ปัจจุบันนี้ วงการดนตรีไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยค่ายเพลงยักษ์ใหญ่เพียงอย่างเดียว ค่ายเพลงที่มีไซส์“ขนาดกลาง” มีบทบาทเป็นอย่างมากในวงการดนตรีปัจจุบัน หลายวงที่กำลังโลดแล่นก็มาจากค่ายไซส์ขนาดกลางนี้ การขยายตัวจากค่ายเพลงอินดี้เมื่อสัก 4-5 ปีก่อน มาเป็นค่ายขนาดกลาง หนึ่งในค่ายที่มีผลงานโดดเด่นก็คือ
What The Duck โดยการบริหารงานโดย 3 หัวเรือใหญ่ มอย สามขวัญ ตันสมพงษ์,บอล ต่อพงศ์ จันทบุบผา และออน ชิชญาสุ์ กรรณสูต ทั้ง 3 คนมีส่วนร่วมผลักดัน
ให้เจ้าเป็ดแห่งวงการเพลง กลายเป็นเป็ดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น นี่คือเรื่องราวของค่ายเพลงค่ายนี้ และความเป็นมาของศิลปินในค่ายที่กำลังเฉิดฉาย เหมือนเป็ดที่สามารถแหวกว่ายกลางมหาสมุทรแห่งวงการดนตรีตัวนี้
3 คนงานสายบันเทิง ดนตรี และจุดเริ่มต้นของเจ้าเป็ดน้อย
What The Duck เริ่มก่อตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือของพี่มอยและพี่ออน ซึ่งขณะในนั้นแต่ละคนก็มีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไปในเส้นทางสายธุรกิจบันเทิง สำหรับพี่ออนเอง เรียกได้ว่าเติบโตในครอบครัวสายบันเทิงอย่างแท้จริง โดยดำเนินธุรกิจในด้านการบริหารจัดการทีวีช่อง 7 มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ซึ่งพี่ออนดูแลทั้งในส่วนของละครและรายการทีวีต่างๆ ที่ออกอากาศภายในช่องอย่างเต็มตัว นอกจากนั้นยังเป็นผู้จัดการประกวดเวทีนางงามระดับประเทศอย่าง Miss Universe Thailand ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกอีกด้วย ส่วนพี่มอยเอง เดินบนเส้นทางสายดนตรีมาตั้งแต่ต้น เริ่มจากการทำงานกับค่ายเพลงสากล EMI Music Thailand ดูแลในส่วนของ Marketing จากนั้นมาทำงานในตำแหน่ง GM แห่งค่าย Believe Records ประกอบกับช่วงนั้นได้ทำงานร่วมกับพี่บอล ในด้านมิวสิคโปรดักชั่นต่างๆ อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และนอกจากธุรกิจเพลง พี่มอยยังทำงานในวงการทีวี และโปรดักชั่นต่างๆ อีกด้วย ทำให้ช่วงนั้นพี่มอยและพี่ออนรู้จักกันในฐานะคู่ค้าทางด้านธุรกิจ และต่างก็ชื่นชมการทำงานของกันและกันมาโดยตลอด กระทั่งทั้งคู่มองเห็นโอกาสและช่องทางในการดำเนินธุรกิจเพลงร่วมกัน จึงเริ่มชักชวนและร่างโมเดลการบริหารจัดการศิลปินขึ้นมาคร่าวๆ โดยอาศัยประสบการณ์ของทั้งคู่ นำมาสู่ข้อตกลงเพื่อทำงานร่วมกันชิ้นแรก นั่นคืองานของ “สิงโต นำโชค” และนี่คือจุดเริ่มต้นของค่าย What The Duck
• พี่บอลยังคงทำงานอยู่กับ Believe ต่อจนทางผู้ใหญ่ตัดสินใจยุติ บทบาทของค่ายในอีกหนึ่งปีต่อมา จึงย้ายมาช่วยงานที่ What TheDuck ตามคำชวนของพี่มอย
