หนึ่งในอินดี้ตัวพ่อของวงการเพลง ภาพลักษณ์ ของ ทวน ก็ดูจะเป็นแบบนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วแนวความคิดของเขาต่างหากที่น่าจะเรียกว่า อินดี้จริงๆ แล้วไอ้คำว่า “อินดี้จริงๆ” มันเป็นยังไง เป็นรูปแบบไหน เราลองมาพูดคุย และรู้จักกับเขาสักเล็กน้อย กับผลงานใหม่จาก Tuan Thailand อัลบั้ม Land Of Smile และแนวทางการคิด การทำงาน ของ อินดี้แมนตัวจริงคนนี้
มาอยู่สนามหลวงมิวสิคได้อย่างไร
Tuan : ค่อนข้างซับซ้อนนิดนึงนะครับ (หัวเราะ) คือตัวผมกับทางสนามหลวงมิวสิค เป็นคู่ค้ากัน จะคุยกันเรื่องงาน พวกดูแลเอเยนซี่ จัดงานอีเวนท์ก่อนหน้านี้ผมเรียกว่าเป็นลูกค้านั่นแหล่ะ ดีลงานอะไรแบบนี้ คราวนี้เรื่องก็เริ่มมาจากที่สนามหลวงฯ จ้างผมทำ Road Show ซึ่งเป็นช่วงที่ผมก็ทำเพลงอยู่ ถ้าใครทราบอัลบั้มผมหลักๆ ก็จะทำอยู่เรื่อยๆ กับทางญี่ปุ่น แต่พอดีครั้งนี้ทำเพลงผมทำเป็นเนื้อไทย ทำในไทย ก็เลยได้คุยกับ พี่ เปิ้ล จิราภรณ์ สุมณศิริ ที่ดูแลค่ายสนามหลวงฯ คือแกก็เคยชวนๆ ผมอยู่บ้างแรกๆ ก็ชวนแบบ ทีเล่นทีจริง พอครั้งที่ 3-4 ก็เกิดจริงจัง เลยได้มาเซ็นต์สัญญากัน ซึ่งพี่เปิ้ลก็บอกว่าให้เราทำเพลงอิสระเต็มที่ แต่ขอร้องอย่าให้มีคำหยาบ (หัวเราะ) ก็เลยได้ร่วมงานกัน ประกอบกับทางสนามหลวงฯ เองก็มีแนวคิดที่อยากให้วงดนตรีได้ไปเล่นข้างนอกประเทศบ้าง ประมาณว่าอยากจะให้เราเป็นหัวหอกที่พาวงน้องๆ ออกไปสู่อัลเทอร์เนทีฟ และอินดี้ข้างนอกบ้าง เลยเป็นที่มาของการเซ็นต์สัญญาครับ จะซับซ้อนนิดนึง (หัวเราะ)
ผลงานของ Tuan
Tuan : ก็จะเป็นแนวเดิมครับ แต่คราวนี้ไม่มีคำหยาบ (หัวเราะ) สไตล์อัลเทอร์เนทีฟเมทัลครับ จะหนักหน่วงนิดนึง แต่ก็มีท่อนคอรัสอะไรแบบนี้ ชื่ออัลบั้มว่า The Land Of Smile ที่ฟังดูขัดๆ แต่ก็มีความหมายอยู่นิดหน่อย ยุคนี้ผมว่าเป็นยุคที่มันตลกนะ หลายอย่างมันมีความน่ารักน่าชัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข่าวคราวที่เราเห็นตามสื่อ หลายสิ่งอย่างมันชวนให้เรายิ้มได้ สนุกสนานขำๆ เหมือนมีปาหี่ให้ดูทุกวัน (หัวเราะ) อะไรแบบนี้ หลายสิ่งหลายอย่างที่มันควรเหตุผลมันก็เป็นเหตุผลแบบแปลกๆ มันฮาดีทำให้เรายิ้มได้ หลายเพลงมันก็จะมีอะไรแอบแฝงอยู่บ้าง
แนะนำเพลงอัลบั้มใหม่
