จิรัฐ บวรวัฒนะ
ผู้ที่ทำให้ BNK48 กลายเป็นไอดอลที่หลายๆ คนชื่นชอบและกลายเป็นความสดใส เป็นดอกไม้ที่เบ่งบานในวงการดนตรี สร้างความคึกคักให้กับวงการรวมถึงศิลปินทั้งหลาย สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ และกลายเป็นกระแสที่หลายคนหลงใหลในที่สุด สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้ “ต้อม จิรัฐ บวรวัฒนะ” ผู้ที่นำเอาพลังแห่งเลข 48 เข้ามาในเมืองไทย ทำให้ BNK48 กลายเป็น ขวัญใจ ทุกเพศ ทุกวัยในที่สุด
คำถามแรกก็คือ “พี่ต้อมเป็นโอตะ” หรือเปล่าครับ
พี่ต้อม : (หัวเราะ) ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือการ์ตูน ดูการ์ตูนตั้งแต่ 5-6 ขวบ จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมก็ยังอ่านการ์ตูนอยู่ การ์ตูนที่ผมชอบมากคือกัปตันซึบาสะ เรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่สร้างอุตสาหกรรมกีฬาให้ประเทศญี่ปุ่นเลย
ปกติเป็นคนที่ชอบฟังเพลงหรือติดตามอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี หรือวงการบันเทิงมั้ยครับ
พี่ต้อม : ผมชอบฟังเพลงนะ แต่เล่นดนตรีไม่เป็น ผมฟังเพลงทุกแนว ตอนเด็กๆ ผมชอบ Manic Street Preachers แล้วเพลงเพื่อชีวิตก็ชอบ อย่างพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ แล้วแต่ช่วงอายุ ไม่ได้ชอบฟังสไตล์ไหนเป็นพิเศษ แจ๊ซ บอสซาโนว่า ส่วนพวกป๊อป เกิรล์กรุ๊ป ก็ฟังเป็นเพลงๆ อย่างพวก AKB 48 ผมก็ตามนะ แต่ไม่ได้ขนาดเป็นโอตะ เพราะเราทำธุรกิจเกี่ยวกับการ์ตูน เราก็เลยได้เห็นความเคลื่อนไหวของ 48 กรุ๊ป ได้เห็น อากิโมโตะ เซนเซ (ยะซุชิ อะกิโมโตะ ผู้สร้าง AKB 48) เริ่มทำตั้งแต่ช่วงนั้น เราติดตามในแบบคนทำงาน ไม่ใช่แบบโอตะนะ (หัวเราะ)
ย้อนกลับไปทำไมพี่ต้อมถึงก้าวเข้ามาในธุรกิจในส่วนนี้ได้
พี่ต้อม : ครอบครัวภรรยาผม ทำธุรกิจการ์ตูนญี่ปุ่น อยู่ 15 ปี (Rose Media) ได้เห็นคุ้นเคยกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะแฟนคลับที่ชอบ AKB48 กับพวกที่ชอบการ์ตูนอย่าง นารูโตะ, Bleach, Reborn พวกนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน ใกล้เคียง เราได้เห็นติดตามจนคิดว่าถ้าเราได้ทำตัวแฟรนไชส์ของ AKB48 โดยการทำเป็น BNK48 ก็น่าจะดี
การทำงานในส่วนของ Rose Media เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มีการจุดประกายโปรเจ็กต์นี้หรือเปล่า
พี่ต้อม : เป็นจุดที่ทำให้เราเห็นว่าถ้าเราจะขยายต่อไปในอีก Segment นึง นอกจากการ์ตูน ก็น่าจะเป็นจุดที่ทำให้เราเริ่มต้นมีแฟนคลับได้พอสมควร
ตอนนี้ BNK48 เป็นที่รู้จักของทุกคน แต่ถ้าย้อนกลับไปมีความยากง่ายในการที่จะดีลกับโมเดลนี้ขนาดไหน
พี่ต้อม : จริงๆ ตั้งแต่เริ่มดีลเข้ามาเราก็แข่งขันอยู่กับค่ายมีเดียยักษ์ๆ อยู่ 2 ราย ทั้งในวงการเพลงด้วย ความยากคือเราไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเพลง ซึ่งในขณะเดียวกันตรงนี้ก็กลายเป็นจุดแข็ง ในการนำเสนอ ผมบอกกับทุกคนว่าวงการเพลงตอนนี้มันถอยหลังไปหมดแล้ว หากเราทำธุรกิจแบบเดียวกับอุตสาหกรรมเพลง เราจะมาพร้อมกับการถอยหลังเช่นเดียวกัน หากเรานำจุดแข็งของ 48 กรุ๊ป คือการพัฒนาไอดอล การบริหารแฟนคลับ ทำคอนเท้นส์ที่น่าสนใจ โดยใช้เพลงเป็นตัวประกอบที่สำคัญ แต่ไม่ใช่หัวใจหลักในโมเดลนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ทำให้เราไม่ได้อยู่ในกรอบของอุตสาหกรรมดนตรี จึงได้คอนเซ็ปต์รูปแบบใหม่ในการนำเสนอ เอาง่ายๆ เปิดตัวครั้งแรกยังไม่มีเพลงเลย MV ก็เพิ่งมาทำในซิงเกิลที่ 2 เพราะเราให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องราว มาทีละสเตป
ถ้าจะพูดกันตรงๆ การวางโมเดลแบบมีวัยรุ่นเป็นทีนป๊อป เป็นกลุ่มไอดอลวัยรุ่น ที่ได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่น ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ของบ้านเรา ค่ายเพลงใหญ่ๆ ก็เคยทำมาก่อน มีทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร พี่ต้อม ได้วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งจากตรงนั้นหรือไม่ หรือว่าไม่ได้สนใจแล้วลุยไปในทิศทางตัวเองเลย
พี่ต้อม : ความท้าทายจริงๆ ของเราก็คือกรอบของธุรกิจดนตรีนี่แหละ พวกเราคงทราบกันดีว่าการขายเพลงล้านตลับ ขายซีดีเป็นล้านๆ แผ่น มันทำได้ง่ายในสมัยนึง จนกระทั่งพอมันกลายเป็นระบบดาวน์โหลด มีทั้งโหลดแบบถูกและผิดลิขสิทธิ์ รายได้การดาวน์โหลด 1 เพลง 16 บาท แล้วตกถึงคนทำเพลงถึงศิลปินไม่กี่บาท คุณขายได้ล้านดาวน์โหลด ก็ได้รายได้กลับมาไม่เท่าไหร่ อุตสาหกรรมดนตรีมันหดตัวเหลือเล็กนิดเดียว พอมาในอีกมุมนึง คือเรื่องการขายโชว์ ที่ดูว่าจะเป็นความหวังของวงการ ทุกคนหันไปขายโชว์ แต่แล้วก็ถูกดีเจเข้ามาแทรก ศิลปินนักร้องมีงานน้อยลง ผับ บาร์ ต้องการเพียงแค่ดีเจและนักเต้น เพราะพวกนี้ไปคนเดียววางกระเป๋าทำงานได้ ประกอบกับทิศทางดนตรีโลกที่เป็น EDM อุตสาหกรรมเพลงก็เลยยิ่งหดเล็กลงไปอีก แต่โชคดีว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่เรื่องนี้เลย เราไม่พาน้องๆ ไปผับบาร์ เราพยายามที่จะหารายได้จาก Digital Download ให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำก็คืออย่ายึดติดกับรูปแบบ Music Industry แล้วเราอยู่ในอุตสาหกรรมอะไรล่ะ เราก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าอยู่ที่ไหน ปัญหาคือเราทำอะไรมากกว่า ไม่ไปตีกรอบตัวเอง เราใช้คำว่าเราคือไอดอล ผมว่าเราเริ่มเบื่อกับเน็ตไอดอลที่โชว์ร่องอก มาโชว์พูดคุยต่างๆ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องง่ายที่จะทำ ในมุมกลับกัน มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหาไอดอลที่จะพูดในเรื่องของความพยายามและความสำเร็จ ซึ่งพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเพลงเลยนะครับ เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลเป็นหลัก
วันแรกที่ได้ลิขสิทธิ์ของ BNK48 มา ณ ตอนนั้น ในหัวของพี่ต้อมคิดว่าจะลุยไปทางไหนก่อน
พี่ต้อม : คือก่อนที่จะได้เราก็นำเสนอแผนธุรกิจอยู่แล้ว เราก็นำเสนอช่องทาง เพื่อจะนำเสนอก็เป็น Social Media เป็นหลัก ทุกวันนี้เราไม่มีพวกช่องดนตรี ฉาย MV ให้เราดูแล้ว ทุกอย่างอยู่ใน YouTube และพวก Social Media เป็นหลัก เรารู้ตั้งวันที่เราจะทำแล้วว่าจะใช้อะไรหรือทำอะไร
ขั้นตอนการเลือกน้องๆ มาร่วมด้วย ช่วงแรกเจอปัญหาอะไรบ้าง เพราะเป็นโมเดลที่ใหม่มากสำหรับบ้านเรา
พี่ต้อม : เราก็กังวลเหมือนกันว่า จะมีคนมาสมัครกับเรามากน้อยแค่ไหน ในความเป็น 48 ที่คนไม่คุ้นเคย จะมีใครมามั้ย แต่ว่าเราก็ค่อยๆ ทำงานเริ่มจากเราทำโครงการ BNK48 We Need You ส่งผ่านเครือข่ายแฟนๆ เราประกาศครั้งแรกที่โยโกฮาม่า สเตเดี้ยมที่ประเทศญี่ปุ่นว่าเราจะทำ BNK48 ไม่มีนักข่าวไทยสนใจเลยนะครับ จากนั้นเราเปิด Fan Page ปรากฏว่าใน 1 ชั่วโมงมีคน Follow เราเป็นหมื่นคน เราใจชื้นแล้ว ทำให้เรารู้ว่ามีแฟนในจำนวนหลักหมื่น ซึ่งไม่เลวร้ายเลย หลังจากนั้นเราก็ประกาศ โดยการเชิญแฟนๆ มาร่วมพูดคุย แล้วพูดถึงโครงการ We Need You ก็มีน้องๆ ส่งเข้ามา จนปิดรับสมัคร ก็ได้ 1,357 ใบสมัคร ไม่เลวสำหรับการเริ่มต้นกับวงที่คนบอกว่าไม่น่ามีคนสนใจ จากนั้นเราก็เลือกน้องๆ เราไม่ได้เลือกแบบสไตล์เกาหลี ที่แบบมาถึงร้อง เล่น เต้นเก่งแล้ว เข้าแคมป์ 3-5 ปี เดบิวต์ ของเราใช้พื้นฐานเลือกจากทัศนคติ ความคิดอ่าน ความมุ่งมั่น พยายาม และความสามารถในการพัฒนา ให้น้องๆ มาอยู่ กับเราจนสำเร็จ Graduate กลายเป็นศิลปิน แนวทางของเราเป็นแบบนี้
การทำงานกับเด็ก หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือผู้ปกครอง ทำอย่างไรให้พวกเขาเข้าใจ เพราะผู้ปกครองอาจจะคาดหวังจากตรงนี้ เราแจ้งรูปแบบต่างๆ ไว้แต่แรกแล้ว
พี่ต้อม : เรามีการสื่อสารกับน้องๆ และผู้ปกครองเสมอว่าสิ่งที่น้องๆ และเรากำลังทำอยู่คืออะไร มันอยู่ที่ความเชื่อ ระหว่างที่น้องๆ ฝึกฝน ทีมผู้บริหารก็วิ่งทำงานกัน สิ่งสำคัญคือไม่ว่าจะเป็นน้องๆ เมมเบอร์หรือทีมงาน ก็ต้องพัฒนากันไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่ต้องการผู้ปกครอง หรือน้องๆ ที่ต้องการเห็นผลระยะสั้น ของแบบนี้ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีทางได้มาง่ายๆ ถ้าเราคิดว่าเราสำเร็จเราจะล้มเหลวทันที ดังนั้นกับผู้ปกครองไม่ใช่การรับมือ แต่เป็นการอธิบายให้เข้าใจร่วมกัน แต่ถ้าใครคิดว่านี่ไม่ใช่ทิศทางเราก็ยินดีที่จะแยกทาง ซึ่งแน่นอนการกระทบกระทั่งกับผู้ปกครองเป็นเรื่องปกติ แต่แนวทางที่เราทำ เรารู้ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เราต้องการคนที่เชื่อมากกว่าคนที่ไม่เชื่อ
กฎเกณฑ์ต่างๆ ของทางญี่ปุ่น ทำให้ทำงานยากขึ้นหรือเปล่า
พี่ต้อม : จริงๆ มันมีทั้งที่ทางญี่ปุ่นกำหนดและเรากำหนด เช่นการรับงานผับบาร์ที่มีแอลกอฮอลล์ พวกถ่ายแบบชุดว่ายน้ำเราจะไม่ให้น้องรับงานแบบนี้ ญี่ปุ่นมีกฎแบบนึง เราก็กำหนดแบบนึง ซึ่งก็เป็นความท้าทายของพวกเรานะ เช่นกฎที่ห้ามเซลฟี่ ในขณะที่วันนี้ศิลปินไม่ต้องแจกลายเซ็น เอาหน้ามาใกล้ๆ แล้วเซลฟี่ มันยิ่งกว่าแจกลายเซ็นอีก การฉีกรูปแบบที่เป็นกระแสหลักผมว่าอันนี้แหละยาก สำคัญคือสิ่งที่เราชื่อ จุดยืนที่เราเชื่อ และการเดินทางในทางที่เราเชื่อ จนกระทั่งวันนี้คนก็ยอมรับแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อ ถ้าเป๋เราจะล้มทันที
