วงดนตรีที่โดดเด่นในเรื่องของสไตล์เพลง การร้อง ในแบบ โซล บลูส์ ที่มีสไตล์ มีความไพเราะ เฉพาะตัว ความกล้าหาญของวง 3 ชิ้นวงนี้ที่ชัดเจนในแนวทางมาตั้งแต่วันแรก ทำให้พวกเขากลายเป็นวงงานชุกในสายนี้อีกวงนึง จนแทบไม่มีเวลาให้กับผลงานตัวเอง และในที่สุด พวกเขาก็มีผลงานใหม่ที่ชื่อว่า คนชั่ว 2018 แค่ชื่อเพลงก็ดูน่าสนใจแล้ว แต่จะน่าสนใจยิ่งกว่านี้แน่ๆ ถ้าเราได้พูดคุยกับพวกเขา นี่คือ The Parkinson และที่มาของเพลง คนชั่ว 2018
จากเพลงล่าสุดทำไมหายกันไปนาน
กานต์ : มันหลายเรื่องครับ ด้วยความที่เพลงของวงเรามันทำงานช้า ช่วงที่ปล่อยเพลง “เป็นประจำ” เพลง ”เพื่อนรัก” ก็เพิ่งเริ่มจะบูม แล้วหลังจากที่ปล่อยเพลง “เป็นประจำ” ช่วงนั้นก็จะมีศิลปินหลายคนอยากได้เพลงจากพวกเราเหมือนกัน ก็เลยติดต่อเข้ามาพร้อมกันหมดเลย ประมาณ 4-5 เบอร์ และด้วยความที่ตัวผมเอง ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ ก็เลยรับงานไว้ทั้งหมดเลย เลยกลายเป็นว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทำงานคนอื่น พอมาครึ่งปีหลัง พี่โต ก็มีครอบครัว และตัวผมก็เช่นกัน ส่วนเบียร์ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่ยอมบอก (หัวเราะ) แต่มันก็พอมีเวลาอยู่บ้าง ก็เลยมาซุ่มทำเพลงกันช่วงครึ่งปีหลังก็ทำกันได้หลายเพลงแล้วครับ คงจะเริ่มออกมาปล่อยเรื่อยๆ
กับเพลงใหม่ คนชั่ว 2018
The Parkinson : เนื้อหาก็จะเป็นเพลงรักสามเศร้า ส่วนใหญ่นักแต่งเพลงจะเขียนถึงมุมที่อกหักโดนกระทำจะรู้สึกยังไง เจ็บยังไง เขาจะอยู่ต่อไปได้ยังไง แต่เราอยากจะมองอีกมุม เป็นมุมของคนที่เขากำลังจะไปบ้าง ว่าเขารู้สึกยังไง คิดยังไง มองที่ว่า ณ วันนั้นที่เขากำลังทำอยู่จะรู้สึกยังไง เลยเขียนเพลงแนวนี้ขึ้นมา พอเขียนเสร็จปุ๊ป ก็มาคิดว่าถ้าเราปล่อยไปแล้วใช้ชื่อเพลง แบบ อะไรก็ได้ไม่ต้องคิดชื่อมาก กระแสน่าจะไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะมันเหมือนกับการส่งเสริม เลยคิดถึงไอเดียแรกว่าทำไมถึงอยากแต่งเพลงนี้ล่ะ เลยอยากนำเสนอว่าการทำแบบนี้มันไม่ดีนะ เลยตั้งชื่อเพลงว่า “คนชั่ว 2018” เพื่อที่จะบอกทุกคนว่าทำแบบนี้ ชั่วนะ ส่วนที่ใช้ 2018 คือเหมือนแฮชแท็กของยุคนี้ เหมือนละครแรงๆ ที่ปล่อยในยุคนี้ก็จะมีชื่อปีตามหลัง จริงๆ ลองไป Search ดูได้ มันจะมี ชื่อ คนชั่ว แล้วแฮชแท็กที่เปลี่ยนปีไปเรื่อยๆ ส่วนของเราในเมื่อมันมาปล่อยปีนี้ ก็เลยขอให้เป็นแฮชแท็กของปีนี้เลยละกัน
มีคิดชื่ออื่นไว้บ้างไหม