Tuan : เพลงแรกชื่อ 1,000 Miles เพลงนี้มันมีเรื่องของมันอยู่ คือผมทำโปรเจ็กต์อยู่อันนึงที่ชื่อ 1,000 Miles คอนเซ็ปต์ของโปรเจ็กต์ ซึ่งมันก็คือชีวิตคนเรามีความหวัง ถ้าเราคิดถึงที่ไกลที่สุดคือ ไมล์ที่พันเห็นแล้วท้อแน่นอน แต่ว่าถ้าทำได้ง่ายสุดคือเริ่มด้วยไมล์ที่ 1 ก่อน ก็คือผมกำลังจะหาวงเปิดที่จะไปเล่นกับผมสิ้นปีที่ญี่ปุ่นด้วยกัน 1 สัปดาห์เต็มเล่นทุกวัน หาวงไปเล่น1วง แล้วหา นักศึกษาทางด้านภาพยนตร์ 1 คนไปเก็บภาพ 1วง กับ 1 คน เพื่อ ไปหาไมล์หลักแรกในชีวิต ก็คือการที่เราจะมีผลงาน บางทีมันไกลๆ เป็นพันไมล์ที่จะต้องไปถึงตรงนั้น แต่ว่าบางคนยังไม่เริ่มเลยก็เหนื่อยแล้ว ผมก็เลยแบบว่าใจเย็น เดี๋ยวพี่ช่วยหาไมล์แรกด้วย กับการไปเล่นที่ญี่ปุ่นเลย ซึ่งก็คุยกับสายการบินไว้ ก็พาไปทัวร์คอนเสิร์ตวงพฤศจิกายน ซึ่งเราติดต่อไว้หมดแล้ว เป็นโปรเจ็กต์ที่ลิงค์กับเนื้อเพลง 1.000 Miles ด้วย ซึ่งอัลบั้มนี้ผมทำเองคนเดียว
คาดหวังกับอัลบั้ม
Tuan : จริงๆ แล้วการที่ออกเพลงใหม่มันก็ช่วยต่ออายุในเชิงของการทัวร์คอนเสิร์ต เพราะเราก็เล่นเพลงเก่ากันมาหลายปีมาก ประมาณ 6-7 ปี วงเราอยู่ด้วยการทัวร์คอนเสิร์ตอยู่แล้ว แต่ในอีกมุมนึงที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังซึ่งผมตกใจมาก วงเก่าผม Day Tripper อยู่ดีๆ มีคนขอทำแผ่นเสียง ซึ่งผมก็รับปากไป ทำไรก็ทำเถอะ ค่าทำแผ่นละ 2,000 ทำทีนึงหลายร้อยแผ่น อัลบั้มที่ผมดูแลมี 7 อัลบั้ม ถ้าถามว่าให้ตอนนี้มันจะให้อะไรมันคงไม่ให้อะไร คงทำให้ผมเหนื่อยไปก่อน แต่ถ้าถึงวันนึงผมว่าไอ้ลักษณะการดูแลลิขสิทธิ์งานเพลงระยะยาว พอเริ่มมีคนชอบอะไรบ้างมันก็จะถูกผลิตใน Format อื่นๆ อย่างอัลบั้มแรกของผมอัลบั้มที่แล้ว ถูกทำเป็นเทป เป็นเทปคาสเซ็ตนี่ละครับ แต่มันแพงมากเลยม้วนละ 1,200 คนที่ทำเนี่ย เขากำลังทำเหมือนกับว่าเป็นสังคมเทป ก่อนหน้านั้นผมเคยไปซื้อ Boom Box ของ Greenday มา มันก็จะเป็นเทปทุกชุดเลย ผมก็งงว่าฟังอะไรวะ ปรากฏว่ามันขายกับวิทยุ คือตอนนี้ในไทยมันมี Community นี้อยู่ เขาก็จะเสพเทปที่ผลิตจากไต้หวัน ญี่ปุ่น ม้วนละ 1,000กว่าบาท แล้วเป็นเพลงไทย นี่แหล่ะแต่ทำด้วยวัสดุใหม่ คุณภาพเสียงดี ยังกับ Vinyl เลย รวมถึงตอนนี้มันจะมีสังคมของเด็กนานาชาติที่เสพ Walkman คือเขาบอกว่ากำลังกลับมา คราวนี้มันวนมาที่ความคาดหวัง ก็คือที่เล่าแหล่ะครับ ต่อยอดเรื่องของการทัวร์ และหวังว่าสักวันนึงอัลบั้มของผมมันจะสามารถทำเป็นรูปแบบอื่นซึ่งจะให้อะไรกับผมในอนาคต
