นี่คือวงดนตรีที่มีการเล่นสด เดือด ที่สุดวงนึงในวงการดนตรีไทย หลังจากปรากฏการณ์จากเพลง ขอ ที่ทำให้หลายคนได้เริ่มรู้จักวงดนตรีวงนี้ ในวงกว้าง Lomosonic เริ่มโด่งดัง ขยายฐานแฟนเพลง จนสามารถมีคอนเสิร์ตของตัวเองได้ พวกเรา The Guitar Mag ก็ไม่ได้พูดคุยกับพวกเค้านานทีเดียว วันนี้หลังจากปล่อยเพลงใหม่อย่าง หากโลกนี้ไม่มีความรัก เพลงในอัลบั้ม Anti-Gravity ที่ปล่อยมาเป็น Single นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกับพวกเขา ไปพบกับ Lomosonic กันได้เลย
ที่มาที่ไปของเพลงของเพลงหากโลกนี้ไม่มีความรัก
Lomosonic : พวกเราก็มีมาเยอะนะความรักเนี่ย (หัวเราะ) จริงๆ เพลงนี้ทำเสร็จไว้ประมาณ 3-4 ปีแล้วแต่จะเป็นเวอร์ชั่นที่แบบเรียบๆ แต่คราวนี้ พอสนามหลวงมิวสิคมีโจทย์ว่าให้เราลองร่วมงานกับศิลปินอื่น ซึ่งเราได้โจทย์เป็น พี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก ก็เลยต้องคิดโจทย์ใหม่กับพี่ป๊อด ว่า แกควรจะทำอะไร ขอบเขตเป็นแบบไหน แล้วแบบพี่ป๊อดร้องเพลงมาเยอะแล้ว ลองแร็พบ้างดูไหม อันนี้ตอนแรกคิดแบบตลกๆ นะ ตอนหลังพอต้องมาทำจริง มันก็เลยยากพอสมควร เพราะเราไม่มีความรู้เลย คือ บอย ฟังบ้างแต่ว่าก็ไม่ได้ลึกมาก ก็ได้ไปนั่งทำกับ นั่งเขียนกับพี่ ป๊อด ที่ Au Bon Pain พระราม 4 คือพอเขียนไปเขียนมา เราก็ได้เห็นว่าพี่ป๊อด แกมีลายมือของแก เราก็ปล่อยเลย ก็เลยแบ่งเป็น 2 บท พี่ป๊อดจะมาแนวเข้าใจโลกหน่อย ก็จะได้เนื้อหาแบบ หากโลกนี้มีแต่ความรักเจ็บจึงจะเข้าใจ แล้วพวกเราก็เล่นเป็นบทตัวร้าย เพราะโลกนี้มีความรัก มันเลยมีความคิดถึง มีความดาร์คอะไรแบบนี้ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้สรุปจุดจบนะ
ใครเป็นคนแต่งท่อนแร็พให้พี่ป๊อด แล้วพี่ป๊อดมีส่วนร่วมอะไรตรงจุดนี้หรือเปล่า
บอย : ท่อนแร็พผมเป็นคนเขียนแล้วก็ได้พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ช่วยดูรายละเอียดให้ด้วย ตอนแรกผมก็ร้องเป็นทำนอง ญี่ปุ่นมั่วๆ เข้าไป เพราะผมว่าเพลงมันก็จะออกแนวๆ นี้หน่อย แต่ท่อนฮุคพี่ป๊อดจะช่วยกันเขียนเนื้อหาเพลงขึ้นมา
ร่วมงานกับพี่ป๊อดรู้สึกอย่างไรบ้าง
บอย : เคยได้ยินคนอื่นพูดชื่นชมพี่ป๊อด พอได้มาร่วมงานด้วยกันจริงๆ รู้สึกว่ามันก็จริงอย่างที่คนอื่นเขาพูดกัน พี่ป๊อดมีความเป็นมืออาชีพ เป็นบุคคลที่มีความคิดและมีพลังเป็นบวกอย่างมาก ส่วนพลังลบก็ผมนี่แหละ (หัวเราะ) คือหลักๆ แล้วแกก็สนุกนะ แกบอกให้นี่พวกมึงให้กูทำอะไรแบบนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) กลายเป็นผมเนี่ยแหล่ะ ที่ดูเยอะ จนเพื่อนๆ บอกว่า บอย มึงก็เกรงใจพี่เขาหน่อย (หัวเราะ) คือถ้าพูดเป็นการเป็นงานนะ ก็ถ้าเป็นงานเรา เราก็ว่าอะไรที่ไม่ได้ก็ไม่อยากปล่อย อย่างที่สองเราทำงานกับ พี่ป๊อด ในฐานะแฟนเพลง เราก็อยากเห็นแบบ ชุด เสริมสุขภาพ ดุๆ หน่อย (หัวเราะ) ก็เลยออกมาแบบที่ได้ยิน
ดนตรีเพลงนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ป้อม : จริงๆ คอร์ดกีตาร์จะเริ่มมาจากบอยก่อนแล้วก็ต่อยอดมาหาอะไรให้มันดูสนุกขึ้นมาจากเดิมหน่อย ด้วยการมีจังหวะหยุด มี Tension Chord นิดนึงเพราะว่าถ้าเราเล่น ตีคอร์ดไปเรื่อยๆ มันจะไม่น่าจะดี ผมคิดถึงพวกเพลงป๊อปญี่ปุ่น ยุค 90’s ที่มันจะมีจังหวะหยุดๆ หน่อย ส่วนกีตาร์อินโทรนี่ ปิติ เลยเพลงนี้หล่อสุดๆ
ปิติ : ก็กว่าจะลงตัวใช้เวลาอยู่เหมือนกัน เล่นยากด้วย
ป้อม : ปิติ มาตรฐานสูงนะ เขาใช้เวลาในการให้รายละเอียดกับงานเยอะ 12 ชั่วโมง ต่อ 1 บาร์ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็ออกมา เท่ดีครับ
มีอะไรที่มันแตกต่างไปจากความเป็น Lomosonic เก่าๆ บ้างไหม
ป้อม : ในเพลงนี้มันมีจุดที่เรียกว่า ทำดนตรีแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อยู่เยอะ เพราะนักร้องก็สองคนแล้ว เนื้อร้องก็เยอะ ดนตรีก็เลยบางเบาลง
บอย : คนน่าจะเริ่มชินกับการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
อ๊อตโต้ : เพลงนี้อารมณ์เพลงเวลาเล่นจะรู้สึกเหมือนกับเพลง อยากจะรักแค่ไหน เล่นไปแล้วก็รู้สึกว่าดนตรีเล่นแบบนี้ก็เพียงพอแล้วไม่ต้องคาดคั้นว่าจะต้องร้องไห้หรือมีความรู้สึกที่รุนแรง
ป้อม :เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มล่าสุดของเรา เป็นเพลงโปร่งๆ สบายๆ ที่เลือกมาเป็นซิงเกิ้ลเดียวของอัลบั้ม Anti Gravity ซึ่งตอนนี้พวกเราก็ทัวร์ด้วยเพลงจากอัลบั้มนี้อยู่ด้วยครับแล้วก็เริ่มขึ้นเดโม่สำหรับอัลบั้มใหม่ต่อจากนี้ แล้วเราเริ่มค้นพบความใหม่ของวงเพิ่มมากขึ้น ส่วนเพลงจากอัลบั้มนี้จะมีซิงเกิ้ลอีก 2 เพลง บอกไปเลย (หัวเราะ)
Lomosonic : สนุกสนานแบบ Lomo ชีวิตคือการบุกตะลุย
สถานะของวงตอนนี้นิ่งหรือยังเพราะก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง
Lomosonic : ก็จะต้องดูตามกระแสว่าเขาไปกันทางไหน ณ ช่วงนี้ทางแร็พก็กำลังเป็นกระแสแต่เราก็ไม่ได้หยุดที่จะทำงาน ทุกวันนี้ก็เขียนเพลงเยอะขึ้นมาก คือตอนนี้สถานการณ์ ของวง ของค่าย รวมถึงส่วนตัวพวกเราก็เริ่มนิ่งๆ แล้ว หลักจากโอเค ว่าก่อนหน้ามันก็ผันผวนบ้าง ตอนนี้ก็เริ่มวาง Year Plan แล้ว ว่าจะทำอะไรบ้าง ก่อนหน้านี้วางแผนไม่ค่อยได้
