วงดนตรีที่เริ่มด้วยเพื่อนมักจะเป็นวงดนตรีที่มีพลังงานบางอย่าง ทำให้ก้าวสู่ความสำเร็จได้ ค่อนข้างเร็วกว่าวงแบบ ต่างคน ต่างมา การใช้ชีวิต ความรักในดนตรี มุมมองต่างกันที่ต้องถึงขั้นเปิดอกกันได้ มีหลายวงในบ้านเราก็เป็นแบบนี้ อีก 1 วง ที่น่าสนใจคือ 60 Miles วงดนตรีที่เริ่มต้นด้วยอายุที่น้อยมากๆ พวกเขาเดิมพัน อนาคต ก้าวเดินออกจากเซฟโซน มาเป็นเวลา 9 ปี มาถึงอัลบั้มที่ 3 Warp วงดนตรีวงนี้สู้ร่วมกันมาอย่างโชกโชน กว่าที่หลายคนคิด และเราก็ได้มีโอกาสได้คุยกับพวกเต้าแบบยาวๆ เป็นครั้งแรก เรามารู้จักกับตัวตนของเจ้าของเพลงดัง อย่าง หากฉันตาย และอีกมากมาย ให้มากขึ้นกันดีกว่า
อยู่ในวงการมากี่ปีแล้วครับ
60 Miles : ถึงวันนี้ก็ 9 ปีแล้วครับ
การก้าวเข้ามาวงการดนตรี
60 Miles : ตอนแรกเราเล่นกลางคืนที่เชียงใหม่ ที่ร้าน Warm Up แล้วตอนครบรอบ 10 ปี ทางร้านก็ให้แต่ละวงในร้านแต่งเพลง พวกเราก็แต่งเพลง เวทย์มนต์ ไป แล้วทางร้านก็ชอบ เลยได้โอกาสไป feat. กับลานนา คัมมินส์ คราวนี้พอเพลงมันดังในเชียงใหม่ แล้วก็โชคดีที่เพลงมันทำงานจนได้มาโปรโมตที่กรุงเทพฯ ด้วย สมัยก่อนวิทยุมีผลมาก ยิ่งถ้าเพลงขึ้นชาร์ตค่อนข้างยิ่งจะมีผล แล้วคราวนี้บังเอิญทาง Sony Music (ณ ตอนนั้น) ได้ไปจัดคอนเสิร์ตที่เชียงใหม่พอดี แล้วร้าน Warm Up มาเป็นสปอนเซอร์หลัก เลยให้เรามาเล่น Opening Act ไปเลย เราก็เลยใช้เพลงเวทย์มนต์นี่แหละเล่นเปิด ซึ่งตอนนั้นเราเข้ามหา’ลัย ปี 1 ใหม่ๆ ก็กล้าๆ กลัวๆ
การทำเพลงช่วงนั้นเป็นยังไงบ้างครับ
60 Miles : ก็..ไม่เป็นกันเลยครับ (หัวเราะ) อย่างกลองเข้าห้องอัด ห้องอัดเขาขอ Guide เรายังไม่รู้ว่าคืออะไรเลย ไม่รู้ว่า Backing Trackคืออะไรด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ตอนอัดร้องก็ไปยืนใบ้ปากเปล่าให้ว่าร้องถึงท่อนไหนแล้ว แบบนั้นเลย (หัวเราะ) ห้องอัดเขาก็งงๆ ว่าวงนี้มันทำงานกันอย่างนี้เหรอ (หัวเราะ) เอาตรงๆ คือเราเป็นนักดนตรีที่เล่นอย่างเดียวเลย เราทำเพลงกันไม่เป็น เราเข้าห้องซ้อมกันอย่างเดียว แต่คือโอกาสมันมาแล้ว เราต้องคว้าไว้ก่อน ก็ต้องลุย
ตอนเรียน เรียนที่เดียวกันหรือเปล่า