กานต์ : ตอนแรกชื่อเพลงว่า รอได้ไหม คล้ายๆ กับเราบอกคนใหม่ว่า รอเราหน่อยนะ เดี๋ยวเรากลับไปเลิกกับเขา นะ แต่มีความรู้สึกว่าถ้าปล่อยชื่อเพลงนี้ออกไปจริงๆ เนี่ยมันไม่ดีแน่ เพราะไม่ตอบสิ่งที่เป็นต้นไอเดียผม มีชื่อแบบ กูเองนักเลงพอ ด้วย (หัวเราะ) ก็เปลี่ยนมาได้ 2-3 ครั้ง เลยบอกที่ค่ายว่าผมเอาเป็นชื่อนี้ดีกว่า
จุดเปลี่ยนของการมาใช้ชื่อนี้
กานต์ : ด้วยความที่ผมนำเพลงนี้ไปเล่นตามที่ต่างๆ แล้วลองไปในพูดหลายๆ ที่ หลายๆ ชื่อ แต่เมื่อพูดชื่อเพลงนี้คนจะเก็ตทันที เลยใช้ชื่อเพลงนี้ ด้วยความที่เราหายไปนานเราเลยลงทุนไปทำ Research เกี่ยวกับเรื่องชื่อเพลงกันก่อนที่จะปล่อยเพลงออกไป
การเปลี่ยนแปลงของพาร์ทดนตรี
เบียร์ : มีกลองที่ดูเปลี่ยนมากที่สุด ส่วนกานต์กับพี่โต ก็จะยังคงเป็นไลน์อย่างที่เคยๆ ได้ยินกันมา แต่กลองจะเป็นอะไรที่ยุ่บยั่บไปหมดเลย
กานต์ : ผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันเป็นการกระทำของคนบางที่หยุดกับที่ไม่ได้ ตัวเพลงมันจะเป็นบุคลิกกับคนที่หยุดอยู่กับที่ไมได้ ไม่มีสมาธิกับสิ่งที่มีอยู่ จะต้องมีอะไรที่หวือหวาเข้ามาตลอด ส่งแฉทุก 2 บาร์อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) ก็เลยวางแพลนไว้ประมาณนี้ให้เบียร์ได้ลองแสดงฝีมือ อีกอย่างก็คือตั้งแต่ทำเพลงมาทั้งหมด เบียร์ไม่เคยโชว์อะไรเลย ส่วนใหญ่จะเล่นเพื่อ Band เพลงนี้ก็เลย เอ้า..Band เล่นเพื่อเบียร์สักหน่อย (หัวเราะ)
ตอนอัด กลองยากไหม
เบียร์ : ยากครับ ตอนเดโม่ที่กานต์เขาเขียนมายากกว่านี้อีก แบบว่าทำมาในคอมฯ ประมาณว่าต้องมี 7-8 มือถึงจะตีได้ (หัวเราะ) เลยเอามาเกลาลงหน่อย มันก็จะได้ประมาณนี้
กานต์ : จะยากจะง่ายเนี่ย ด่าและชมที่เบียร์คนเดียวได้เลยครับ (หัวเราะ) เพลงนี้ให้เขาเลย
พาร์ทเบสเป็นไงบ้าง
โต : ผมก็เกาะๆ กลองไป (หัวเราะ)
กานต์ : จริงๆ เบส มันคือสิ่งที่ยากที่สุดครับ เพราะเบียร์เขาซัดกลองมาขนาดนี้แล้ว (หัวเราะ)
ไม่กลัวคนจะเบื่อสไตล์ Parkinson แบบเดิมๆ เหรอ มีคิดจะฉีกไปบ้างไหม
กานต์ : จริงๆ ตัวผมอยากพยามจะทำอะไรให้ไม่ค่อยให้เหมือนเดิมเท่าไร แต่จะมีบางอย่างที่มันเป็น Pulse ของวงอยู่แล้ว อย่างเช่น จังหวะกลอง บางจังหวะ ตรงนี้มันคือ Pulse หลักดั้งเดิมตั้งแต่ตั้งเราก่อตั้งวง แต่อย่างเรื่องแนวคิด วิธีคิด คอร์ด เล่าเรื่องเมโลดี้ ก็อาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หรือไม่แน่บางทีอาจจะเปลี่ยนอย่างอื่นเข้ามาผสมก็ได้ เมื่อมันถึงจุดที่เราอยากทำ แต่ ณ ตอนนี้กับอัลบั้มแรกที่ยาวนานของเรา ขอเป็นสไตล์นี้ไว้ก่อน (หัวเราะ)
พูดถึงกีตาร์บ้าง เห็นว่าโซโล่ก็เอาเรื่องอยู่