Anti-Gravity Concert
Lomosonic : ถ้าเอาตรงๆ ตอนแรกเราคิดใหญ่กว่านี้นะ แต่ในความเป็นจริง ก็ยอมรับว่าได้ประมาณนึง ซึ่ง ไปๆ มาๆ มันดีกว่า เพราะอย่างแรกมันเพลย์เซฟ กระแสดนตรีมันผันผวนมาก เราไปมองเรื่องของสเกลงานไม่ได้ เราต้องมองที่รูปแบบงาน อย่างที่สอง เราแฮปปี้เพราะทุกอย่างมันได้อย่างที่เราต้องการ ทั้ง แสง สีเสียง คอนเซ็ปต์ทุกอย่าง คือวงเราจังหวะไม่ค่อยดีด้วย แต่สุดท้ายทุกอย่างมันออกมาดีอย่างที่ตั้งใจจริงๆ
บอย : แต่ตอนเริ่มทำน่ะเครียดมากนะครับ จบงานเสร็จผมบวชเลย (หัวเราะ) คือความตั้งใจแรกเราจะเล่น 32 เพลง โดยไม่พูด คือกะจะพูดครั้งเดียว แต่มันทำไม่ได้ในความเป็นจริง แล้วก็พวกไฟ LED ต่างๆ ทีมงานก็อยากจะให้ซิงค์กับ Data เพลงของเรา ก็มีการทำงานตรงนี้หนักมาก รวมถึงการซ้อม พูดง่ายๆ ว่า เราทำงานเบื้องหลังกันด้วยตัวเอง จนไม่สามารถไปเช็คได้ว่า บัตรมันเดินหรือเปล่า ซึ่งพอจบงานเสร็จ มันก็แฮปปี้มาก แต่ผมบอกเลยว่า อีก 6 ปี ค่อยว่ากันใหม่ (หัวเราะ) โคตรเหนื่อย ทำบ่อยๆ อาจจะตายก่อนวัยอันควร (หัวเราะ)
การคิดงานในระบบ อัลบั้ม ที่ต่อต้านแรงโน้มถ่วงของระบบ ซิงเกิ้ล
บอย : ก็เรารู้สึกว่าแรงเรายังมีก็เลยทำ แล้วผู้ใหญ่เองก็ให้โอกาส คือมันเป็น Passion ของพวกเรา ตั้งแต่เด็กๆ เรารู้สึกว่าดนตรีมันต้องเป็นอัลบั้มสิ เราเลยยังทำงาน ยังคิดแบบอัลบั้มอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้ว่าตอนนี้กระแสโลกต้องทำเพลงแบบ ระบบซิงเกิ้ลนะ เราแค่คิดว่าแบบนี้เหมาะกับวงเรามากกว่า อย่างตอนทำชุด Echo มันก็มีความรู้สึกแบบ…เมื่อไหร่มันจะจบวะ (หัวเราะ) คืออย่างบอย ก็มีงานประจำ เสร็จต้องมาอัดร้อง มันก็เหนื่อย แต่ไปเรื่อยๆ มันก็สนุก ได้ทดลองดนตรี อย่างป้อม ก็ ทดลองว่าเราเล่นกีตาร์มาเยอะ ลองไม่เล่นซิเป็นยังไง (หัวเราะ) ลองให้เครื่องเป่าโซโล่แทนอะไรแบบนี้ครับ ซึ่งพอเราทำเพลงเยอะข้อดีก็คือ เวลาไปโชว์เรามีเพลงเลือกไปใส่เยอะมาก มันก็จะไม่ซ้ำและคาดเดาไม่ได้ มันก็ท้าทายไปอีกแบบ แต่พวกเราขอบอกตรงนี้เลยว่า อัลบั้มหน้ามี แค่ 10 เพลง พอ (หัวเราะ) เหนื่อยแล้ว (หัวเราะ) ส่วนการเขียนเนื้อเพลง แล้วเรื่องที่เล่าจะซ้ำ หรือวนไปวนมาไหม จริงๆ ที่ผ่านมายังไม่มีเรื่องที่ซ้ำเพราะก็ยังตามหาตัวเองอยู่ยังมีเรื่องเกี่ยวกับความรักที่ผิดหวังอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของปิติ (หัวเราะ)
ปิติ : อ้าวววว (หัวเราะ)
ป้อม : โดนเฉย (หัวเราะ) เอาจริงๆ มันก็เป็นการแชร์ไอเดียของเรื่องที่เราได้พบ หรือผ่านเข้ามาในชีวิตนั่นแหละครับ
