วงดนตรีที่มีสไตล์ดนตรีผสมความเป็นไทยและป็อปร็อคได้ลงตัวที่สุด วินาทีไม่มีใครกิน The Rube ได้แน่นอน พวกเขามีความชัดเจนสุดๆ ในสไตล์ดนตรี สามารถสร้างความร่วมสมัยให้กับดนตรีไทย ที่ดูว่าจะเข้าถึงยาก พวกเขาทำให้วัยรุ่นชื่นชอบ และกลับไปศึกษาเรื่องราวในวรรณคดีไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อกว่านั้น The Guitar Mag ก็เพิ่งได้คุยกับพวกเขาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกเช่นกัน “จุ๊บ” และผองเพื่อน ในนาม The Rube สร้างดนตรีแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ The Rube ผลงานต่างๆ เราจะได้มาพูดคุยกัน
เสีย
The Rube : เพลงนี้เป็นเพลงที่เราตั้งใจทำให้เป็นเพลงป็อปที่สุดในอัลบั้ม เป็นเพลงที่ฟังง่ายที่สุด ก่อนหน้านี้ เราทำเพลงที่จะโชว์ความเป็นตัวตนของวงเรา เหมือนกับวงใหม่ๆ ทุกวง ตอนที่เรามาเข้าค่ายเพลง ทางค่ายก็จะถามว่าแนวทางของ The Rube เป็นแบบไหนซึ่งเราก็จะบอกไปว่าเป็น Modern Traditional ดังนั้นตั้งแต่ I’m Sorry (สีดา) เป็นต้นมา เราจะนำเสนอแนวดนตรีที่มีความเป็นตัวเรา จะเน้นไปที่การผสมผสาน พอมาเพลงนี้ เราก็รู้สึกว่าเราอยากได้เพลงฮิต เป็นเพลงช้า เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกว่ามีเปอร์เซ็นต์จะฮิตสูง ก็เลยบอกพี่เป้ (ร้องนำ) วง Mild ซึ่งก็ใช้เวลาแค่วันเดียวเขียนมาให้ นี่เป็นที่มาที่ไป
วรรณคดี และความรักแบบ The Rube
The Rube : ถ้าตามความหมายเนื้อเพลง จะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับความเศร้าเสียใจเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องราวที่ผูกกับวรรณคดีเนี่ย… คือเรื่องนี้ไม่ใช่วรรณคดีนะ แต่เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่มีบันทึกในพระไตรปิฎก ชื่อนางปฏาจาราเถรีที่เสียผู้คนรอบข้างที่รักทั้งหมดไปในวันเดียว เสียคนรัก ลูกคนเล็ก ลูกคนโต พ่อ แม่ จนตัวเองเสียสติ กระทั่งเดินไปเจอสถานที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ ชาวบ้านก็ไล่ๆ ให้ไป แต่พระพุทธเจ้าก็เรียกเข้ามา แล้วก็พูดเตือนสติ จนนางได้สติ และนางได้บวชเป็นภิกษุณี ได้รับยกย่องเป็นเลิศทางพระวินัย เราก็เอาเรื่องราวนี้มาผูกกับเพลง ซึ่งจะแสดงออกมาทางอาร์ตเวิร์ค ใน MV ที่จะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังประกอบเข้ามาร่วมด้วย ก็เลยเป็นที่มาของเพลงๆ นี้
การทำงานในเพลงนี้
เนื้อเพลง : ตรงนี้ไม่ค่อยนานเท่าไหร่ เพราะไอเดียมันค่อนข้างลงตัวก็เลยง่ายขึ้น
ดนตรี : เราคุยกันว่าเราจะทำดนตรีป็อปๆ ที่ฟังง่ายๆ สบายๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องเริ่มจากเล่นดนตรีตามง่ายๆ ก่อนเลย เริ่มจากคอร์ดที่พี่เป้เล่นมาในเดโม่ จากนั้นเรามาคิดลำดับถัดไปว่าเราจะเอาเครื่องดนตรีไทยชิ้นไหนมาใส่ในเพลงนี้ จนคิดได้ว่าเราไม่เคยใช้ขิมเลย ก็เลยตัดสินใจเอาขิมนี่แหละ คนอัดคือครูกบ ราชศักดิ์ เรืองใจ ซึ่งเขาก็มาเป่า ขลุ่ย เล่นระนาด อัดให้ในงานเราอยู่แล้ว ตอนนี้แกก็ทัวร์อยู่เยอรมัน เยอรมันตะวันแดง (หัวเราะ) ไม่ใช่ๆ ไปทัวร์ต่างประเทศนี่แหละ ซึ่งก็มาช่วยเราอัดขิมให้ เพลงนี้ก็ต้องใช้ ขิม 2 ราง เพราะมีการเปลี่ยนคีย์ มีคนถามว่าทำไมต้องใช้ 2 ราง เพราะอีกรางนึงเสีย (หัวเราะ) ซึ่งคนที่ให้ยืมขิมก็ต้องขอบคุณครูซอด้วยครับ และแน่นอนความยากคือการจูนเสียง เพราะเครื่องดนตรีไทยต้องจูนเสียงเยอะเวลามารวมกับเครื่องสากล แล้วพอเพลงนี้มีเปลี่ยนคีย์ ตอนครูกบจูนสายมันเลยขาด 2 สาย แต่ที่ยากที่สุดก็คือการเลือกโน้ตให้เข้ากับคอร์ด และได้เมโลดี้ที่เป็นไทยจริงๆ อย่างเพลง I’m Sorry (สีดา) เราต้องอัดซอเผื่อเลือกอยู่ 7-8 เทค ถึงจะได้อย่างที่ได้ยินกัน ซึ่งค่อนข้างยาก แล้วตอน Intro ได้ “พีท 60 Miles” มาอัดให้ เพิ่มความเป็นเกาหลีลงไปอีกนิด (หัวเราะ) แล้วก็เพลงนี้กีตาร์โปร่งจะนำกีตาร์ไฟฟ้านิดนึง ท่อนโซโล่ก็ยาก กว่าจะเล่นให้ลงตัวได้ การดีไซน์การร้อง ก็แยกเป็น 2 ไลน์ เสียงหลักเราจะไม่ร้องเอื้อนเลย แต่เสียงคอรัสจะเป็นเสียงที่เราเอื้อน ก็จะกลายเป็น 2 เสียงคู่กัน
MV
The Rube : ก็มีจิตรกรรมฝาผนังมาทำเป็น ภาพเคลื่อนไหว ก็ต้องขอบคุณทีมงานภาพด้วยครับ แล้วที่เห็นกันใน MV นั่นเราก็เปียกจริงๆ นะครับ กีตาร์ เบส กลอง ฉีดน้ำจริงๆ และแน่นอนขิมด้วย (หัวเราะ) ซึ่งถามว่าขิมเปียกไหม ไม่เหลือ แล้วตอนเอาไปคืนเราจะบอกเขาไหม แน่นอน ไม่บอก (หัวเราะ) ก็เป็นอย่างที่เห็นตามภาพ
อัลบั้ม
The Rube : ตอนแรกเราจะทำ EP อัลบั้ม 6 เพลง แต่ทางค่ายบอกว่าไหนๆ แล้วก็ทำเต็มไปเลย ซึ่งเรามีเพลงในสต็อกอยู่แล้ว ซึ่งปีนี้น่าจะได้เห็นแน่ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งเพลงต่อไปเราก็ได้ไป Feat.กับพี่แจ๊ส สปุ๊กนิกปาปิยองกุ๊กกุ๊ก (แจ๊ส ชวนชื่น) เพลงนี้จะชื่อเพลงสังข์ทอง เป็นแนวตื้ดๆ เลย สายย่อเตรียมตัว
ความกดดัน และชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้น
The Rube : พวกเราไม่คิดว่าเราดัง พวกเราเกิดมาจากกระแสที่เอาความเป็นไทย มาใช้กับวงดนตรีโมเดิร์น เราแค่อยากจะรักษาการทำงานในฐานะ The Rube ให้มั่นคงและยาวนานมให้มากที่สุด ก็ต้องตั้งใจทำงานมากขึ้น
อุปกรณ์ ดนตรี
น๊อต : ผมใช้ Fodera NYC ใช้ Compressor ของ EBS กับ BBE Maximizer Sonic Stomp แล้วก็ Synth Wah ของ Boss
เก๊ท : ผมใช้ไมค์ร้าน (หัวเราะ) ก็หลักๆ จะเป็น Shure Beta58 ใช้ Ear Sennheiser ครับ
เจน : ผมใช้กลองของ CMC ตัว ทอม 1 กับ 2 เป็นไม้ Birch ตัว Floor Tom กับ Kick จะเป็นไม้ Maple ฉาบ เป็น Meinl ส่วน Hi Hat กับ Splash เป็นของ Sabian กระเดื่องใช้ DW5000
จุ๊บ : สำหรับของผมก็ไปดูได้ที่รายการปรับหน้าตู้ครับ (หัวเราะ) เซ็ตอัพผมแบบเดิมเลย ตัวที่ใช้อัดเพลงหลักๆ ก็คือ John Cruz Master Built ครับ
ฝาก
The Rube : ฝากทุกช่องทางโซเชี่ยลของเราได้เลย ส่วนอัลบั้มก็น่าจะปลายปีครับ ฝากด้วยครับ
รู้จัก The Rube ให้มากขึ้น
The Rube
เกิดจากที่ทุกคนเรียนที่ ม.ราชภัฏจันทรเกษม เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเล่นกลางคืน แต่อยู่กันคนละวง “จุ๊บ” ก็ได้ชวน “เก็ท” มาร้องที่วง และได้น็อตกับเจน เข้ามาทีหลัง ในที่สุดชื่อวง The Rube เกิดจากตอนที่กำลังจะตั้งชื่อวง มีเพื่อนของจุ๊บบอกว่าให้ใช้ชื่อว่า Rude Dog แต่พิมพ์ผิดเป็น Rube พอไปเปิดหาความหมายแปลว่า เด็กบ้านนอก ซึ่งจุ๊บมองว่าไม่เหมือนใคร ไม่ซ้ำใคร และไม่ปรึกษาใคร จึงใช้ชื่อ The Rube จนถึงทุกวันนี้