60 Miles : ฟลุ๊คเรียนนิเทศศาสตร์ คนเดียว นอกนั้นเรียนดนตรี จริงๆ พวกเราเรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล แล้วเริ่มประกวดตอน ม.2 ในเชียงใหม่ พอม.ปลายเราก็เริ่มเล่นกลางคืนแล้ว ร.ร. เราก็จะมีวง Mild แล้วก็ Nap A Lean ด้วย ก็คือโตมาด้วยกัน ใน ร.ร.เดียวกัน จนสุดท้ายพอเข้ามหาลัย เพื่อนๆ ก็เลือกที่จะไปดนตรี ฟลุ๊คก็มาเรียนนิเทศฯ
เมื่อมีเพลง เวทย์มนต์ แล้วต้องเริ่มทัวร์เลย ตอนนั้นปรับตัวยังไงกันบ้าง
60 Miles : ปัญหาหลักๆ ของเราคือ สคริปต์ 1 ชั่วโมงจะเล่นยังไง มีอยู่เพลงเดียว ก็ต้องดูจากพี่ๆ เป็นตัวอย่าง โอ้ย เอางี้ดีกว่า สมัยก่อนพวกผม แต่งตัวกันยังไม่มีทิศทางเลย (หัวเราะ) มิกซ์และไม่แมตช์ (หัวเราะ)
เทศกาลดนตรีแรกที่ไปเล่นเป็นยังไงบ้าง แล้วเตรียมตัวยังไง
60 Miles : คือหลายๆคนก็จะรู้จักเราผ่านเพลง “เวทย์มนต์” เขาก็มารอฟังเพลงนั้น แล้วยุคนั้นโซเชียลก็ยังไม่ได้หนักหนาเหมือนสมัยนี้ คือเราก็ยังลุ้นอยู่ว่ารู้จักวงเราจริงไหม พอเปิดด้วยเพลงนี้เท่านั้น ทุกคนกรี๊ดเลย เหยียบตีนกันด้วย (หัวเราะ) แต่ต่อจากนั้น เราก็เล่นเพลง Cover ที่เป็นแนวเรา อย่าง Groove Riders แล้วแน่นอนก็ต้องเล่นปิดด้วยเพลงเวทย์มนต์ (หัวเราะ) แล้วก็เคยทำเวทย์มนต์เวอร์ชั่นตับๆ ซึ่ง… ลืมมันไปเถอะครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นเราคิดว่าเท่นะ แต่..(หัวเราะ) ถือว่าเป็นประสบการณ์ลองผิดลองถูก ถึงส่วนใหญ่จะเป็นการลองผิดก็เถอะ (หัวเราะ)
หลังจากเวทย์มนต์ทำเพลงอะไรกันต่อ
60 Miles : คือตอนที่เป็นเวทย์มนต์เพลงของเราถูกทำเป็นอัลบั้ม Compilation แล้วจะมีวงจาก Black Sheep ที่มี 5-6 วงอยู่ในอัลบั้มนั้น แล้วคราวนี้ทางค่ายก็เลยให้เราทำอัลบั้มเต็มขึ้นมา ก็เริ่มมีเพลง จักรวาล, ไม่คิดไม่ฝัน ประมาณนี้ ซึ่งก็รอดตัวไปอีกนิดนึง (หัวเราะ)
ชีวิตช่วงตอนมีอัลบั้มเป็นไงบ้าง
60 Miles : ต้องดร็อปเรียน ตอนแรกฝืนเรียนแต่ไม่ไหว คือ ในหนึ่งเดือนเราต้องลงมากรุงเทพฯ 4 ครั้ง นั่งรถทัวร์จากเชียงใหม่มา กรุงเทพฯ ครั้งนึง มา 9 ชั่วโมงครึ่ง กลับอีก 9 ชั่วโมงครึ่ง บางครั้งมีมีงานไม่ได้นอนมาปุ๊ป เล่นเสร็จกลับ ไม่ได้เช่าหอด้วย แต่จะมาอยู่โรงแรมเป็นรายวัน พอถึงเวลาก็ไปเล่น พอเล่นเสร็จก็นั่งรถทัวร์กลับ แล้วค่าเครื่องบินตอนนั้นเป็นอะไรที่แพงมากสำหรับชีวิตเด็ก ม.