การเลือกบุคลากรสายดนตรีอย่างพี่เอ๊ะหรือพี่แมน ละอองฟอง ทำไมต้องเป็น 2 คนนี้
พี่ต้อม : ก็เริ่มจากโปรเจ็กต์ SanQ Band ที่เอาคุณแดน ดีทูบี กับคุณเอ๊ะ มาทำโร๊ดทริปไปทั่วคิวชู ตลอด 30 วัน ทำเพลงขึ้นมา เปิดหมวก หากิน เดินทาง ออกมาเป็นรายการทีวี และกลายเป็นภาพยนตร์ เราทำร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะคิวชู เป็นโครงการแรกที่ได้ทำร่วมกับคุณเอ๊ะ แล้วจริงๆ ผมเองก็ชอบเพลงของ SanQ ทุกเพลง จริงๆ งานของ BNK48 จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ง่ายแน่นอน ดนตรี เมโลดี้เป็นของญี่ปุ่น ซึ่งค่อนข้างสมบูรณ์ รวมถึงท่าเต้นต่างๆ แต่ยากคือการใส่เนื้อเพลงที่เหมาะสม ลงตัว มันอาจจะไม่สำเร็จเลย ถ้าไม่มีคำว่า “แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ” ก็ต้องให้เครดิตกับทีมนี้
ความรู้สึกแรกที่ได้ดูน้องๆ เดบิวต์เป็นอย่างไรบ้าง
พี่ต้อม : ร้องไห้ (นิ่งสักพัก) คือโปรเจ๊กต์นี้คือโปรเจ็กต์ ที่มีอารมณ์ร่วมสูงมาก น้องๆ ผม ทีมงานทุกคน เห็นแฟนๆ ที่สนับสนุน คุณลองคิดดูนะว่าวันแรกที่งาน Japan Expo น้องๆ ใส่ขาสั้นแล้วไปประกาศว่าเป็น BNK48 เจนเนอเรชั่นที่ 1 หลังจากนั้นน้องๆ ก็มาฝึกฝน เลิกเรียนมาฝึกตอนเย็น เสาร์อาทิตย์มาฝึก 7 ชั่วโมง โดยไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ วันที่เราเปิดตัวครั้งแรกที่ Emquartier วันที่ 22 มิถุนายน มีแฟนๆ มารอแต่เช้า ห้างถามว่ามีงานอะไร สินค้าขายเกลี้ยง น้องๆ มาถึงออกไปข้างหน้า น้ำตาไหลหมด คนรอบข้างทุกคน รับความประทับใจนั้นไม่ไหว มันเป็นน้ำตาแห่งความรู้สึกดี แต่นั่นคือวันแรก จนถึงวันนี้แฟนๆ ก็เริ่มมากขึ้น
หลังจากการเริ่มต้นครั้งนั้น จนถึงวันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง หรือคาดเคลื่อนจากแผนที่วางไว้บ้างครับ
พี่ต้อม : ไม่มีอะไรที่คาดเคลื่อน มีแต่โอกาสที่มากขึ้น อะไรที่เป็นโอกาสเราจะไม่ทิ้งสักอันเดียว และจะพยายามหาโอกาสให้มากขึ้นด้วย พยายามพาน้องไปไกลที่สุดก็จะไกลได้
แล้วกับดีลเรื่องทีมฟุตบอลชาติไทยได้ร่วมงานได้อย่างไร
พี่ต้อม : ผมจะคุยกับทุกคนเสมอว่านักกีฬากับไอดอลคือเรื่องเดียวกัน นักกีฬามีสนาม มีแฟนเชียร์ มีเสื้อเชียร์ อุปกรณ์เชียร์ มีการแข่งขัน มีตัวจริง ตัวสำรอง ซึ่งที่ผมพูดมานี่ก็คือ BNK ทั้งหมดเลยนะ เรามีเซ็มบัตสึเป็นตัวจริง มีอันเดอร์เกิร์ลเป็นตัวสำรอง มีสนามของเราคือเธียเตอร์ มีเสื้อเชียร์ มีแฟนคลับโห่ร้อง ทุกครั้งที่น้องๆ ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญคือมีความพยายามและเป้าหมาย มีการต่อสู้ที่ชนะบ้าง แพ้บ้าง เราได้รับโอกาสจากสังคม เราอยากนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ กลับสู่สังคมเช่นเดียวกัน หลังจากนี้จะเห็น BNK48 ไปอยู่ในกีฬาอีกหลายประเภท นี่คือ Agenda ของเรา หากพูดถึงกีฬาอันดับหนึ่ง คือฟุตบอล ทีมฟุตบอลอันดับหนึ่งของเราคือช้างศึก และเมื่อมีโอกาสได้ร่วมทำแล้ว เราปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้ และโชคดีที่ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยของบริษัทแพลนบี มีเดีย เห็นเรื่องเดียวกับพวกเรา จึงได้ทำงานร่วมกัน และไม่ใช่เรื่องของธุรกิจมากมายอีกด้วย
จนตอนนี้มีคอนเสิร์ตใหญ่แล้วตื่นเต้นมั้ยครับ
พี่ต้อม : ก็ดีใจที่คอนเสิร์ตแรกของน้องๆ ได้รับการตอบรับ อย่างดี แต่เราก็มีเป้าหมายให้เดินกันต่อไป จากไบเทค ไปอิมแพ็ค และไปราชมังคลาฯ การนำพาไอดอลกรุ๊ปเข้าสู่ราชมังคลาฯ ก็คงจะเจ๋งไม่น้อย แต่มันไม่ง่ายหรอก ผมไม่ได้อยากได้แบบที่เป็นกระแส แต่ผมอยากได้แฟนที่พร้อมจะลุยร้องเพลงกับพวกเราทุกเพลง ร่วมกัน แสดงความรู้สึกร่วมกัน ผมตั้งเป้า 3 ปี นับจากนี้
ตอนนี้ความสำเร็จจากเพลงอย่างคุกกี้เสี่ยงทาย ทำให้ทุกคนรู้จัก BNK48 สิ่งที่น่ากังวลสำหรับธุรกิจเพลงไทย ก็คือเพลงที่ต่อจากเพลงนี้อาจจะไม่แรงเท่าเพลงแรก แล้วอาจจะกระทบกับความนิยม กังวลตรงนี้หรือไม่ และมีแผนเตรียมการยังไงบ้าง
พี่ต้อม : อย่างที่บอก ผมไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมดนตรีอยู่แล้ว เราไม่ใช่วงที่ไปโชว์เพื่อร้องเพลงเดียว เราต้องฉีกกฎแห่งความสำเร็จของเราไปเรื่อยๆ เพลงแรก Aitakatta อยากจะได้พบเธอ เป็นการสื่อสารกับแฟน หมื่นกว่าคนว่าเราอยากพบเธอ ซึ่งเสื้อผ้าก็จะเป็นโทนสีเทาขาวให้เหมาะกับช่วงเวลา ไม่ฉูดฉาดมากไปนัก และเมื่อถึงเทศกาล Fortune Cookies กับชุดที่มีความสดใสน่ารัก ก็เหมาะสม พอถึงเพลงที่ 3 Shonichi เป็นเหมือนวันแรก ที่กลับสู่โรงเรียน กลับไปสู่วันแรก สื่อสารกับแฟนคลับที่อยู่ตรงหน้าเราให้มากขึ้น กลับไปที่ตัวตนว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราต้องเดินต่อไป ต้องมีทั้งเหงื่อและน้ำตา เราต้องทำให้มันดียิ่งขึ้น สิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้ทำเรื่องกระแส แต่ปลายทางของมันคือสถาบัน เราต้องการพัฒนา BNK48 ให้เป็นสถาบัน ดังนั้นไม่เป็นไรถ้าเพลงต่อจาก Fortune Cookies จะไม่ดัง เพราะสามารถไปทางอื่นได้ ต่อไปคุณอาจจะเห็นละคร หรือภาพยนตร์ของ BNK48 สิ่งที่เราอยากสื่อสาร ก็คือเราไม่ได้อยู่ในกระแสดนตรีที่รอเพลงดัง เราทำงานของเราเรื่อยๆ