Modern Tradition
แนวดนตรีตอนแรกเป็นป็อปร็อคทั่วไป จากเดโม่เพลงแรกชื่อเพลง “เพียงเธอบอก” เมื่อเอาเพลงมาให้เป้ Mild เป้ก็บอกว่าเพลงพอใช้ได้ หลังจากนั้นทำเพลงออกมาชื่อว่า “ทางไกลใจใกล้กัน” เอามาประกวด Melody Of Life ครั้งที่ 7 จึงได้เข้ามาอยู่ที่ Spicy Disc จากนั้นปล่อยได้เพลง “กรุณา” ซึ่งกระแสตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร จนเหตุการณ์แสนบังเอิญก็เกิดขึ้น เมื่อ “เต่า” (มือกีตาร์วง Mild) และเป้ (ร้องนำ) วง Mild กำลังปรึกษากันเรื่องอัลบั้มอย่างเคร่งเครียด เก็ทซึ่งเป็นคนที่ร้องเพลงลูกทุ่งได้ และปกติก็ชอบล้อเลียนโดยการเอาเพลงวง Mild มาทำร้องแบบลูกทุ่ง สิ่งที่เก็ทอยากทำคือการลดความตึงเครียด ระหว่างทำงานของเป้กับเต่า ก็เลยร้องเพลงวง Mild สไตล์ลูกทุ่ง แต่คนที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน คือเต่า เมื่อเขาได้ยิน จึงตบโต๊ะแล้วบอกเก็ทว่า ใช่!!! The Rube ต้องสไตล์นี้แหละ เป้เองก็บอกว่าอยากเขียนเพลงให้!!! ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของ The Rube ในสไตล์ Modern Tradition
I’m Sorry (สีดา)
ตอนแรกเพลงนี้ชื่อว่า I’m Sorry เป็นเพลงที่เป็นเพลงเหลือใช้ ในสต็อกของวง Mild คือเป็นเพลงที่เป้แต่งเก็บไว้ และไม่ได้เอามาเขียนต่อนั่นเอง (อีกเพลงนึงที่เกือบถูกเลือกมาก็คือหากฉันตาย ของ 60 Miles) เป็นเพลงที่เป้หยิบกีตาร์ ขึ้นมาร้องให้เก็ทและจุ๊บได้ฟัง ซึ่งเก็ทฟังแล้วแอบกระซิบกับจุ๊บว่าต้องเอาเพลงนี้มาให้ได้ จนกระทั่งเวลาผ่านไป The Rube ทำมา 2 เพลง แล้วกระแสยังไม่มา จนต้องมาทำเดโม่ขึ้นมาใหม่ เวลานั้น The Rube ได้แนวทางแบบ Modern Tradition ทำเพลง Fin (วันทอง) เป็นเดโม่แล้ว เก็ทกับเป้นั่งคุยกัน แล้วก็พูดถึงเพลงนี้ขึ้นมา ทำให้ เป้ นึกขึ้นได้ จึงเอาไฟล์เพลงมาแล้วนั่งเขียน ตอนนั้นเลย เป้ บอกว่าควรมีเสียงซอ รวมถึงเมโลดี้ แร๊พ ต่างๆ ในขณะที่ฮัม เมโลดี้ จะลงท้ายด้วยชื่อแบบพระราม พระลักษณ์ หนุมาน พอได้คร่าวๆ เก็ท จึงได้นำไปขยายความต่อ โดยได้คอนเซ็ปต์หลัก คือเรื่องราวของรามเกียรติ์ และหลังจากศึกษาข้อมูล ทำให้ได้เรฟเฟอร์เรนซ์มาจากตอนที่ชิงนางสีดานั่นเอง เมื่อได้เนื้อเรื่อง ได้คำบางคำจากรามเกียรติ์ เช่น สีดาลุยไฟ จึงนำมารวบรวมไอเดียออกมา
สร้างกระแส
เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลง ที่ทำให้เกิดกระแสวรรณคดีฟีเวอร์ขึ้นมา ซึ่งทางวงก็คิดว่าเพลงนี้น่าจะเป็นเพลงฮิตได้ แต่ไม่คิดว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงที่คนอินกับเนื้อหา ซึ่งทำให้เด็กเยาวชนอินกับวรรณคดี
เก็ท คนที่ลูกทุ่ง
เก็ทเคยมีอัลบั้มลูกทุ่งตอนอายุ 11 ขวบ ชื่ออัลบั้มว่าลูกทุ่งไฮเท็ค เก็ทประกวดลูกทุ่งจนได้ออกอัลบั้มเป็นเทป ได้อัดกับ อ.ชินกร ไกรลาศ ซึ่งก็เป็นงานแรกๆ ที่เก็ทได้ทำในวงการดนตรี