ปลาย เข้า ปี 1 ใหม่ๆ บวกกับใช้ทุนจากที่บ้าน แล้วฝืนเรียนด้วย แล้วทางมหา’ลัยเขาไม่หนุนเรื่องนี้ด้วย เลยไปคุยกับอาจารย์ อาจาร์ยก็บอกว่า “เธอเลือกดีๆ นะเธอจะเรียนหรือเธอจะไป” พวกผมก็ งั้นก็กราบลาสักเทอมครับ อาจารย์ (หัวเราะ) พวกเราก็เลยรู้สึกว่าไม่น่ารอด เลยต้องมีช่วงที่ต้องดร็อปเรียนไป 1 เทอม 2 เทอม 3 เทอม (หัวเราะ) เพราะพวกเราต้องทำอัลบั้มเพลงจริงจัง ทั้งการอัด มาสเตอร์ริ่ง แล้วก็เรื่องโปรโมตด้วย
ได้ปรึกษารุ่นพี่อย่าง Mild หรือใครบ้างไหม
60 Miles : ตอนแรกคุยกับพี่ๆ ETC. เพราะเขาเป็นรุ่นพี่เราที่คณะ พวกพี่มินท์ อะไรอย่างนี้ และก็พี่นอ นรเทพ ตอนนั้นแกเป็น อ.สอน Music Business แล้วก็มีพี่ๆ Mildด้วย ทั้งการทำอัลบั้มและใช้ชีวิต การทำอัลบั้มแรกตอนนั้นเราเหมือนเริ่มหัดทำ เราเล่นดนตรีอย่างเดียว พอมาเจอการทำงานจริง เราเจอปัญหาแบบว่า สมมติว่าโปรดิวเซอร์ไม่ว่าง 1 วันเราก็ทำไรไม่เป็นงานเลยไม่เดิน ก็เลยเริ่มมาคิดว่าต้องเริ่มหัดทำเพลงเอง เพราะเราไม่รู้กระบวนการ เลยซื้อคอมฯ และหัดทำเพลงกันเอง
เราเรียนรู้การทำเพลงจากใคร
60 Miles : ตอนแรกก็เป็นโปรดิวเซอร์เราที่เชียงใหม่ คือพี่คนนี้เขาก็จะใช้ Logic อยู่แล้ว เราเลยปรึกษาใช้อะไรยังไง คีย์ลัดยังไง เราก็เริ่มหัดทำเองได้แล้ว หลังจากนั้นก็ไปเริ่มเรียนรู้กันเอง
ตัวหลักในการทำเพลงของวงคือใคร
60 Miles : ก็เป็นเบิ้ม กับ ดม อัลบั้ม Milestone เราทำกันเองโปรแกรมกันเอง แล้วมีพี่ๆ วง Mildเป็นโปรดิวเซอร์ สอนเรื่องการทำงานอย่างจริงจัง แบบว่าลองโน้นนี่นั่นบ้าง แต่ก็จะมีข้อดีคือเขาก็จะช่วยตีกรอบว่าอันนั้นอันนี้เยอะไปนะ ก็จะคุมไม่ให้เราหลุดกรอบไป เพราะอัลบั้มแรกบางทีมันก็จะล้นไปอย่างเช่น มีเพลงนึงอัด คีย์บอร์ด 20 แทร็ค (หัวเราะ)จะโชว์ของ อันนี้ก็จะเอา อันนั้นก็จะเอา แล้วก็ส่งไปถึงคนมิกซ์ คนมิกซ์ฟังที 20 แทร็ก เสียงคียบอร์ดส่งไปมีปิดด้วยนะ Mute ไปเลยแล้วคนมิกซ์เขาก็งง แบบว่าสรุปไอ้ตรงที่ Mute เนี่ยมึงจะเอาหรือไม่เอา ไอ้คนเล่นก็ยังจำไมได้ว่าเอาหรือไม่เอา (หัวเราะ) แบบว่าเยอะๆ ไว้ก่อนจะได้ดูแน่น (หัวเราะ) ซึ่งพอมาอัลบั้ม 2 เราก็เลยมาเรียนรู้อะไรมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าดนตรีจะดี มันอยู่ที่ตัวเพลง ภาษาที่ใช้แค่นั้นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับทฤษฎีอะไรมากมาย
ชีวิตดูแปลกแยกกว่าเพื่อนวัยรุ่นเดียวกันไหม