ช่องทางของ BNK48 ก็คือโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย คราวนี้สิ่งที่มาพร้อมกับโซเชี่ยล คือคอมเมนต์ โดยเฉพาะด้านลบ ที่ต้องบอกว่าบ้านเราก็ไม่เป็นสองรองใคร มีวิธีจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร เพราะน้องๆ ใน BNK48 ก็โตมากับโซเชี่ยลยุคนี้เช่นกัน ซึ่งอาจจะมีจุดที่ทำให้น้องๆ เกิดพลาดหรือมีความเซนซิทีฟได้
พี่ต้อม : ต้องย้อนกลับไปที่ตัวน้องๆ ลองดู เฌอปรางค์ก็ได้ ทุกวันนี้ยังแพลงค์กิ้งอยู่เลย คือทุกคนยังทำเรื่องเดิม เหมือนตอนที่ยังไม่มีคนรู้จัก ถามว่าน้องๆ ทำเพื่ออะไร เพราะน้องๆ มีเป้าหมายเดียวกับที่เราเห็น สิ่งที่เข้ามากระทบกับเค้า มันผ่านมาก็จะผ่านไป สำคัญว่าเราคือใคร เราเป็นยังไง อันนี้คือของจริง นี่คือภูมิต้านทานที่สำคัญ เราก็มีทีมงานที่ดูด้านนี้อยู่ ซึ่งอีกไม่นานเราอาจจะมีจิตแพทย์ที่เข้ามาดูแลด้วย นอกจากผู้จัดการ หรือทีมงาน PR และ AR ด้วย
การต่อยอดในเรื่องงานของ BNK48 ในสายบันเทิงอื่นๆ วางไว้อย่างไรบ้าง เพราะถ้าเป็นอย่างญี่ปุ่น นอกจากร้องเพลง งานแสดง ก็ยังสามารถ เป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เกี่ยวกับเกมหรือการ์ตูนอนิเมชั่นต่างๆ ได้ ซึ่งดูแล้วเป็นทางเลือกที่สามารถเรียกแฟนคลับแบบโอตะได้มากกว่า แต่กับบ้านเราทางเลือกตรงนี้อาจจะน้อยกว่ามาก หรือจะโฟกัสไปทางด้านไหน
พี่ต้อม : ผมว่าโลกวันนี้มันทันกันหมดแล้ว การต่อยอดมันไปได้หลายทาง การที่วันนึงน้องๆ มาทำงานร่วมกับทีมฟุตบอลทีมชาติไทย นี่ก็เป็นการต่อยอดแบบนึง อย่างเกม เราก็มีมา 2 เกมแล้ว แล้วกำลังพัฒนาขึ้นไปอีก จริงๆ มันต่อยอดได้กว้างนะครับ ถ้าไม่ยึดติดว่าเราคือนักร้อง
ตอนนี้ BNK48 เป็นกระแสที่แรงมาก รู้สึกอย่างไรบ้างที่ดารา ศิลปิน หรือแม้กระทั่งคนที่ทำงานเบื้องหลังของวงการบันเทิง ไปจนถึงสายกีฬา สายการเมืองชื่นชอบ BNK48
พี่ต้อม : ก็ดีใจที่ผู้ใหญ่ให้ความสนใจ และเอ็นดูน้องๆ พี่ป้อม พี่โต๊ะ เป็นไอดอลของผม พอเห็นคลิปที่แกร้องเพลงคุกกี้เสี่ยงทายก็ดีใจ และผมก็เคยได้พูดคุยกับแกบ้างแล้ว อาจจะมีการร่วมงานกันในอนาคต แต่จะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน
อีกสิ่งที่น่ากลัวสำหรับเมืองไทยก็คือคนไทยลืมง่าย และกระแสมาไวไปไว โมเดลของ BNK48 พี่คิดว่าจะตั้งไว้กี่ปีครับ
พี่ต้อม : ผมว่าญี่ปุ่นอยู่มา 12 ปี จาการ์ตา 6 ปี ที่จีน 6 ปี บ้านเราเพิ่งปีเดียว สิ่งสำคัญถ้าเรารู้ว่าทิศทางไปทางไหน เราอยากให้ BNK48 เป็นสถาบันที่ผลิตคนคุณภาพสู่สังคมไทย อันนี้ไม่ได้พูดแบบสวยหรูนะครับ จะทำให้มันเกิดขึ้นจริง วันนึงที่อาจจะไม่มีผมแล้ว BNK48 ก็ยังอยู่ได้ วันนึงผมจะมีความสุขมากถ้าให้ใครสักคนใน BNK48 กลายเป็นผู้บริหารแทนผม (หัวเราะ)
สิ่งที่เราจะเห็นจาก BNK48 ในอีก 2-3 ปี ต่อจากนี้
พี่ต้อม : คอนเสิร์ตที่ใหญ่ขึ้น การทำงานกับมืออาชีพผู้มีความเชี่ยวชาญ ในหลายอาชีพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอาศัยเน็ตเวิร์คของ 48 เพื่อพาน้องๆ ไปต่างประเทศ น่าจะเป็นความท้าทายนึงที่อาจจะเกิดขึ้น
ฝากผลงาน
พี่ต้อม : ก็ต้องขอบคุณแฟนๆ และโอตะทุกๆ ท่าน ที่ร่วมกันสนับสนุนน้องๆ ตั้งแต่ต้น ส่วนหน้าที่ผมในฐานะ Management เรารับฟังทุกท่านเสมอ จะเห็นได้จากการพัฒนาการทำงานที่ผ่านมา และสิ่งเหล่านั้นเกิดจากคอมเมนต์ และเสียกเรียกร้องจากแฟนๆ ทั้งสิ้น อยากให้ทุกๆ คนเห็นเป้าหมายเดียวกัน และอยากให้ทุกคนพาวงไปสู่ความสำเร็จด้วยมือของพวกเราทุกๆ คนครับ
ครูเอ๊ะและพี่แมน
บุคคลสำคัญที่สุดคนนึงในการเขย่าวงการดนตรีกับน้อง BNK48 นั้นจะเป็นใครไม่ได้ คนที่ปลูกฟังแนวคิดแห่งความเชื่อ ความเป็นนักสู้ ให้กับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ ที่วันนี้กลายมาเป็นไอดอล ทำให้วงดนตรีสาวๆ วงนี้ กลายเป็นที่รักของทุกๆ คน แน่นอนทุกคนเห็นรอยยิ้ม รอยยิ้ม และรอยยิ้ม แต่ด้านมืดเบื้องหลัง ความเหนื่อยล้าที่ไม่ใช่แค่การหลั่งน้ำตา นี่คือเรื่องราวของชายที่กำลังโดนโอตะบางท่าน โดนโซเชี่ยลถล่มว่า “เกาะเด็กดัง” โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่ได้มาแบบง่ายๆ คำวิจารณ์แง่ลบมากมายที่เกิดขึ้นไม่เคยทำให้เขาสั่นคลอน และก็พิสูจน์ตนเองจนได้ว่าเขาสามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นกับวงการดนตรี เขาสร้างอะไร วันนี้เราจะมาพูดคุยถึงที่มาทั้งหมดของ BNK48 ผู้ที่เห็น BNK48 ที่เป็นเลขศูนย์ มโนภาพที่วาดในหัวและดึงมันออกมาจนทำสำเร็จ อ๋อ! แล้วเธียเตอร์ที่กำลังจะสร้างใหม่ เขาเป็นผู้ออกแบบและดูแลการผลิตเองด้วย นี่คือครูใหญ่แห่ง BNK48 ครูเอ๊ะ Syndrome (พงศ์จักร พิษฐานพร) และคู่หูพี่แมน (ตนุภพ โนทยานนท์) เราอาจจะรู้จักพวกเขาสองคนมากขึ้นกับวงละอองฟอง นี่คือที่มาที่แท้จริง ที่คุณอาจจะไม่มีทางได้ยินจากสื่อไหนมาก่อนเลย