• ด้วยความที่พี่ออนมีหมวกอยู่หลายใบ ในด้านงานบันเทิง และด้วยเงินทุนที่พร้อมสนับสนุนศิลปินเพื่อที่จะต่อยอดความสำเร็จในหลากหลายด้าน หน้าที่หลักของพี่ออนจึงเป็นการผลักดันให้ศิลปินมีโอกาสได้ทำงานในเส้นทางอื่น ที่ไม่ใช่เพียงแค่การร้องเพลงเท่านั้น
• พี่ออน เป็น Music Lover ตัวจริง ชอบสะสมเทปซีดี รวมไปถึงชอบดูคอนเสิร์ตด้วย โดยในยุคหนึ่งเป็นคนที่อยู่ทีมรายการ Teen Talk ของ Grammy
• ไอเดียแรกสุดคือการเป็น Artist Management คือจัดการเรื่องงานและต่อยอดศิลปิน เช่นเส้นทางสายดนตรี จะเป็นความดูแล
ของพี่มอยและพี่บอล แต่หากอยากต่อยอดไปในสายบันเทิงด้านอื่นๆ จะเป็นความดูแลของพี่ออน ซึ่งตอนนี้มีรูปแบบสัญญาที่เป็น Multiple Deal เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละเงื่อนไข และความต้องการของศิลปิน ตอนนี้กำลังพัฒนาช่องทางและรูปแบบในการจัดการต่างๆ ให้ศิลปินในแต่ละขนาดเพิ่มเติม ซึ่งในอนาคตอันใกล้จะเห็นค่าย What The Duck ดูแลศิลปินที่มีสเกลเล็กและสเกลใหญ่เพิ่มมากขึ้นอีก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของวงการเพลงในช่วงนั้นๆ
ส่วนงานการบริหาร What The Duck
พี่บอล : มีหน้าที่รับผิดขอบในการหาศิลปิน
พี่มอย : เรื่องของการต่อยอดศิลปิน ทำงานร่วมกับพี่บอล เพื่อให้ศิลปินสามารถสร้างคอนเทนต์เองได้
พี่ออน : ทำงานร่วมกับพี่มอย เมื่อศิลปินเริ่มสามารถสร้างคอนเทนต์ก็จะส่งเข้าสู่ตลาดในด้านอื่น เพื่อให้กว้างมากขึ้น
• จากงานจะเห็นว่าทุกอย่างจะเริ่มจากพี่บอลก่อน แต่ในบางกรณีเช่นมีดาราอยากมาร้องเพลง ก็อาจจะเริ่มจากพี่ออนก่อนบ้าง ซึ่งก็จะมาปรึกษาพี่บอลก่อนว่าจะเหมาะหรือไม่
• บางโปรเจ็กต์ที่อาจจะเป็นวาระพิเศษ เช่นจะทำรายการ จะมีการคุยกันเป็นโปรเจ็กต์ๆ ไป
• ในเคสที่เห็นได้ชัด คือ MV ของวง Musketeers ที่ในส่วนของพี่ออน รู้จักกับรายการ The Face ไปทำ Campaign เมื่อมีผู้ชนะ
ในวีคนั้น ประกอบกับทางศิลปิน กำลังจะมี MV ก็จะให้ผู้ชนะมาถ่ายเป็นนางเอก MV และปล่อย MV ในรายการวีคนั้น ซึ่งเป็นการทำงานที่เริ่มจากพี่ออนก่อน
คอนเซ็ปต์ของ What The Duck
• พื้นที่ของ Music Lover เป็นสนามให้กับศิลปิน ที่มีระบบการจัดการแบบพี่น้อง สามารถเข้าถึงกันได้
• การทำงานกับศิลปินกับเพลงที่มีศิลปินนั้นๆ มีความสุข และผลักดันเพลงของศิลปินนั้นๆ เริ่มจากที่ศิลปินแฮปปี้กับเพลง และผลักดันไปให้ถึงจุดที่ไกลที่สุด เป็นสนามเด็กเล่นของคนดนตรีที่ไม่ต้องบังคับให้ศิลปินมาเล่นของเล่นที่ทางค่ายสร้างไว้ ให้มีอิสระทางความคิด มีอิสระในสิ่งที่ศิลปินอยากเล่น
• ไม่ได้กำหนดสไตล์ตายตัว ทุกคนสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง
แนวคิดแบบคนบันเทิงและดนตรีรวมกัน