60 Miles : ชีวิตพวกเราก็ดีขึ้นนะ จากอยู่รายวัน ตอนนี้เริ่มอยู่รายเดือน (หัวเราะ) เริ่มอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง แต่การเรียนต้องดร็อปเลย คือเราคิดถึงการโอนทุกอย่างมาเพื่อเรียนในกรุงเทพฯ แล้ว ต้องเรียนทางอื่นมั้ย คิดกันแบบนี้เลย ไม่งั้นไม่จบ ก็ต้องมาลงเรียนรามฯ คือตรงๆ คือแค่จะมีปริญญาไว้สักหน่อย ซึ่งกับเพื่อนๆ เราเอง ก็มีบ้างเพื่อนบางคนก็เริมจะฝึกงาน ก็เริ่มคุยกันอีกแบบ แต่ของพวกเราส่วนใหญ่เพื่อนๆ เราก็ไปทำเรื่องดนตรีอยู่ดี ก็เลยคิดว่าไหนๆ ก็มาอยู่ทางดนตรีอยู่แล้ว เวลาคุยมันก็เลยไปด้วยกันได้ เพราะถ้าถามว่าที่เราเรียนดนตรีสิ่งที่ตั้งใจหวังก็คือจบออกมาเพื่อเล่นดนตรี เป็นศิลปินนี่แหล่ะ เพียงแต่เราโชคดีที่ได้ทำก่อน
รับมือความสำเร็จจากเพลง “หากฉันตาย” ยังไง
60 Miles : ตอนนั้นยังงงๆ ก็มีคนบอกว่าไปไหนมาไหนก็ได้ยินเพลง ตามตลาดนัด ตามร้านเหล้า พวกเราสังเกตได้จาก Facebook ปกติในจะกดไลค์กันไม่ถึงพัน พันนิดๆ ก็คือโอโห ต้องรูปนั้นแม่งโคตรเจ๋ง ซึ่งช่วงปล่อยเพลง หากฉันตาย ซึ่งปล่อยไปประมาณสองอาทิตย์ รูปดมทำกับข้าว คนกดไลค์ 13k ได้ ก็เลยว่าเฮ้ยเรามีไลค์เยอะขนาดนี้ได้ไง เริ่มมาดูเพลงเราบ้าง พอไปตาม YouTube เพลงเราเวลาปล่อยไป ปกติจะขึ้นวันละ 2 หมื่นถือว่ามาตรฐานแล้ว คราวนี้มันเริ่มขยับเป็น 5 หมื่น เป็นวันละแสน สองแสน บางทีสูงสุดก็ล้าน เราก็โหขึ้นขนาดนี้เลยหรอ ก็ต้องไปทำบุญ 9 วัด เพราะเราก็ใช้ไสยศาสตร์ช่วยเหมือนกัน (หัวเราะ)
พอเราดังแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ตอนนี้เราไม่ใช่วง Festival หน้าใหม่แล้ว เริ่มมีหลงๆ แสงสีกันบ้างไหม
60 Miles : พวกเราก็ยังไมได้คิดว่าเราดังนะ เพราะว่า ณ ตอนนั้นรู้สึกว่าคนจำเพลง จำแนวเพลงได้ แต่ยังจำหน้าของเราไม่ได้ จะจำแบบว่าอ๋อ..นี่พี่ๆ วง หากฉันตาย นี่นา (หัวเราะ) แล้วเคยก็มีน้องๆ มหาลัยนี่ละ ฟลุ๊คก็ยืนกับเพื่อนข้างหลัง น้องๆ ก็บอกจะมารอดู 60 Miles ก็กะว่าน้องหันมาน้องต้องจำได้ แต่ปรากฏว่าหันมาก็มองหน้าเฉยๆ แล้วก็เดินไป ก็….เออจำไม่ได้ แต่ว่าจะมารอดูนะ พอขึ้นเพลงปุ๊ปพวกเขาก็กรี๊ดกัน เราก็เลยคิดว่าเรายังไม่ได้ดัง
ได้คุยกับพี่ๆ วง Mild, ETC. บ้างไหมว่าจะทำยังไงต่อหลังจากเพลงดังแล้ว