ทั้ง 2 คน ชอบ Pop Culture ของญี่ปุ่นตั้งแต่แรกหรือเปล่า
พี่เอ๊ะ : ก็ถ้าดูละอองฟองคุณคิดถึงประเทศอะไรก็แค่นั้นเลย ซึ่งก็มีมา 20 ปีแล้ว เราเป็นวงแรกๆ ที่ทำ แล้วมันก็ถูกซึมซับมาเองโดยธรรมชาติ สังเกตได้ผลงานชุดหลังๆ มีทั้งเพลงภาษาญี่ปุ่น เพลงไปติดชาร์ต เราไปเล่นที่ญี่ปุ่นดังนั้นต้องบอกว่าวงเราเป็นวงนึงที่มีความสัมพันธ์กับประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างสูง
พี่แมน : ถ้าพูดตรงๆ ว่า เราตั้งใจเป็นญี่ปุ่นกันแต่แรกไหม ก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับ จุดที่มันคลิกกันก็คือแนวทางดนตรีที่เราอยากทำคือสวีดิชป๊อป มันคลิกกันได้กับชิบุยาเกะ
พี่เอ๊ะ : ความบังเอิญที่ใกล้เคียงกันคือเรื่องภาษา คุณรู้หรือเปล่าว่าภาษาสวีดิชกับญี่ปุ่นออกเสียงคล้ายกันมาก ซึ่งลองมองย้อนกลับไป อย่างยุค 70 จะมี ABBA ยุค 90 มี M2M มี The Cardigans ซึ่งเขาใช้ผู้หญิงร้องนำเยอะ แล้วด้วยซาวด์ดนตรี ภาษาการร้อง วิธีการ มันบังเอิญใกล้กับญี่ปุ่น ลองไปศึกษาได้ครับ
พี่เอ๊ะเคยสัมภาษณ์ว่าตอนทำละอองฟองก็คล้ายๆ แบบนี้ คือปั่นนักร้องขึ้นมาก่อน อย่าง “อร” แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับโมเดลไอดอลขนาดนี้
พี่แมน : รูปแบบคล้ายๆ กัน เรามีคอนเซ็ปต์ว่าเราต้องการแบบไหน เราก็ออดิชั่นนักร้องขึ้นมา
พี่เอ๊ะ : ใช่ครับ เหมือนกันเลย เราต้องการเด็กที่ทัศนคติดี ง่ายๆ ก็เราเทรน อร ในเรื่องการร้องเพลงเรื่องต่างๆ จน Graduate กลายเป็น อร ละอองฟอง จากวันแรกที่มาคล้ายๆ กับเด็กๆ ที่มาใน BNK48 ที่ต่างกันคือตอนนี้เรามีอร 30 คน (หัวเราะ) และในขณะเดียวกันพวกผมก็มีหน้าที่แต่งเพลง ในฐานะแบนด์ด้วย วิธีทำงานเลยใช้ตอนเป็นละอองฟองมาคิดได้ส่วนนึง
ทุกอย่างเหมือนเริ่มต้นตอน San Q แบนด์พอได้รับรู้ว่าจะต้องทำโมเดลของ BNK รู้สึกยังไง
พี่เอ๊ะ : ใช่ครับ นั่นคือจุดเริ่มต้น ตอนที่ผมทำกับแดน วรเวช เราไปเล่นที่ญี่ปุ่น คุณต้อม (จิรัฐ บวรรัตนะ) ก็ได้พาผมไปคุยกับทางญี่ปุ่นเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้ ตอนนั้นพี่แมนยังไม่มา ผมกับแดนไปลั่นวาจากับคุณต้อมไว้ว่าถ้ามีอะไรพวกผมช่วยได้นะ ซึ่งผมก็คิดว่ามีประสบการณ์ในวงการดนตรีมากพอที่ช่วยในเรื่องดนตรี หรือเรื่องอื่นๆ ได้ มีคนถามว่าทำไม ทำหลายอย่างจัง ไม่มีตังค์จ้างเหรอ (หัวเราะ) คือผมก็รู้สึกว่าก็เราทำได้ เรามี Passion กับสิ่งนี้มากพอ อย่างเธียเตอร์ ผมก็ออกแบบนะ (พี่เอ๊ะทำงานด้าน ออกแบบ ตกแต่งภายในด้วย) ถ้าเราไม่ได้เห็นจากศูนย์ เราก็ไม่รู้หรอกว่าหนึ่งคืออะไร
พอได้รับรู้ว่าจะต้องทำโมเดล ของ BNK รู้สึกยังไง แล้วรู้หรือเปล่าว่าโปรเจ็กต์ วิธีการของกรุ๊ป 48 คืออะไร
พี่เอ๊ะ : จะไปรู้ได้ยังไงครับ (หัวเราะ) ผมไม่ได้เป็นขนาดโอตะ ผมรู้จัก AKB48 คร่าวๆ จากเพลงอย่างเดียว ไม่ได้รู้จักระบบ แต่เราเรียนรู้ด้วยตัวเองหลังจากที่เขาแจ้งมาว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วเราก็มาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย ก็เลยไปชวนแมนมาทำด้วย
พี่แมน : ซึ่งตอนแรกผมก็ โอเคครับ เพราะเป็นงานดนตรี แล้วก็เป็นงานของพี่เอ๊ะด้วย ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนแรกเราก็นึกว่ามาช่วยแต่งเพลงอย่างเดียว
พี่เอ๊ะ : จนเกิดเหตุการณ์นึงที่พี่แมนจะไม่ทำกับผมด้วย นั่นคือเพลง 365 วันกับเครื่องบินกระดาษ
พี่แมน : เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เราทดลองวิธีทำงานต่างๆ แล้วมันถูกแก้อยู่หลายรอบมาก เป็นงานที่ทำให้รู้จักคำว่าการลดอีโก้เลย เพราะเราเป็นคนแต่งเพลง เรามีลายเซ็นของเรา ภาษาต้องเขียนแบบนี้ การเล่าเรื่องแบบนี้ เพลงไทยต้องเล่าเรื่องแบบนี้ แต่งเสร็จส่งให้ทางญี่ปุ่นฟัง ก็เอามาแก้ บอกว่าเนื้อหา ประเด็นไม่ครบ เราก็ส่งไปอีก ก็แก้อีก บอกเนื้อเพลงไม่เข้ากับท่าเต้น จนกระทั่งเราเอา Google Translate แปล แล้วผมร้องไกด์ไป แล้วทางนั้นบอกว่าเอาแบบนี้ ผมโมโหมากเลยนะ คือผมบอกไปเลยว่า ถ้าจะเอาแบบนี้ เอาใครมาทำก็ได้ ไม่ต้องจ้างผมหรอก
