาดใจ แต่พอทำไปนานๆ สุดท้ายแล้ว ผมรู้สึกว่าผมก็คือนักดนตรีเหมือนเดิม เพียงแต่เรามีโอกาสในหลายๆ พื้นที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นนักดนตรีเหมือนกัน แน่นอนสังคมอย่างวงการแสดง ก็จะต่างจากที่เราคิด ตอนนั้นเรามองจากข้างล่าง ซึ่งพอเราเข้ามาจริงๆ เราเห็นว่าทุกคนน่ารัก เป็นกันเอง และทุกคนทำงาน อย่างดาราที่เราเห็นคือพวกเขาเป็นดารา แต่ตัวตนของเขา เขามองว่าตัวเองเป็นนักแสดงมืออาชีพด้วย ทำการบ้าน ไม่ใช่อยู่ๆ มาแล้วก็ดัง จากที่เราเข้าใจเมื่อก่อน เขาคงหน้าตาดีมั้ง เลยได้เป็นดารา แต่พอมาเห็นจริงๆ คือคนเหล่านี้เป็นมืออาชีพ หน้าตาดี เก่งด้วย ซึ่งมันทำให้ผมมาปรับใช้กับวิถีชีวิต ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย
สิงโต Diary
เสก โลโซ : เป็นคนแรกที่ทำให้ผมเล่นกีตาร์ ตอนแรกผมชอบพี่โบ สุนิตา ชอบร้องเพลงอย่างเดียว พอเพลงพี่เสก มา มีเสียงกีตาร์ ร้องเพลง รู้สึกมันเท่มาก เลยฝึกเล่นกีตาร์ใฝ่ฝัน อยากจะเป็นนักดนตรีเพราะพี่เสก
Mono : เป็นวงแรกในชีวิต ตอนอายุ 19 ที่ทำให้ผมได้มีอัลบั้ม มีผลงาน เพลง กลัวความสูง ทำให้คนรู้จัก แต่ผมอยู่ในฐานะมือกีตาร์นะ
Ukulele : ผมไม่เคยรู้จักเครื่องดนตรีชนิดนี้มาก่อน แต่ผมเห้นมันแขวนอยู่ และคนขายบอกว่ามันเล่นได้ ฝรั่งเคยเล่น เล่นเป็นเพลงได้ ราคาพันเดียว (หัวเราะ) ก็เลยซื้อมาลองเล่น ไปฝึกเล่นในร้านเน็ต คนอื่นเล่นเคานต์เตอร์กัน แต่ผมเอาหูฟังดีด Ukulele ฝึกดีดในร้าน (หัวเราะ) พอเอามาทำอัลบั้ม ก็จังหวะมันดังพอดี ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มอะไรหรอกนะ
What The Duck : อันนี้ผมต้องเท้าความ ไปถึง Believe ด้วยนะ พอหลังจากผมทำ Mono มา ไปอยู่ภูเก็ต จนมาอยู่ Pollen Sound ได้โอกาสทำอัลบั้ม กับ Believe จนมาถึง What The Duck ทีมงานยังทำให้ผมประทับใจเสมอจนถึงวันนี้
เต็น ธีรภัค : เขาเป็นอาจารย์คนแรก ที่ทำให้รู้ว่าการอัดกีตาร์ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราเล่นมาทั้งหมดใช้ไม่ได้เลยเวลา ไปอัดจริงๆ และผมได้มีโอกาสเป็นมือกีตาร์แบ็คอัพครั้งแรก ก็เพราะแกนี่แหละ สอนแต่งเพลงก็พี่เขาเลย
กิจแจ๊ซ : คนนี้ก็เป็นอาจารย์คนต่อมาที่ทุกวันนี้ความรู้ใหม่ๆ แกมาเติมเต็มให้ผมตลอด พวกคอร์ดแปลกๆ ใหม่ๆ แกเป็นคนสอนผมหมด
คุณแม่เฉพาะหน้า คุณย่าเฉพาะกิจ : ก็เป็นละครที่ทำให้ผมได้ขยายฐานจากนักดนตรีอินดี้ กลายเป็นมีคุณป้ารู้จักผม Facebook ผมคนตามเยอะขึ้น แต่จะไม่เรียกสิงโตนะ เรียกไอ้แคนๆ (หัวเราะ) ตองหลังก็ไม่ค่อยได้เล่นละคร เดี๋ยวคน ลืมชื่อ สิงโต (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ
Don’t Lose The Money Thailand : ก็เป็นงานพิธีกร แรก โจทย์คือเขาอยากได้พิธีกร ที่ไม่ใช่พิธีกร แล้วทางรายการเขาเห็นผมพูด ก็เลยได้ลองไปทำ ก็ทำได้ปีเดียว เขาก็เลิกทำ (หัวเราะ) กลายเป็นของหายากไป (หัวเราะ)
The Voice : อันนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนรู้จักผมมากขึ้นไปอีก การไปเป็นโค้ชตอนแรกผมกังวลมากนะว่าเราจะให้อะไรผู้เข้าแข่งขันได้ สุดท้ายเป็นตัวเราเองที่ได้ อะไรกลับมาอีกเพียบเลย ซึ่งที่เห็นๆ เลยคือกระแสโซเชี่ยล ทำให้ผมรู้ว่าเราต้องไม่ไปจมกับอะไรที่มันถ่วงเราก็มีภูมิคุ้มกันมากขึ้น ยิ่งผมทำงานกับ YB ทำให้ผมเข้าใจได้มากขึ้นอีก
กีตาร์ : ผมก็ใช้ Taylor กับ PRS ก็ต้องขอบคุณ Music Collection ที่เอื้อเฟื้อนะครับ
ฝากผลงาน
สิงโต : ก็อัลบั้มปล่อยไปแล้วนะครับ ได้ทุกช่องทาง Streaming ครับ ฝากฟังอัลบั้มนี้ด้วยนะครับ
ขอขอบคุณ : เฟิร์ส / วิ PR What The Duck ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