60 Miles : ส่วนใหญ่ก็จะคุยกับ Mild คุยเรื่องเพลงต่อไป โน้นนี่นั่น คือตอนนั้นเพลงที่เราคิดว่าจะดังมันไม่ดัง แต่เพลงอย่างที่เราไม่เคิดว่าจะดังแต่ดันดัง อย่าง หากฉันตาย คิดว่าจะเป็นเพลงประกอบอัลบั้มด้วยซ้ำ พวกเราคิดว่าเพลงอย่าง คำขอร้อง, เกินคำบรรยาย, Star ว่าน่าจะดัง แต่เพลงที่มาคือ “หากฉันตาย”
ถอดรหัสเพลง “หากฉันตาย”
60 Miles : พวกเราคิดว่าเป็นเรื่องภาษามากกว่า ด้วยตัวเพลงมันเป็นเพลงป๊อปไม่มีอะไรเลย แต่ที่วิเคราะห์เนื้อเพลงสำคัญมาก อินเนอร์ในการเล่าเรื่องที่จะสื่อยังไง เพราะมันเป็นเพลงรักที่ดูหม่นมากๆ และคือวิธีกระบวนการคิดเราอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น ภาษา ทุกอย่างฟังง่ายมาก คือตอนแรกๆ ด้วยความที่เราเป็นเด็กดนตรีเราก็คิดว่าอะไรง่ายๆ มันไม่เท่ (หัวเราะ) อย่างกลองตีกรู๊ฟ ตึก โต๊ะ ตึกๆ ไม่ตีนะ ตอนเราทำเพลงหากฉันตาย พวกเราไม่อินเลยนะเพราะมันดูง่ายไป เราเลยไปก็จินตนาการว่าคนฟังจะไม่อินด้วย แต่พอเพลงนี้มันดังขึ้นมาเลยกลับมานั่งคิดว่าทำไมคนถึงชอบ พอมานั่งอ่านเนื้อเพลงจริงๆ ก็อ๋อ..นี่คือสิ่งที่เรามองข้ามไปเยอะ เพราะเราไปคิดเรื่องดนตรีมากกว่าเรื่องภาษา ความรู้สึก ความรู้สึกฟีลลิ่งสำคัญที่สุด ตั้งแต่เริ่มเขียนเพลง เราจะเล่าอะไรให้คนฟัง ก็เลยหล่อหลอมมาอยู่ในอัลบั้มสามทำให้เราได้คิดอะไรมากขึ้น
เริ่มอัลบั้มที่สาม Warp ตอนไหน
60 Miles : ประมาณ 2 ปีที่แล้ว จริงๆ เราเริ่มเขียนหลังจากหากฉันตาย ดังไปประมาณ 6 เดือนแล้ว เพราะทางค่ายวางแผนให้เราเป็นอัลบั้มแต่แรกแล้ว ไม่ได้วางแผนเป็นซิงเกิ้ล เขาเลยให้เราทำเพลงให้ครบอัลบั้มก่อน แล้วถึงเปิดโปรเจ็กต์อัลบั้มแล้วไปอัดทีเดียว ในการที่เราจะตุนเพลงให้เพียงพอแล้วเอามาคัดเลือกว่า “เอาไม่เอา” ก็ใช้เวลาประมาณปีเศษๆ แล้วก็ถึงมาเริ่มอัดกันปี 2015
คาดหวังยังไงบ้างกับเพลง “ครั้งแรก” ในอัลบั้ม Warp เพราะตอนนี้เราก็เริ่มมีความคาดหวังกันแล้ว
60 Miles : ในอัลบั้ม Warp ก็คือเราอยาก Warp กลับไปสัมผัสความรู้สึกในช่วง ม.