พี่เอ๊ะ : อย่างที่บอกเราเริ่มจากศูนย์ ผมบอกแมน ใจเย็น ให้เวลาอีก 3 วัน วันที่ BNK ไม่เป็นที่รู้จัก เรียกใครมาช่วยก็ไม่มี ผมบอกแมนว่า “แมนถ้าแมนไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่พี่ต้องทำว่ะ” ผมพูดกับแมนแบบนี้ รอบตัวเราผมไม่สามารถหาคนช่วยได้เลยพูดตรงๆ เพื่อนศิลปิน แทบทุกคน ไม่มีใครช่วยเลย เรามองหน้ากันสองคน เราต้องทำหรือเปล่าวะ แต่อย่าเข้าใจผิดนะ วันนี้ที่พี่น้องศิลปินเข้ามาผมก็ยินดี แต่แค่อยากจะบอกว่าวันที่ผมเริ่มจากศูนย์กัน ไม่ค่อยมีคนเห็นหรอก พวกเราต้องผ่านอะไรบ้าง คุณต้อมลงเงินเท่าไหร่ ตัวผมลงพลังทั้งหมดไปขนาดไหน เหมือนบะหมี่สำเร็จรูปวันนี้ คุณราดน้ำร้อนแล้วกินมัน แต่ก่อนจะมาเป็นเส้นกระบวนการมันหนักหนาขนาดไหน หลายคนบอกผมติงต๊อง รู้จริงหรือเปล่า ในวันที่ผมไม่มีใคร แมนก็กำลังจะไม่ทำ ผมบอกว่าถ้าแมนไม่ทำพี่ก็ต้องทำ ผมบอกคุณต้อมไปแล้วว่าจะช่วยและผมยึดมั่นในสัจจะ
ก่อนเจอกับน้องๆ ทุกคนวางแผนไว้ยังไงบ้าง แล้วพอเจอน้องๆ ต้องปรับแผนยังไงบ้าง
พี่เอ๊ะ : สิ่งแรกที่ผมทำคือสร้างภาพในหัวก่อน ผมบอกคุณต้อมว่าคุณเคยเห็นศิลปินเกาหลีมาเมืองไทย แล้วห้างแตกมั้ย ผมบอกว่าวันนึงผมจะทำให้เกิดภาพนี้กับเด็กๆ ใน BNK ให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งเป้าไว้ แล้วผมเชื่อมั่น มันเป็นพลังหรือแรงดึงดูดสักอย่าง ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่เราคิดแล้วก็ทำมันทุกอย่าง ไปซ้อม ไปเต้น ผมทำภาพที่อยู่ในหัวทุกวันๆ แล้ววันนั้นก็ปรากฏต่อหน้าผมจริงๆ เพราะฉะนั้นถามว่าผมวางแผนอะไร ผมวาดภาพต่างในหัวแล้วทำ
สิ่งที่ยากก็คือการความลำบากในการใส่เนื้อเพลง การเลือกเพลงที่จะมาทำตรงนี้มีวิธีการแนวทางอย่างไร
พี่แมน : อย่างเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย เรารับว่าจะต้องมาเพลงนี้ BNK48 ร้อง ตาพวกผมเป็นประกายนะ เพราะถ้าย้อนกลับ 3 ปีเพลงนี้ เป็นเพลงที่พี่เอ๊ะ เปิดให้พวกเรา 3 คนละอองฟองได้ดู ตอนที่คิดว่าจะทำอัลบั้มที่ 3 กัน
พี่เอ๊ะ : ผมเปิดเพลง Koisuru Fortune Cookies ของ AKB48 ให้ดู แล้วบอกว่าเดี๋ยวละอองฟองน่าจะทำเพลงแบบนี้นะ ทำสไตล์นี้
พี่แมน : แล้วพอได้ทำเพลงนี้จริง เรารู้สึกว่าเพลงนี้ต้องทำให้ทุกคนรับรู้ถึงมันได้ เราได้เห็นเนื้อหาและคำแปลแล้ว ก็คิดว่าเพลงมันต้องมาได้แน่ๆ ความหมายมันได้ แต่อุปสรรค สำคัญก็คือทางญี่ปุ่นจะยอมเรามั้ย เพราะเนื้อหาในเพลงจริงๆ มันเล่าของมันไปเรื่อยๆ ไม่มีการขมวดปมใดๆ เป็นการบรรยายความรู้สึกไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็คุยกับพี่เอ๊ะว่าพี่เราโกงเขาหน่อยได้ไหม ให้เล่าตามเขาหมดเลยไม่รอดแน่ๆ (หัวเราะ)
พี่เอ๊ะ : (หัวเราะ) ผมเคยประชุมกับทีมญี่ปุ่นหลายครั้งแล้วบอกเขาไปว่า Culture เราไม่เหมือนกัน ผมบอกพวกเค้าว่าเพลงที่ดังที่สุดในญี่ปุ่นตอนนี้ เคยได้เปิดวิทยุในไทยมั้ย ก็พูดไปตรงๆ ผมบอกว่าเรากำลังทำเพลงญี่ปุ่นให้คนไทยฟัง แต่ไม่ได้ทำให้คนญี่ปุ่นที่อยู่ในไทยฟัง เราต้องคุยแบบนี้ ถ้าทำตามญี่ปุ่นเป๊ะเลย เดี๋ยวก็กลายเป็นเพลงการ์ตูน เพลงร้องกุ๊กกิ๊กๆ ไป
พี่แมน : ซึ่งมีเวลาแค่ 3 วันเท่านั้น แน่นอนเวลาขนาดนี้ไม่มีใครช่วยเราได้ แล้วผมจะบอกกติกาคร่าวๆ ให้ฟังว่าทางญี่ปุ่นต้องการอะไร ความหมายต้องตรง บรรทัดต่อ บรรทัดได้ยิ่งดี ประเด็นทุกอย่างต้องครบ ห้ามขาดเล่าอะไร ต้องเล่าให้หมด เมโลดี้ จังหวะ ทำนอง พยางค์ ต้องลงให้ครบ 99 เปอร์เซนต์ได้ยิ่งดี เมโลดี้ห้ามบิดเลย ยากมาก เราก็ลองทำออกมา ให้พี่เอ๊ะฟัง ซึ่งพี่เอ๊ะบอกว่า
พี่เอ๊ะ : มันยังไม่ได้ว่ะแมน (หัวเราะ) คือผมบอกกับแมนว่าเพลงนี้มันดังทั่วประเทศได้แน่ เพราะฉะนั้นอะไรที่จับต้องไม่ได้ ปรับดีกว่า ในธุรกิจดนตรี เครื่องมือสำคัญที่สุดก็คือตัวเพลง โปรดักท์ดียังไง เพลงเชื่อมคนไม่ได้ คนจะไม่เสพ เมื่อเพลงเชื่อมคนได้ โปรดักท์ดี มันก็จะมีมิติ ถ้าเพลงไม่มา มันก็จะไม่ถึงตัวศิลปินแน่นอน นี่คือเครื่องมือหลัก ผมเอาเดโม่เพลง คุกกี้ให้คนกรีดยาง ชาวสวน แม้ค้าตลาดฟัง รีเสิรช์เลย ผมเปลี่ยนเนื้อเลย แล้วผมก็ได้ Message ผมได้แนวคิดว่าทำยังไงที่จะแบบเปิด คุกกี้ไปเจอน้องน่ารัก อยากเปิดกล่องคุกกี้จังเลย แล้วก็ได้ท่อนที่เหมือนกุญแจ เปิดกล่อง คำว่าแอบมองเธออยู่นะจ๊ะ ซึ่งตอนแรกมันเป็น แอบมองอยู่นะนะ มันฟัง งงๆ อะไรวะ นะ นะ เอานะจ๊ะนี่แหละ ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นลายเซ็นของละอองฟองอยู่แล้ว พอมันลงเป็นพยางค์ก็โอเคเลย แล้วสุดท้ายที่มันขมวดปมก็คือ ท่อน Pre Hook ก่อน Hook ตอนแรกแมน แต่งแบบเปิดๆ คือมาสิมาทำนายกัน ผมก็รู้สึกว่า เฮ้ย! มันต้องมีอะไรมาทำนาย ก็เอาคุกกี้สิวะ นั่นแหละ ทุกอย่างจบเลย แล้วร้องแบบคุกกี้ให้น่ารักขนลุกเลย (หัวเราะ)