กานต์ : วิธีอัดของผมก็คือจะเล่นไปเรื่อยๆ เลย เทคไหนที่เอาค่อยว่ากัน คือเล่นไปเรื่อยๆ เลย ไม่มีการวางแพลน ลุยไปเรื่อยๆ เพลงนี้น่าจะเทคที่ 40 (หัวเราะ) ก็แบบอันนี้แหละอยู่แล้ว เอาเลย รวมทั้งอินโทรด้วย อินโทรก็ไม่ได้แต่ง ซัดเลย เล่นสดก็จะซัดเลยเหมือนกัน จะสังเกตได้ว่าผมเป็นมือกีตาร์ที่เล่นผิดบ่อยมาก (หัวเราะ) คือไม่ได้คิดอะไรไว้ล่วงหน้าด้วย ถ้าใครโชคดีมาในดูในวันที่ผมสติครบก็ถือว่าโชคดีไป (หัวเราะ)
MV สุดอื้อฉาว
โต : ตามชื่อเพลงเลยครับ เราแทนด้วยผู้ชาย เพราะถ้าเป็นผู้หญิงจะดูรุนแรงไปหน่อย ก็เป็นเรื่องแบบผู้ชายคนนี้วนเวียนในร้านเดิม ไล่กินไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) จริงๆ ที่เด็ดสุดของ MV นี้คือพวกเราถ่ายแบบ Long Take ถ่ายไปร่วมๆ 20 Take ได้ จุดไคลแม๊กซ์จริงๆ ก็อยู่ที่การระเบิดตอนท้าย MV (หัวเราะ)
กานต์ : ซึ่งจริงๆ มันมีคนที่เป็นอย่างนี้จริงๆ พูดไม่ได้เลยอะ ทั้งนอกวงการในวงการเยอะมาก มีคนแบบใน MV เยอะมาก เราแค่นำเสนอว่าเรื่องราวแบบนี้มันมีจริงๆ นะ จริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าเรารีบตัดสินเกินไปหรือเปล่า ว่าเขาชั่ว มันนานาจิตตัง แล้วแต่คนจะบัญญัติว่า ชั่วแค่ไหน หรือบางคนที่ใช้ชีวิตมาอย่างนี้ทั้งชีวิตอาจจะบอกว่าไม่ชั่วก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ในคอมเมนต์Youtube ก็จะไปในทางเดียวกัน ว่ามันชั่วนะ (หัวเราะ) มีตั้งชื่อใหม่ให้หลายชื่อมาก (หัวเราะ)
นักแสดงใน MVเป็นไงบ้าง
กานต์ : คือเราถ่าย ซิงค์ใน MV เราก็จะเห็นทุกอย่าง พระเอกที่เล่นสุดยอดมาก ไปเรียนการแสดงจากไหนมา ใช่มากๆ ทุกช็อต แม้กล้องจะคัตไปแล้วเขาก็ยังใช่อยู่ (หัวเราะ) คือผมชื่นชมการแคสติ้งมาก เลือกบอย โลโมโซนิกมาเป็นพระเอก (หัวเราะ) ไม่ใช่ๆ หน้าเหมือนเฉยๆ ซึ่งพวกเราต้องเล่นซิงค์ตลอดเพราะอยากให้คนในนั้นได้ซึมซับบรรยากาศว่าเราอยู่ตรงนี้ กำลังเล่าเรื่องพวกนี้อยู่ จริงๆ มี ฉากที่ตัดออกไปเป็นผมกับพระเอกด้วยนะ (หัวเราะ) ไม่มีหรอกล้อเล่น
พูดถึงเพลงในมุมมองของคนมีครอบครัวแล้วอย่างกานต์และโต
โต : มันเป็นเรื่องไม่ดีแหล่ะครับที่จะทำแบบใน MV โอเคล่ะถึงคุณจะทำแบบนี้จริงๆ ในชีวิตจริงคุณก็ไปได้ไม่รอดหรอก เพราะเรา 3 คน ทดสอบมาแล้ว
กานต์+เบียร์ : เดี๋ยวๆๆๆๆ (หัวเราะ)
โต : คือทำเรื่องไม่ดี เก่งขนาดไหนสักวันมันก็ปไม่รอดหรอกครับ ทำเรื่องดีๆ น่าจะดีกว่า คือในเพลงเราจะไม่ได้บอกว่าจุดจบเป็นยังไง แต่ผมว่าคนก็คงเดากันได้อยู่ดี
กานต์ : อันนี้มุมคนที่ไม่รอดนะครับ (หัวเราะ) มาฟังคนที่รอดเล่าให้ฟังกันบ้าง (หัวเราะ)