เราจะเห็นได้ว่าทั้ง 3 คนมีแนวไอเดียที่คล้ายคลึงและทำงานสอดประสานกัน What The Duck มีเป้าหมายที่ชัดเจนในแต่ละศิลปิน ทั้งในระยะยาว และระยะสั้น คำถามที่ตามมาก็คือในวงการบันเทิงเรื่องความคาดหวัง เรื่องรายได้ มันจะได้มากกว่าวงการดนตรีหรือเปล่า ซึ่งพี่ออนได้บอกว่า “วงการบันเทิง ดาราจะได้เป็นค่าตอนละคร ซึ่งก็ไม่ได้มากเท่าไรนัก แต่ตรงนี้เป็นพื้นที่สร้างชื่อเสียง ต่อยอดเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือในงานโชว์ตัว เช่นเดียวกัน วงการดนตรีก็ได้รายได้จากยอดดาวน์โหลด สตรีมมิ่งไม่ได้เยอะ แต่จากพื้นที่ตรงนี้สามารถต่อยอดไปในงานโชว์ หรือพรีเซ็นเตอร์ และพอเข้าถึงส่วนนี้ได้ รายได้ก็ไม่ต่างกันมาก” แกนหลักของ What The Duck เป็นค่ายเพลง แต่หากศิลปินสามารถทำได้มากกว่านักดนตรี เขาก็สามารถเป็นดาราได้เช่นกัน เราจะเห็นได้จาก สิงโต นำโชค ที่เป็นนักร้อง พิธีกร นักแสดง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เกิดจากความสมัครใจของศิลปินด้วย
สิงโต นำโชค Model
งานแรกที่เป็นโมเดลตั้งต้นของค่าย What The Duck คือ สิงโต นำโชค เริ่มต้นด้วยการที่พี่มอยได้ไปคุยกับ
กิจแจ๊ซ (โปรดิวเซอร์ของสิงโต) และพี่สาวของกิจแจ๊ซ ซึ่งเป็นคนที่ทำงานกับสิงโตทางด้านดนตรี พี่มอยได้คุยแนวทางใหม่ที่จะทำว่าจะทำอะไร ยังไงบ้าง พอเริ่มเข้าใจในแนวทางงานผลงานแรกในแนวทางใหม่ของ What The Duck ก็เริ่มขึ้นในอัลบั้ม Lucky ในเพลงอรุณสวัสดิ์ ซึ่งถือเป็น Single แรก ของ What The Duck ซึ่งระหว่างนั้น สิงโตเคยได้ไปร่วมแสดงละครช่อง 7 มาด้วย (เป็นช่วงที่เพลง อยู่ต่อเลยได้ไหมดังขึ้นมา) ทำให้พี่ออนได้เห็นความสามารถในส่วนนี้ พี่มอยบอกว่า “ตอนแรก สิงโตจะไม่เล่นละคร เพราะไม่ถนัด แค่อยากจะลองไปดู พอสิงโตกลับมาแรกๆ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบสักเท่าไร แต่ด้วยละครเรตติ้งดี ทำให้เกิดการเพิ่มตอนขึ้น ออนเขาเลยมาปรึกษาผมว่า งั้นให้สิงโตเล่นต่อได้ไหม ซึ่งผมก็เลยถามโตว่าจะเอายังไง ถ้าจะไม่เล่นก็บอก จะให้ผู้กำกับหาตัวแสดงแทน โตตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรพี่ตอนนี้ผมถนัดแล้ว (หัวเราะ) ทำให้จากนักดนตรีอินดี้ กลายเป็นคนที่ใครๆ ก็รู้จัก เอาง่ายๆ ตอนนั้นสิงโตมีงานเล่นดนตรี ลงตารางงานใน Facebook มีคนถามว่าพี่ไปทำอะไร พี่เล่นดนตรีได้ด้วยเหรอ (หัวเราะ) คือนึกว่าสิงโตเป็นดารา” นี่เป็นเคสที่ชัดเจนในแนวทางของ What The Duck หากตัวศิลปินสามารถที่จะทำได้ใน 2 สถานะ แล้วการแต่งเพลง ไม่เสียแนวทางไป ทางค่ายก็จะหนุนเต็มที่
คำวิจารณ์