แต่อย่างเพลงชาติก็ไม่น่าตามญี่ปุ่นทั้งหมดนี่ครับ
พี่เอ๊ะ : ใช่ เพลงนี้มันเป็นชื่อสถานที่ท่องเที่ยวแต่ตอนแรก เขาก็บรีฟชื่อมา เราปวดหัวเลย เอเชียทีค อโศก สุขุมวิท ตลาดน้ำ คนไทยไปเหรอ คือผมเข้าใจพวกเขา พวกนี้เป็นที่เที่ยวที่คนญี่ปุ่นชอบไป แต่เดี๋ยวนะ ขอโทษนะครับผมแต่งเพลงให้คนไทยฟังครับ ไม่ใช่คนญี่ปุ่นในไทย (หัวเราะ) แต่ละที่มันไม่ได้ เราก็ต้องบอกเขา ซึ่งเพลงนี้ก็จะไม่ฟิกซ์มาก ก็เลยส่งไปให้ใหม่ นี่เพลงนี้เหมือนตอนพี่ป้อม พี่โต๊ะ แต่งเพลงกรุงเทพมหานครเลยนะ (หัวเราะ) ถึงเวลาของยุคแมน เอ๊ะ แล้ว 5555555 (หัวเราะ)
พี่เอ๊ะบอกว่าจะเลือกเด็กจากทัศนคติ ดังนั้นการปรับสกิล ทั้งร้อง ทั้งเต้นแบบนี้ยากขนาดไหน
พี่เอ๊ะ : การเทรนเด็กก็ยาก เราต้องดูด้วยเราเป็นคนรุ่นไหน ต้องบรีฟเด็กทุกอย่างรายละเอียดเยอะมาก ผมบอกไว้แต่ต้นว่าเรามีคำว่าไอดอล และศิลปิน คำว่าศิลปิน เมื่อเราทำผลงานเสร็จ คนจะยอมรับผลงานของเรา แต่คำว่าไอดอล ความพยายามต้องสำคัญที่สุด เด็กไม่ต้องเก่ง แต่ต้องพยายาม ในเรื่องการร้องเช่นกัน เราไม่ได้ต้องการเด็กที่มาโชว์พลังเสียง แต่เราต้องการธรรมชาติของเค้า ดังนั้นเวลาเขาร้องเพลงเขาต้องเข้าใจว่าสิ่งที่จะเล่าคืออะไร ทุกคนร้องเพลงได้ทุกคน แต่ร้องให้เข้าใจคืออะไร มันอยู่ที่การเล่าเรื่องด้วย อารมณ์ เด็กบอกว่าหนูร้องไม่ดี ใช่หนูร้องไม่ดี แต่หนูร้องแล้วเข้าใจหรือเปล่า
พี่แมน : ก็ไปยากอีกทีตอนอัด เพราะร้องกันแข็งมาก (หัวเราะ) ร้องกันจนน้องๆ ร้องไห้ ต้องให้ไปพักผ่อนก่อน
พี่เอ๊ะ : คือสำคัญต้องให้มันได้อารมณ์ก่อน บางคนร้องเพี้ยน บอกหนูร้องเพี้ยน อยากแก้ใหม่ แต่ผมบอกว่าไม่ต้องแล้วเดี๋ยวจูนให้ เสียงเพี้ยนมันจูนได้ อารมณ์มันจูนไม่ได้ ยากสุดทำยังไงให้ร้องมีอารมณ์ร่วมด้วย ปัญหาคือมันต้องทำแบบนี้ทั้ง 10 กว่าคนนั้นแหละ ยากสุดๆ พวกผมนี่มันเทพจริงๆ (หัวเราะ) หลักๆ ของ BNK48 คือขายความพยายาม ซึ่งไม่ใช่แค่ศิลปินนะ อยากบอกว่าเนี่ยพวกกูด้วย (หัวเราะ) ทุกคนในโปรเจ็กต์นี้พยายามกันหมดนั่นแหละ ซึ่งตอนนี้เพื่อนผมๆ หลายคนเริ่มมาช่วยกันแล้ว ซึ่งผมก็อยากบอกคนเหล่านั้นว่า เออ กูก็ดีใจ (หัวเราะ) แต่บางคนนี่ก็โดนโอตะด่านะ ผมก็ต้องบอกว่าให้ใจเย็นๆ กันนะ พวกพี่ก้อ บอยตรัย โดนแคปมาให้ผมดู บอกเฮ้ยพี่ มันด่าผมยังงี้เลยเหรอวะ (หัวเราะ) คือส่วนใหญ่แฟนๆ มันก็เด็กๆ เกิดไม่ทันพวกนี้หรอก ก็ต้องบอกไปแบบนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากปรับทัศนคติเด็กแล้ว คนที่จะมาร่วมงานกับ BNK48 ก็ต้องปรับด้วย (หัวเราะ) เพราะมันมีข้อแม้หลายอย่างจริงๆ โอตะอย่างบอย ตรัย ยังถอย (หัวเราะ)
ความลำบากในการเลือกเซ็มบัตสึ
พี่เอ๊ะ : แน่นอนเวลาประกาศ มันต้องมีคนที่ดีใจและเสียใจ แต่ผมต้องเป็นศูนย์รวมใจให้เด็กๆ พวกนี้ เวลามีปัญหา เราต้องเป็นทั้งครู เพื่อน พี่ และพ่อ มันต้องเป็นครอบครัวให้เขา ทุกคนมีอารมณ์เสียใจ ท้อใจทั้งหมด เราต้องรวมพวกเขาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอันเดอร์เกิร์ลไปจนถึงกัปตัน เอาจริงๆ นะ พ่วงตำแหน่งจิตแพทย์ให้ผมยังได้เลยตอนนี้ (หัวเราะ) ซึ่งมันก็สนุกดี แต่สิ่งที่ผมว่าโชคดีที่สุด ก็คือผู้ปกครองจะต้องห้ามยุ่งเด็ดขาด ในเรื่องของการเรียน การสอน ซึ่งเป็นข้อกำหนดของ 48 กรุ๊ป ดังนั้นตัดปัญหาตรงนี้ไปได้เยอะมาก
แล้วตัวพี่เอ๊ะกับพี่แมนมีอารมณ์ แบบนี่กูมาทำอะไรที่นี่เนี่ย กลับไปทำละอองฟอง ไปใช้ชีวิตดีกว่า
พี่เอ๊ะ : ไปฟัง เพลง Fighto ของผมได้เลย บางทีฉันก็คิด นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายเราเชื่อ เรามี Passion สิ่งที่ดีที่สุดคือ ไม่ว่าเด็กจะสร้างปัญหาให้ผมขนาดไหน แต่ผมไม่เคยคิดลบกับเด็กเลย ผมสามารถเอาสิ่งนี้เป็นประสบการณ์ชีวิตผมได้เลย ซึ่งความหวังผมไม่ใช่แค่ทำน้องให้เป็นไอดอลแล้วจบนะ ผมอยากทำให้เป็นตัวอย่างกับศิลปินในวงการด้วย ผมเคยคุยกับแสตมป์ เขาบอกว่าพวกเราทำเพลงกันเหนื่อยมาก ทำเสร็จเหมือนยืนในน้ำ แล้วน้ำท่วมถึงคอ มันเหนื่อยมากที่จะเอาตัวรอด แต่ผมอยากให้โมเดล นี้เป็นตัวอย่างทางอ้อม ให้เพื่อนๆ ศิลปิน ผมจะบอกกับทุกคนที่ผมเจอเสมอ เราทำเพลงแล้ว คนรักผลงานเพลงของเรา แต่บางทีเขา เข้าไม่ถึงตัวตนของเรา ไม่ถึงตัวศิลปินจริงๆ พองานเพลงมันเริ่มผ่านเวลาไป มันก็จะหายไป แล้วมันก็จะทำให้วงการมันไม่คึกคัก ตัวนั้นสิ่งที่ผมอยากให้เป็นไม่ใช่แค่น้องๆ เป็นไอดอล แต่ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งให้เกิด ผลกระทบกับวงการเพลงไทย เพื่อให้ได้มี Real Artist จริงๆ
แรงบันดาลใจที่ได้จากน้องๆ