ปลาย ซึ่งเพลงครั้งแรกในซิงเกิ้ลในชุดนักเรียน เป็น Theme อัลบั้มเลย มันคือ 10 เพลงทั้งหมดที่จะพูดถึงประสบการณ์สมัยเรียนที่เราเคยผ่านมาในตอนเรียน อย่างเพลงครั้งแรก เราก็จะพูดถึงรักครั้งแรก อกหักครั้งแรก สัมผัสกันครั้งแรก…… จับมือๆ (หัวเราะ) อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับครั้งแรก ซึ่งมันก็จะสัมพันธ์กับชื่ออัลบั้ม Warp ซึ่งเราก็คาดหวัง คือเราก็คิดอยู่ถ้าจะทำแบบเดิมๆ มันก็จะเป็นอะไรแบบเดิมๆ ไหนๆ ก็มี Theme จะย้อนเวลากลับไป เราก็ทำดนตรีให้มันสดใหม่ดีกว่า อะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อนแต่ยังมีกลิ่นเรา ซึ่งไม่ได้คาดหวังอะไรสูงขนาดนั้น แต่ถ้าชอบแบบที่เราต้องการมันก็ดีครับ อย่างแรกคือเราต้องชอบ ถ้าเรา OK กันทั้งวงมันก็จะดีกว่า ซึ่งก็เป็นการเปิดทางของอัลบั้ม Warp ด้วย Theme
เพลงถัดมา
60 Miles : หูเบา เนื้อหาเพลงเกี่ยวกับแฟนครับ แบบว่าถ้าเราพูดอะไรให้แฟนฟังเขาก็จะไม่เชื่อ แต่จะไปเชื่อคนอื่น บางทีอาจโดนจับได้แต่เราแถก็เป็นไปได้ (หัวเราะ) มันมี 2 มุม มุมคนดีกับคนไม่ดี (หัวเราะ) คนกะล่อนก็จะสามารถไปบอกแฟนอย่างนึง คนดีก็จะพูดกับแฟนอย่างนึง ซึ่งก็จะเป็นคอนเซ็ปต์เพลงสนุกๆ ครับ
ด้วยความที่ปล่อยเป็นซิงเกิ้ล แล้วจะมีเพลงอะไรอีกไหม
60 Miles : มีอีก 3 ซิงเกิ้ล “ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา” ซึ่งพี่ๆ วง Mild ก็แซวอยู่ ว่าเฮ้ย! เอาคำนี้เลยหรอ (หัวเราะ) เราก็บอกว่ามันไม่เหมือนกัน ของพี่คำแรกของ Verse ของพวกผมคำแรกของฮุค (หัวเราะ) จริงๆ ก็อยากเปลี่ยนชื่อเหมือนกันนะ แต่มันไม่มีชื่อไหนที่โดนๆ กว่านี้ ก็เลยชื่อนี้เท่ดีสุดละถ้าใน List ตอนนั้น แล้วต่อด้วย “มันไม่ง่าย” สองเพลงแรกพวกเราได้โปรดิวเซอร์เป็นชาวต่างชาติ คืออัลบั้มนี้ก็จะใช้ทุนเยอะหน่อย โดยได้ไปอัดที่ Karma และทีมงานก็เป็นฝรั่งหมดเลย ก็ไปนอนไปใช้ชีวิตที่นั่นเป็นอาทิตย์เลย จนจบอัลบั้ม คือตอนเราไปเดโม่เราเคลียร์หมดแล้ว ไฟล์ทุกอย่างพร้อม เราก็จะอัด 2 เพลง อาทิตย์นี้ 2 เพลง ต่อไป 4 เพลง 6 เพลง เราวางแผนกันเลย อัลบั้มนี้ซาวด์ค่อนข้างจะโอเคกว่าที่ผ่านมา เพราะอัดที่ KARMA คนมิกซ์เป็น Tim Palmer ที่มิกซ์ให้ U2 และไปมาสเตอร์ริ่งที่ Sterling หลังจากสองเพลงแรก พี่โป โปษยะนุกุล ก็เป็นโปรดิวเซอร์คุมทั้งหมด
พอมีพี่โปเข้ามาวิธีการทำงานยากขึ้นไหม
60 Miles : ไม่ครับ เพราะตั้งแต่อัลบั้มแรกเราต้องผ่านพี่โปมาตลอด คือเขาเป็นเหมือนคนเช็กงาน ตั้งแต่สมัย เวทย์มนต์ ก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะเขาคุมโปรเจ็กต์ตั้งแต่ต้น