บอย : ซึ่งโดยหลักแล้วเรื่องที่พวกเราพูดมุมมองจะไม่ค่อยซ้ำหรอก แต่พวกคำต่างๆ ก็เลี่ยงไม่ได้ว่าต้องซ้ำกันบ้าง เพราะบางทีมันก็ต้องเป็นไปแบบนั้น
วันแรกกับที่เข้าวงการกับตอนนี้มุมมองต่างไปมากไหม
ป้อม : ต่างไปจากเดิมพอสมควร ความหวัง ความฝันก็มีความสำเร็จไปพอสมควรเวลาเล่นดนตรีก็ยังมีความสุขอยู่ดี แล้วพวกเรารู้สึกว่าพวกเราต้องขยันมากๆ
บอย : จริงๆ ก็คือเหมือนเราทำงานประจำนั่นแหล่ะครับ มันต่างกับคนทำงานประจำปกติก็แค่การตื่นที่เราตื่นเที่ยงๆ ได้ แต่สุดท้ายเราก็ต้องมานั่งบังคับตัวเองให้เขียนเพลง ต้องทำให้เสร็จตามกำหนด มันก็อาจจะได้มีเงินมากขึ้นจากวันแรกที่เข้ามา แต่ก็ไม่ได้เยอะมากกว่าเดิมสักเท่าไรนะครับ (หัวเราะ)
การไปทัวร์ต่างประเทศ–Beck-พายุ
บอย : ตอนรู้ว่าได้ไปเล่นต่างประเทศที่ Busan Rock Festival โอโหผมนี่ อย่าง พราว ตอนแรกน่ะ (หัวเราะ) คิดถึงการ์ตูนเรื่อง Beck นะ คนดูแบบสุดลูกหูลูกตา (หัวเราะ) ผมนี่แบบไปไหว้วัดพระแก้วเลยนะ (หัวเราะ)
ป้อม : แล้วภาพที่คิดคือ เล่นเสร็จจะต้องมีโปรโมเตอร์ติดต่อไปเล่นต่ออีกเพียบ แต่พอตัดภาพไป ครั้งแรก…
บอย : ไอ้สั.. พายุเข้า (หัวเราะ) เวทีมันเป็นแบบเหมือนเฟสติวัลในยุโรป หลังคามันโค้งๆ ไปข้างหน้า ทั้งลม ทั้งฝนตีเข้ามา นอนก็ไม่ได้นอน Beck ไหมล่ะมึง (หัวเราะ) ก็ไถไปจนพอไปได้ คราวนี้ครั้งที่ 2-3 ไปไต้หวัน พายุแม่งเข้าอีก แต่คราวนี้เล่นในร่ม เลยรอด (หัวเราะ) แต่ครั้งที่ 3 นี่ Beck เลย เล่นเสร็จเจอโปรโมเตอร์ของ Summer Sonic ผมนี่แบบ นี่มันหลุดมาจากการ์ตูน Beck เลยนี่หว่า มาดมาเฟียๆ (หัวเราะ) แล้วบทพูดสุดท้ายแบบ มันไม่เกี่ยวว่าจะต้องเป็นใครแต่มันอยู่ที่การทำงานหนัก แล้ววันนึงเราต้องได้เจอกัน บทพูดแม่งโคตรใช่เลย (หัวเราะ) คือ รอบ 3 นี่ แฮปปี้มาก มันทำให้เราโตขึ้น
ป้อม : คือมันทำให้เรารู้ว่าเราไปเพื่อจุดประสงค์อะไร ครั้งที่ 3 นี่เราเหมือนเด็กประกวดเลยไปแบบมีอะไรใส่เต็ม คือมันสนุกมากที่เราได้ใช้ทุกอย่างที่เรามีสร้างโชว์ดีๆ โชว์นึง
บอย : แล้วแบบเวลาวงเมืองนอกมาบ้านเรา เขา จะสวัสดีคร้าบ ผมร้ากคุณ อะไรแบบนี้ใช่มั้ย นี่ผมก็ได้พูดแบบนั้นแต่เป็นภาษาจีนนะ ได้ฟิลแบบอย่างนั้นเลย (หัวเราะ) สวัสดีครับพวกเรา Lomosonic เราพูดภาษาจีนไม่ได้แต่ก็อยากให้ทุกคนสนุกกัน ถ้าชอบเราจะกลับมาอีก (หัวเราะ) ไดอะล็อคนี้เลย ก็รู้สึกดี เดี๋ยวช่วงตุลาคม น่าจะได้ไปทัวร์พวก ไต้หวัน ไทเปกันอีก
ป้อม : ถ้ามีพายุอีก ก็ไม่รู้แล้วล่ะ (หัวเราะ)
Lomo Weapon
เพลงไหนที่คิดว่ารากฐานของวง