พี่เอ๊ะ : ก็กระตุ้นให้ผมทำ Aeh Syndrome ขึ้นมา เราสอนเด็กทุกวันว่าต้องพยายาม ต้องไม่เลิกฝัน ถ้าคิดแล้วต้องทำได้ ต้องเชื่อ แต่พอมามองตัวเองในกระจก ก็คิดได้นะเออ เราเองเนี่ยก็อยู่ในวงการดนตรีมานาน ก็มีความฝันแบบนั้นเหมือนกัน พอถึงวัยก็คิดว่าวาสนาคงมีเท่านี้แหละ คงต้องอยู่จุดนี้ แต่พอเราหันไปดู ญี่ปุ่น มี Pikotaro ก็แก่ เกาหลีมี PSY ก็แก่แล้ว แล้วทำไมประเทศไทยจะมี Aeh Syndrome ไม่ได้วะ (หัวเราะ) ผมก็คิดว่ามันคงจะเจ๋งไม่น้อยถ้าเราสามารถเอาเพลงของเราไปเล่นที่สิงคโปร์ จีน หรือที่อื่นๆ ได้ ในความเป็นจริงกับคนอายุ 45 มันอาจจะเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่แดนเคยพูดกับผมว่า พี่! คนเราก็มีสิทธิ์ที่จะฝันเปล่าวะ บวกกับพี่เต้ง (พิชัย จิราธิวัฒน์) เจ้าของ Spicy Disc ให้โอกาสผม บอกว่าต้องเป็นแบบ PSY ให้ได้ ผมต้องทำให้ได้ เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้น้องๆ เห็นด้วยความพยายามไม่เคยทำร้ายใครสักคนที่ตั้งใจ เป็นการพิสูจน์สิ่ง ที่ผมสอนเด็กว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง อาจจะดูเหมือนลัทธิสักหน่อย (หัวเราะ) ซึ่งผมอยากจะบอกทุกคนด้วยซ้ำว่าอย่าทรยศความฝัน ข้ามมันไปให้ได้ ผมทำได้ คุณก็ทำได้
การได้แชมป์ว่ายากแล้ว แต่การรักษาแชมป์ยากกว่า ตอนนี้ BNK เหมือนจะเป็นแชมป์แล้ว มีความกดดันเกิดขึ้นกับพี่เอ๊ะบ้างหรือเปล่า
พี่เอ๊ะ : ผมอยากจะบอกว่าผมจะไม่ทำให้น้องๆ เป็นของสด แต่จะทำให้น้องๆ เป็นของแท้ ตอนนี้น้องๆ เหมือนผลไม้สดๆ ที่อยู่ในซุปเปอร์ ใครๆ ก็อยากทาน แต่อย่าลืมนะครับของสดมันมีอายุของมัน ผมจะต้องทำให้น้องเป็นสบู่ ยาสีฟัน ที่มองไปทุกครั้ง มันก็จะอยู่ตรงนั้น มันจะวางอยู่ตรงนั้นให้คนที่ต้องการเสมอ นั่นคือศิลปิน นั่นคือสิ่งที่ผมจะทำ ผมจะบอกกับน้องๆ ว่า วันนี้ครูยินดีในสถานะพวกเธอ แต่จะไม่ชมพวกเธอหรอก เพราะมีคนอวยพวกเธอเยอะแล้ว แต่สำคัญที่สุดคือพวกเธอต้องไปต่อ แล้วครูจะทำแบบนั้นไปพร้อมพวกเธอเช่นกัน นั่นคือการรักษาแชมป์ในทางของผม
ตอนนี้รุ่น 2 เริ่มมาแล้ว รุ้สึกยังไงบ้างเพราะต้องบาลานซ์ ทั้ง 2 ด้าน ทั้งพวกทีมหลัก น้องๆ ที่มาใหม่ รวมถึงคนที่รอโอกาสอยู่
พี่แมน : ก็ง่ายๆ รุ่น 2 มา เข้าหลืบซ้อม รอไลฟ์ตู้ปลา ขึ้นมาให้ได้ รุ่น 1 เตรียมเข้าเธียเตอร์ พัฒนาสกิลทักษะต่างๆ
พี่เอ๊ะ : ก็ต้องบาลานซ์ให้ดีครับในส่วนของครู
ตั้งแต่ทำมาถึงตรงนี้พี่ๆ มองว่ามีใครที่จะสามารถโดดออกมากลายเป็นสตาร์ในวงการได้ไหม
พี่เอ๊ะ : ผมไม่บอกชื่อ แต่บอกเลยว่ามี มีตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ผมถึงขนาดบอกพี่ต้อม พี่จ๊อบเลยว่า คนนี้เลย เขาจะกลายเป็น Solo Artist ได้ในวันข้างหน้า เขาจะกลายเป็นตัวจริงได้ แต่เราไม่บอกชื่อตอนนี้แน่นอน (หัวเราะ)
กลัวน้องๆ จะแตกแถวไหม เพราะตอนนี้หลายคน เริ่มโตขึ้น มีชื่อเสียง แต่อาจจะโดนความสำเร็จจู่โจมแบบไม่รู้ตัว
พี่เอ๊ะ : ผมจะเตือนน้องเสมอว่าอย่าลืมว่าเป้าหมายเราคืออะไร ความฝันทุกคนไม่เหมือนกัน เธอยังเหมือนเดิมมั้ย บางคนอาจจะคิดว่าหนูดังแล้ว หนูอยู่เซฟโซนดีกว่า เพราะฉะนั้นต้องคุยกันว่า ยังเหมือนเดิมมั้ย อยากเป็นศิลปิน ดารา Debut อยากมีซิงเกิ้ลเหมือนเดิมหรือเปล่า
พี่แมน : เรื่องนี้ก็อยู่ที่น้องๆ แล้ว ถ้าเขายังมุ่งมั่นและทำตาม ที่เคยสัญญาไว้ เขาก็จะไปได้
พี่เอ๊ะ : เด็ก วัยรุ่น ผู้หญิง สังคมออนไลน์ โลกโซเชี่ยล ดัง เห่อแน่นอน ลืม แน่นอน ลอย แน่นอน ไม่มีไม่ได้ แฟนสปอยล์เด็กตลอด แต่เวลาโดนด่า ใคร ก็เด็ก เด็กที่คุณสปอยล์กันนั่นแหละ ที่คุณบอกรักนักหนา ดังนั้นเราต้องคอยดึง คอยเตือน ไม่ให้เด็กลืมว่าฉันมาทำอะไรตรงนี้ รุ่น 2 หลายคนมา ผมถามคำแรกว่า รู้จัก BNK ได้ยังไง ตอบ ชอบเพลงคุกกี้ ผมถามต่อไปว่าขอโทษนะ อยากมาดังเหรอ ที่นี่เป็นสะพานให้เธอหรือเปล่า ผมจะย้อนถามกลับไปแบบนี้เลย อยากดัง อยากมีชื่อเสียง ที่นี่ไม่ใช่คำตอบ แต่ถ้ารัก ฝันที่จะทำสิ่งที่รักนี่คือคำตอบ คุณอยู่ที่นี่กับเรา คุณต้องสู้เหมือนพวกเรา ไม่ใช่อยู่ 1 ปี กูดัง ชิล สบายแล้ว ไม่ได้หรอกพูดกันตรงๆ ไม่ใช่นะ เคยมีเด็กพูดกับผมว่าเราดังง่ายจัง จะจัดการกับมันยังไงดี ผมเจ็บมากนะ เพราะศิลปินจริงๆ มันลำบากมากว่าจะได้ความสำเร็จมา ผมตอบกลับไป จนเด็กมันร้องไห้
ฝากผลงานของ BNK48 ด้วยครับ
พี่เอ๊ะ : วันนี้เราได้แรงสนับสนุนจากทุกคน ผมรู้ว่าทุกคนชอบน้องด้วยอะไร ก็อยากให้รักษาตรงนั้นไว้ เห็นน้องพยายาม ก็ช่วยกันซัพพอร์ต อยากให้ทุกคนเชื่อในพลังความเชื่อทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งเป้าในชีวิต และวันนั้นทุกคนก็จะทำได้ และประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ
พี่แมน : อยากให้แฟนๆ น้องทุกคนเข้าใจความยากลำบากกว่าจะมาถึงวันนี้ ก็อยากให้สนับสนุนทีมงานด้วย เพื่อให้สถาบัน BNK48 ไปได้ไกลที่สุด