รู้สึกยังไงกับการเดินทางมาถึงอัลบั้มที่ 3 ของ 60 Miles
60 Miles : ขอบคุณโชคชะตา และเพลงหลายๆ เพลงที่ต่อชีวิต (หัวเราะ) เพลงนี่มีผลสูงมากเลยจริงๆ ตอนเด็กๆ เรามองด้วยใจรักอย่างเดียวเลย แต่ตอนนี้มันก็ต้องมีเรื่องธุรกิจเข้ามาด้วย เพราะไม่งั้นมันจะเลี้ยงชีวิตเราไม่ได้ และไม่มีทางที่จะรวมตัวกันทำงานต่อได้ เราคงต้องออกไปทำงานอื่นกันแล้ว แต่พอมีเพลง อย่าง หากฉันตายที่มาต่อชีวิตมันสำคัญมาก มันเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตและมีผลอย่างสูงเลยครับ ซึ่งอัลบั้ม Warp พวกเราก็หวังอย่างนั้นเพราะก็ทำกันเต็มที่
มีเพลงไหนในอัลบั้มที่รู้สึกว่าที่มันไม่ใช่ 60 Miles แบบเดิมบ้างไหม
60 Miles : จริงๆ 10 เพลงมันก็แทบจะไม่คล้ายกันเลย คืออัลบั้มสองเราค่อนข้างทิฐิสูง ต้องเป็นดิสโก้ ต้องเป็นโซล ฟั้งก์ เป็นเราเท่านั้น แต่พอเจอหลายสไตล์มันก็ทำให้เรา เฮ้ย!!…เราก็สามารถทำอย่างอื่นที่มันเป็นเราได้ โดยไม่ต้องอิงกับแนวเพลงตลอดเวลา เพราะสุดท้ายแล้วสำเนียงมันอยู่ที่คนเล่น ว่าคนนี้คนฟังก์ไปเล่นร็อคมันก็มีกลิ่นฟังก์อยู่ดี เหมือนเราแค่ลองเปลี่ยนเสื้อผ้าเฉยๆ แต่คนใส่ก็ยังเป็นคนเดิม
60 Miles กับงานเบื้องหลัง
60 Miles : ตอนนี้ดมก็เป็นสตูดิโอเอ็นจิเนียร์ในส่วนของที่ HOH ของ Mild เบิ้มก็ไปเรียนมิกซ์มาสเตอร์ริ่ง แต่งเพลง ล่าสุดก็แต่งเพลงใหม่ “ดีต่อใจ” ของวง Mild ที่พี่เป้แซ็กร้อง เพลงนี้ก็ได้แต่งได้ร้องคอรัสแล้วก็มิกซ์เองด้วย แล้วก็มิกซ์ให้วง Dose กับงานของพี่ว่าน ธนกฤต ด้วย
วันข้างหน้าของ 60 Miles
60 Miles : สุดท้ายแล้วก็อยากให้ความฝันหลักของเรายังอยู่ อยากให้วงไปไกลถึงที่สุดเท่าที่จะไกลได้ สมมติว่ามีการแต่งงานสัก 1 คน มีลูกแล้ว การทำงานก็เปลี่ยนไปแล้ว การกินนอนใช้ชีวิตวัยรุ่น 20 ต้นๆ มันไม่ได้แล้ว เราก็เลยต้องวางแผนจากตอนนี้อีก 5 ปีแล้วทำไงให้เราประสบความสำเร็จ บางคนอาจมองว่า 60 Miles อายุ 27 เองมีเวลาตั้งเยอะโน้นนี่เยอะแยะ แต่ถ้าขึ้นเลข 3 เมื่อไหร่ก็อาจจะลำบากขึ้นแต่พวกเราก็มองว่าจริงๆ เพราะเราผ่านมา 9 ปี เราเริ่มต้นเร็ว มันก็ควรน่าจะมีอะไรที่มากกว่านี้เราก็เลยต้องเริ่มวางแผนมากขึ้น
รู้สึกเฟลไหม กับการที่ตอนนี้คนยังจำเราไม่ค่อยได้