ความรู้สึกต่ออินดี้ Scene ในยุคนี้
Tuan : ผมว่ายุคนี้มันบูมนะ เพราะในยุคนี้เด็กกล้าทำโดยที่เขารู้ว่าอาจจะไม่ได้อะไรเขาก็เลยใส่สุด เมทัลไปก็สุด ถ้าอินดี้ก็หาทางของเขาแล้วก็ไปสุดๆ ไปเลย แต่ผมว่าที่พีคจริงๆ ก็คือศิลปินอินดี้ต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ปู่จ๋าน, พัทลุง เขาก็ไปได้สุดทางของเขาเลยผมโคตรดีใจเลยที่มีอะไรแบบนี้ แล้ววงพวกนี้มีงานจ้างทุกวันๆ ซึ่งตรงนี้ผมว่าเป็นจุดที่ถ้าไม่ใช่ยุคนี้ทำไม่ได้ การที่แบบว่าเด็กจะแต่งเพลงอยู่ที่บ้านแล้วอัพโหลดเพลงโดยที่ไม่มี MV ไม่มีอะไรด้วยซ้ำ ออกมาแล้วคนแชร์กันต่อเป็นที่ผมว่ายุคนี้เป็นยุคที่ดีมาก อย่างในเมืองผมว่าวงที่ทำแล้วสีสันชัดเจนก็อย่าง Polycat เขาก็ไปของเขาได้มีที่ยืนของเขาได้ วงต่างๆ อย่างเช่น The Toys นี่แบบว่าซี้กันมากตั้งแต่เป็นเด็กทารกเลย เพราะผมเคยได้รับบริจาคห้องซ้อมจาก คุณแม่ นิตยา เขากำลังจะโละห้องซ้อมแล้วพอดีมือกลองผมตอนนั้นไปช่วยงานอะไรสักอย่าง คุณแม่บอกเนี่ยจะโละห้องซ้อมเอาของไปได้เลย ผมก็เลยเอารถไปขนของเลย ก็เลยทำให้ได้ห้องซ้อมของวง Day Tripper ซึ่งได้มาจาก พี่ นิตยา บุญสูงเนิน ซึ่งก็ขอกราบขอบพระคุณมากๆ ครับ (หัวเราะ) แล้ววันก่อนไปเจอ The Toys ก็คุยกันเขาตกใจมากแบบว่าพี่นี่เองเหรอที่เอาของไป เออ กูนี่แหละ(หัวเราะ)
…..ต่อต้าน Main Stream
Tuan : ผมอยู่ใน Scene อินดี้ก็จริง ผมไม่ต่อต้านครับ แต่ว่าเราอาจไม่ได้ถนัดทำเพลงแบบนั้น คืออีกหน้าที่นึงในบทบาทที่เราก็คือทำเอเยนซี่ เราขายงานทุกงานเลย ตั้งแต่จิ้งหรีดขาว ไปยัน Sudden Face Down หรืออย่างหญิงลี ก็สุดๆ เลยครับพีคมาก(หัวเราะ) ถ้าผมพูดเรื่องนี้ อาจจะมีคนผิดหวังกับผม แต่ผมขอยกตัวอย่างหน่อย ไม่ต้องไปไกล ในออฟฟิศผมนี่แหล่ะ ผมฟังเพลง “ตราบธุรีดิน” โคตรพีคเลยตรงท่อนแร็พ แต่ก็มีคนบอกว่า “พี่ฟังเพลงไรอะ” เราก็บอกเฮ้ยกูชอบมากเลยเพลงนี้โคตรเจ๋งเลย “โห…พี่แม่งอัดยังไงก็ไม่รู้ มิกซ์เสียงก็ไม่เพราะ” คือผมว่าตอนนี้ความที่ทุกอย่างมันง่ายแล้วทุกคนทำอะไรได้ง่าย บางครั้งคนเรามันมองอะไรหลายอย่างจากตัวเองมาก