Lomosonic : น่าจะเป็นเพลงดอกไม้ไฟที่เป็นรากฐานของวงต่อมาก็ เพลงความรู้สึกของวันนี้ คือเพลงของวงเราชุดแรก มันไปอยู่กับใครก็ไม่ได้ อินดี้ก็ไม่ได้ ป๊อป ร็อคก็ไม่ได้ อีโมเขาก็ไม่เอา นี่พวกกูทำวงมาทำไมเนี่ย (หัวเราะ) แต่พอเราต้องไปเล่นทัวร์กับคนอื่น เราก็เอาดอกไม้ไฟ เนี่ยแหล่ะ เพิ่มท่อนดนตรี เริ่มพูดมากขึ้น (หัวเราะ) มันทำให้เราเริ่มเรียนรู้ว่าจะออกแบบท่อนต่างๆ ยังไงเวลาโชว์
เพลงที่เป็นเหมือนยานอวกาศของวง
Lomosonic : ก็ต้อง ขอ อยู่แล้ว ถ้าดูยอดวิวก็ต้องเพลงนี้แหล่ะ คือไล่มาจาก ถึงเวลา มา ความรู้สึกของวันนี้ จนมาเพลงขอ นี่แหล่ะ
บอย : ผมจำได้เลยว่า ผมเตะบอลกลับมา โทรศัพท์ผม เด้งตลอด คนโทร คนแท๊กเต็มไปหมด ถามแบบมึงดูรึยัง อะไรแบบเนี้ย เราก็งง อะไรกันวะ พอเราเห็นพวกยอดวิวต่างๆ เราก็ เชี้ยยย เป็นไปได้ไงวะ (หัวเราะ)
ป้อม : เรื่องของเรื่องเราไม่ได้คิดว่าเพลงนี้เป็นเพลงป๊อปเลยนะ เราคิดว่ามันเป็นเพลงโพสต์ร็อคเพลงนึง เพราะมันยาวตั้ง 6 นาที ฟอร์มของเพลงก็ไม่ได้เป็นแบบมาตรฐาน แถม MV ผมใช้วิธีไม่ตรวจ ผมถามคนทำ MV ว่า ชอบงานตัวเองหรือยัง ถ้าชอบก็เอาเลย
เพลงที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธหนักของวง
บอย : ผมว่าเป็นเพลง เก็บไว้ กับถึงเวลา
เพลงที่เป็นเกราะป้องกันวง
Lomosonic : ความรู้สึกของวันนี้ (หัวเราะ) แล้วก็เพลงเพราะความรัก เห็นคนดูเนือยๆ 2 เพลงนี้มาปุ๊ป เขาจะคุ้นๆ แล้ว เล่นต่อได้ (หัวเราะ)
ตั้งความสำเร็จของวงไว้ยังไง
ป้อม : ที่ผ่านมาเราใช้ความสามารถของพวกเราที่มีทุกอย่างใส่ลงไปในการแสดงสด ผมมีความสุขกับช่วงเวลาเหล่านั้น น่าจะเรียกว่ามันเป็นประสบความสำเร็จได้ ผมว่าถ้าเริ่มงานแล้วมีความสุข จบงานแล้วยังมีความสุขตลอดระยะทางนี้ การรักษาความสุขตรงนี้ผมก็มองว่าเป็นความสำเร็จนะ ถ้าระยะเวลายิ่งยาวนานเท่าไรผมก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จที่มากขึ้น
ศิลปินที่ Lomosonic อยากขอให้มาร้องเพลง “ขอ”
- Phil Anselmo แม่งต้องมันส์แน่ๆ ว้าวววว!!! (หัวเราะ)
- Celine Dion อยากฟังเสียงคุณแม่ (หัวเราะ)
- Justin Bieber เพลงดังแน่นอน (หัวเราะ)
- ศรเพชร ศรสุพรรณ อันนี้ไอดอลป้อม กับ บอย เลยฮะ
- พี่ปู Blackhead กับ พี่เอ๋ Ebola ให้ 2 คนนี้ สูสี เสียงมีเอกลักษณ์ไม่เชื่อลองร้องเพลงขอเป็นเสียง 2 คนนี้ดู (หัวเราะ)
ฝากผลงาน
Lomosonic : ก็เดี๋ยวจะมีเดินแบบครับ (หัวเราะ) พูดเล่นนะฮะ ก็ฝากเพลงใหม่ หากโลกนี้ไม่มีความรัก ตอนนี้ก็กำลังทำงาน มาดูที่โชว์เราก็ได้ แล้วก็ติดตามพวกเราได้ทุกช่องทาง โซเชียลครับผม