เบียร์: ไม่มีๆ (หัวเราะ) ก็เป็นเรื่องจริงของสังคมทุกวันนี้แหละ ที่ยังมีเรื่องเหล่านี้อยู่ แต่ยังไม่มีใครหยิบยกมาทำสักเท่าไร เราเลยมาทำให้ดูว่าอย่าทำแบบนี้มันไม่ดี ทั้งคนที่อยู่ข้างๆ เรา และคนที่เราไปทำกับเขาด้วย มันไม่ดีกับทุกฝ่าย
กานต์ : จริงๆ ผมก็ทำ Research เรื่องนี้มาประมาณนึง โดย100ทั้ง100 ก็จบไม่สวย เราก็เลยอยากจะนำเสนอว่า เพลงๆ นี้ คือผมเชื่อว่าด้วยกลิ่นของเพลง เนื้อเพลงแบบนี้คนที่ทำอยู่ถ้าฟังต้องรู้สึกอะไรบ้างแล้ว เพื่อที่เขาจะทำต่อหรือจะหยุดเนี่ย อย่างน้อยให้เขารู้สึกผิดนิดนึง ถ้าคุณคิดว่าไม่ได้เป็นคนชั่วแบบในเพลง ก็ทำต่อได้เลย (หัวเราะ) ซึ่งเพลงนี้ใช้เวลาเขียน ประมาณ รถตู้ 2 เที่ยวเสร็จ
โต : อัดในโรงแรมด้วยเพลงนี้
กานต์ : อัดเบสเหรอ (หัวเราะ)
โต : ใช่ๆ อัดเบสๆ (หัวเราะ)
กานต์ : โถ อุตส่าห์ปู (หัวเราะ)
เบียร์ : แล้วคำทั้งหลายในเพลงนี้มันเป็นคำพูดจริงๆ ของคนที่พูดจริงๆ
กานต์ : ผมมักจะเขียนเพลงจากคำ ที่คนๆ นั้นพูดจริงๆ อย่างเพลง หมดแก้ว มันมีประโยคนึงบอกว่า รู้ทั้งรู้ว่าไม่ช่วยอะไร แต่ก็ยังกินอยู่ ไม่รู้ทำไม ผมก็จับประโยคนี้มาไว้ในเพลงด้วย แต่ผมเขียนเรื่องตัวเองไม่ได้ เพราะผมคนรักครอบครัว เดี่ยวเนื้อหาเพลงจะกลายเป็น ป๊อป สดใส ไม่ค่อย บลูส์ (หัวเราะ)
ทุกคน : แหมมมมมม
ตัวเพลง MV เป็นไปตามที่คาดหวังไว้หรือไม่
กานต์ : ตอนแรกที่คุยกับผู้กำกับแล้ว ว่าจะเอาแบบนี้ๆ แต่พอมาเห็นภาพจริง สารภาพเลยว่าช็อต คนที่สามที่ยื่นแก้วมาแล้วจับมือ พอเงยหน้ามาเป็นแบบนั้น ก็อุทานคำหยาบเลย ไม่ได้รังเกียจเพศที่สามหรืออะไรนะ แต่แค่รู้สึกว่า เมื่อกี้คุณยังทำกับผู้หญิงอยู่เลย อะไรแบบนี้ พอเงยขึ้นมาอีกที ก็แบบโอ้โหคุณเลือกสักอย่างไมได้เหรอ คือคำหยาบเกิดขึ้นในกองเยอะมากครับเวลาที่เห็นแต่ละช็อต
อัลบั้มที่กำลังจะปล่อย
กานต์ : ณ เวลานี้ก็ได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ ก็อาจจะมีเพลงที่แตกต่างจากเพลงนี้ เช่นเพลงที่น่ารักๆ หรือ อาจจะดิ่ง เศร้าหนักกว่านี้เลยก็ได้ (หัวเราะ) ก็ต้องรอดูครับ
จากวันแรกของการเป็นศิลปินกลางคืนกับวันนี้แตกต่างกันไหม:
เบียร์ : ผมดีใจนะ เพราะมันเกินความคาดหมายมาไกลและไวมาก คือตั้งแต่เพลงแรกเราคุยไว้ว่า โห… ฟังได้หมื่นวิวแสนวิวก็ดีใจ แล้ว แล้วมันเลยมา 20 ล้านวิวก็แบบ มันคือกำไรแล้วล่ะ เพราะเราไม่ได้หวังอะไรมากไกลขนาดนี้ จนถึงเพลงที่ 6 แล้ว
การร่วมงานกับศิลปินมากมาย