60 Miles : มีนะครับ ก็เฟลแล้วก็ชินแล้วด้วย แต่เราก็คิดว่ามันต้องมีกระบวนการอะไรบางอย่างที่ทำให้เราขึ้นไปได้ เราก็คิดนะว่าตอนนู้นนะเพลงหากฉันตาย ถ้ามันเป็นรูปหน้าเรา คนก็อาจจะจำเราได้มากกว่าขึ้นนะ ซึ่งสองอัลบั้มแรกไม่มีเลย เราเลยอาจจะต้องให้ความสำคัญกับพวกกราฟฟิกมากขึ้นอะไรแบบนี้ พรีเซนต์ตัวเองมากขึ้น
ตั้งเป้าว่าวงจะไปถึงจุดไหนบ้าง
60 Miles : ก็อยากมีคอนเสิร์ตใหญ่นะ แต่ไม่รู้เมื่อไรก็รอเก็บประสบการณ์ หรือไม่ก็ 20 ปี 60 Miles (หัวเราะ) เหมือน 20 ปี อัสนี-วสันต์ (หัวเราะ)
พูดถึงวง Mild กันสักหน่อย
60 Miles : อยากให้พี่พักผ่อนเยอะๆ ครับ พี่ๆ เขางานเยอะ วันไหนว่างๆ ไม่ต้องชวนพวกผมนะครับ (หัวเราะ) …ชวนทำงานๆ (หัวเราะ) ก็ขอขอบคุณทุกอย่างที่ให้ประสบการณ์กับพวกเรา เรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ ที่ให้ปริญญาเราทางด้านดนตรีเลยนะ อย่างบางทีเราอาจจะมีไรที่พี่ไม่มี หรือพี่มีอะไรที่เราไม่มี ขอบคุณที่เปิดทางให้เราได้เรียนรู้คือมันไม่ใช่ง่ายๆ ที่เราจะได้สิ่งเหล่านั้นมา อย่างพี่เป้ เขามีภาษาการเขียนเพลงและวิธีคิด ซึ่งเราก็ไม่รู้มาก่อนว่าคนที่แต่งเพลงดังเขาคิดกันแบบนี้ เราก็ยังทำอะไรแบบเดิมซึ่งถ้าเราไม่ได้คุยไม่ได้เปิดใจหรือทำงานกับเขา ต้องขอบคุณที่เขาช่วยสอน และบางอย่างที่เขาอยากได้จากเรา เราก็ให้เขาเต็มที่ และบางอย่างที่เขาอยากได้จากเราเราก็ตอบแทนเขาบ้าง (หัวเราะ) ขอบคุณที่ทำให้พวกเรามาถึงตรงนี้ อยู่ด้วยกันไปนานๆ ยังไงก็พักผ่อนบ้างนะพี่ (หัวเราะ)
ฝากผลงาน
60 Miles : ก็ฝากอัลบั้มที่ 3 ของพวกเรากับ Warp และ MV ก็สามารถไปดูที่ YouTube Channel ของเรา ที่ 60miles channel กด Subscribe และเพจ Facebook / iG ใครอยากได้แผ่นก็ร้านขายทั่วไป สำหรับออนไลน์ก็ @btmshop สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ของเราใน BECTERO ได้ทุกอย่างส่งถึงหน้าบ้าน หรือง่ายสุดก็ inbox มาที่ Facebook วง ว่าอยากได้อะไรเดี๋ยวเราจัดให้ครับ
สมาชิก
ฟลุค – บัณฑิต ตันสุชาติ (ร้องนำ)
เบิ้ม – ศุภโชค เชื้อเมืองพาน (กีต้าร์)
พีช – นิตยะ มณีวงศ์ (คีย์บอร์ด)
ดม – อุดมศักดิ์ คุณยศยิ่ง (เบส)
บีม – ณัฐดนัย สูงปานเขา (กลอง)
*** ขอขอบคุณ : คุณส้ม BEC-Tero Music ที่อำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ครับ ***