เช่นแบบ เฮ้ยกูก็ทำได้ แม่งง่าย…อ้าวแล้วทำไมมึงไม่ทำวะ เดี๋ยวนี้มันมีคนพูดมากกว่าคนทำ มันก็เป็นเรื่องของความสุดโต่ง เช่นแบบเฮ้ย… ไอ้นี่ไม่อีโมเลยว่ะ ความอีโมอะไรของเมิงไอ้เหี้.. (หัวเราะ) เราฟังก็งง ไอ้นี่แม่งไม่ทรูเลยว่ะ ไอ้นี่แม่งเดธปลอม ไอเหี้…สุดท้ายก็เข้าเว็ปดูหนังโป๊เหมือนกันแหละ(หัวเราะ) ไอ้ความสุดโต่งมันก็สุดโต่งได้ แต่ว่าเรื่องของการแบ่งแยกประเภทมันก็แบ่งได้ตาม Category แต่ว่าถ้ามันมีความรู้สึกต่อต้านอะไรพวกนี้ผมว่าอันนี้แหล่ะ ของปลอมนะ เพราะไอ้พวกตัวจริงๆ เขาทำงานไปไกลหมดแล้วเขาถึงตั้งหลักตั้งฐานจากดนตรีได้ ในมุมใดมุมหนึ่งไม่ว่าจะเมนสตรีมหรือไม่ก็ตาม คืออย่างพวกไม่เมนสตรีมเขาก็ทำงานด้านอื่นเช่นงานเพลงหนัง เพลงโฆษณา เขาก็จะมีพื้นที่ของตนเอง แต่ไอ้คนที่แบบว่าชอบแบ่งแยกหรือวิจารณ์ คือไอ้พวกนี้มันจะไม่ได้ทำอะไร
ฝากผลงาน
Tuan : ผลงานก็อัลบั้มใหม่กับTuan Thailand เราใช้คำว่า Thailand นะ เพราะว่าคราวก่อนไปเล่นที่เวียดนาม อันนี้โคตรโง่เลย แบบว่ามีคนมารับ ขึ้นรถตู้ ขึ้นไปนั่งเสร็จปุ๊ปมาถึงมันพาไปร้านตัดสูท สรุปก็คือขึ้นรถไปผิดคัน เลยกลับมาสนามบินใหม่ละไปเจอคนที่พาพวกเรามาเล่น เราก็เลยถามว่าเฮ้ย คำว่าทวนมันคือไรวะ เขาก็แปลว่า เสี่ย เหมือนกับบ้านเรา โรงไม้เสี่ยอัด โรงไม้เฮียสมศักดิ์ พอกลับมาก็ได้เล่าไปให้พี่ แจ็ค Jacksound ก็เล่าให้แกฟัง แกก็หัวเราะว่าโอ๊ย…โคตรตลกเลย แล้วบอกว่ามึงต้องชื่อนี้นะเว้ย Tuan Thailand แกบอกว่า ต้อง มี Thailand มารวมด้วย ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครรับไปเล่นงานไหนผิดอีกเลย (หัวเราะ) ก็ขอฝาก Tuan Thailand : The Land Of Smile ครับ เขียนจากมุมมองรอบตัวของยุคสมัยจากความฮาของพวกเรา กับเพลง 1,000 Miles มากับ1,000 Miles โปรเจ็กต์ ที่เสาะหาหลักไมล์แรกของชีวิตของน้องๆ วงดนตรีและนักศึกษาด้านภาพยนตร์ กับการเลือกวง 1 วงกับนักศึกษา 1 คน เพื่อไปร่วมทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันที่ประเทศญี่ปุ่นในเดือน พฤศจิกายนสิ้นปีนี้ เป็นเวลา1สัปดาห์ เล่นมันทุกวันเลยลองดูเป็นประสบการณ์ใหม่ ส่วนอัลบั้มก็จะออกช่วงเดือนสิงหาคม แต่ก็จะทยอยมีเพลงมาให้ฟังทุกเดือนเว้นเดือน ยังไงก็ฝากเอาไว้ ขอบคุณครับ