กานต์ : ศิลปินที่เรียกผมไปใช้งานหลายคนผมเป็นแฟนพวกเขาตั้งแต่เด็กๆ อย่างพี่ แบงค์ พอวันนึงเราได้มาร่วมงาน เรารู้สึกตื่นเต้นมาก การทำงานไม่ยากหรอกครับ แต่อยากที่ควบคุมความตื่นเต้นของเราเองมากกว่า ที่ผมได้ร่วมงานหลายคน ผมว่าแต่ละคนมีวิธีการทำงาน ที่แตกต่างกันไม่เยอะ แต่ที่สำคัญและเหมือนกันคือ พวกเขาอยากสร้างงานดีๆ ออกมามากกว่า สิ่งที่แตกต่างในแค่ละคนคือ วิธีคิด ยิ่งคนที่ผลงานโดดเด่น จะมีวิธีคิด และมุมมองที่ค่อนข้างพิเศษ ผมได้อะไรมาเยอะมากจริงๆ
ความคาดหวัง ของ Parkinson
กานต์ : จริงๆ เราก็ยังอยู่ที่เดิมของคนที่ผลิตเพลง ยังอยากทำเพลงต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่วันนึงเราจะได้มีเพลงของตัวเองมากพอ ในแบบที่ว่าคนดูจะได้เสพเพลงของเราทั้งหมดเลย นั่นคือสิ่งแรกๆ ที่พวกเราวางเป้าหมายกันไว้
ความกดดันกับแนวทางของวงด้วยการเป็นโซล หรือบลูส์
กานต์ : ผมจะกดดันตัวเองว่าต้องทำงานให้ดี เพราะมีศิลปินรุ่นพี่ก็คอยฟัง คอยงานจากพวกเราอยู่ ส่วนคนฟังผมเชื่อว่าผมเลือกสิ่งที่มันใหม่มาให้พวกเขาได้เสพชอบไม่ชอบก็ว่ากัน
โต : ไม่กดดัน ส่วนตัวผม ปล่อยจอย ตั้งแต่ หมดแก้ว แล้ว (หัวเราะ) คือ ตอนนี้มันชิลๆ มากเลย ผมปล่อยวางทุกอย่างหมดแล้ว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเราแข็งแรง และมาถูกทาง และสิ่งนี้เป็นตัวเราอยู่แล้ว
เบียร์ : เรื่องของตัววงและเพลงไม่กดดัน เพราะว่าเราทำในสิ่งที่เราชอบที่สุดลงไปแล้ว เราคงไม่เอาเทคที่ไม่ดีมาลงไว้ในเพลงแน่นอน ก็คือที่เราส่งไปให้ทุกคนฟังคือดูดีที่สุดแล้ว แต่จะกดดันเรื่องสกิล ตัวเองนี่ละ เพราะมีน้องๆ มือกลองเด็กๆ เก่งเยอะมากเลย เลยต้องซ้อมเยอะ ซ้อมหนักขึ้นครับ
พูดถึง Spicy Disc สักหน่อย อีกไม่นานจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ ของค่ายด้วย
กานต์ : ใช่เลย วงเราอยู่มาประมาณ 5 ปี แล้ว ถ้าไม่มี Spicy Disc ก็ไม่มีพวกเรา ณ วันที่พวกเราทำเพลง เพลงแรก ค่ายเพลงจะคล้ายๆ กัน จะทำเพลงในสไตล์คล้ายๆ กัน แต่ผมพูดเลยว่าช่วงที่พวกผมเข้ามา ก็จะมีวงผมกับ Polycat ที่ทำเพลงแปลกๆ กันอยู่ 2 วง แล้วเหมือนเป็นการกรุยทาง ให้วงน้องๆ อีกหลายวงตามมา ซึ่งบางวงก็ดังแซงเราไปแล้ว ต้องขอบคุณ Spicy Disc ที่ยอมให้เราทำเพลง แบบที่เราเป็น โดยไม่สนว่าจะขายได้หรือไม่ได้
ฝากผลงาน
กานต์ : ฝากเพลง “คนชั่ว2018” ด้วยครับเป็นอีกหนึ่งเพลงที่เราตั้งใจเพราะเราหายไปนาน ทำเต็มที่ อะไรที่มันไปล่วงเกินใคร ขอรับไว้ ณ ที่นี้นะครับ ยังไงฟังเพลงนี้ให้สนุกนะครับ และติดตามเราได้ทุกช่องทาง โซเชียลครับ
ขอขอบคุณ : เพิร์ล SpicyDisc ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