สิ่งที่ทั้ง 3 คน เห็นตรงกันก็คือนี่คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในวงการบันเทิง พี่บอลบอกว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของการทำงานในจุดนี้อยู่แล้ว ซึ่งเรา ไม่ได้ถึงขนาดว่าเก็บเอามาคิดจนเครียด ในมุมกลับกัน ในมุมที่มันไม่ดี ก็ยังแสดงให้เห็นว่าคนยังพูดถึงเรา แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะสร้างข่าวไม่ดี ให้คนพูดถึงนะ (หัวเราะ) แต่ถ้าคำวิจารณ์ นั้นมีผลกระทบต่อตัวค่าย เราก็ต้องมาดู มาคุยกันว่า เออ มันเกิดอะไรขั้น ต้องแก้ไขอย่างไร แต่สุดท้ายตอนนี้เราอยู่ในจุดที่พวกเราแฮปปี้จริงๆ”
อิสระของศิลปิน ที่จะทำให้ภาพ What The Duck ไม่ชัดเจน
ศิลปินในค่าย What The Duck จะมีแนวทางที่ชัดเจนมากๆ ในดนตรี แต่ปัญหานี้ก็ส่งผลกระทบ อาจจะทำให้ทุกคนรู้จักศิลปิน แต่ไม่รู้ที่มาของศิลปิน อย่างตัวค่าย What The Duck ที่จะเกิดความไม่ชัดเจนขึ้น พี่บอลบอกว่า “เราไม่ได้มองค่ายเพลงเป็นแนวเพลงค่ายเพลงจริงๆ เป็นแค่องค์กร เราจะเป็นพื้นที่ไว้ซัพพอร์ตศิลปิน วิธีการทำงานที่เราต้องการ เราไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นแนวไหน ตัวแบรนด์ดิ้งของค่าย จะเกิดจากลายมือศิลปิน นี่เป็นแนวทางของเรา ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้ชอบสไตล์แนวใด แนวหนึ่ง เลยไม่ได้อยากกำหนดว่าเราจะต้องมีดนตรีแนวนี้แนวนั้น เฉพาะเจาะจง ให้ศิลปินสร้างตัวตน โดยที่เราซัพพอร์ตดีกว่า เอาล่ะ ถ้าพูดแบบธุรกิจ ส่วนตัวแบรนดิ้งค่ายให้คนจำ ผมก็อยากได้ แต่แบรนดิ้งที่ดี จะเกิดจากคอนเทนต์ที่อยู่ในนั้นดังนั้นถ้าศิลปินจะทำเพลงอะไรก็แล้วแต่ เพราะผลสุดท้าย ถ้าคนฟังเดินทางมาเจอศิลปินได้ ก็จะเจอค่ายเอง เราไม่ได้อยากทำค่ายที่เป็นแพทเทิร์นตายตัวซึ่งผมเชื่อนะว่าถ้าเราจะจัด What The Duck Festival คนจะคิดภาพออก ซึ่งผมชอบแบบนี้มากกว่า”
ค่ายเพลงอินดี้ What The Duck?
การที่พี่บอลเป็นคนที่เลือกเฟ้นหาศิลปินทำให้ภาพที่ติดมาก็คือค่ายเพลงนี้จะต้องเป็นศิลปินอินดี้ พี่บอล “คือคนมักจะไปขีดกรอบกันว่าอินดี้ เป็นแนวดนตรีแบบใต้ดิน ต้องฟังไม่รู้เรื่อง เป็นการนำเสนอที่อยู่เฉพาะกลุ่ม ซึ่งผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมเชื่อในแง่วิธีการทำงานว่าทำงานแบบนี้จะสามารถเติบโตไปในวงกว้างได้เหมือนกัน ผมเพียงแต่ถนัดกับการไปดูงานเล็กๆ ดู YouTube ดู Facebook ซึ่งถ้าผมสนใจ และเขาสนใจที่จะทำงานร่วมกัน ก็จะมาลองดูว่าเขาจะสามารถไปได้ขนาดไหน อันนี้ขอยกตัวอย่างเพลงของ Scrubb นะ ผมเกิดจากเพลงที่มีขนาดเล็กมาก วันนึงผมมีทีมงาน มีโอกาสที่ดี เพลงของผมถูกนำไปวางในที่ที่เหมาะสม ผมก็เห็นว่า เออ มันก็ไปได้นี้ ดังนั้นผมมองว่าเราต้องขยายความว่าอินดี้ไม่ใช่แนวทางดนตรีเฉพาะกลุ่ม ต้องเสพยากฟังยาก แต่เป็นต้นน้ำที่ดี ที่จะต่อยอดไปได้ ผมโตมาจากอินดี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะตั้งเป้าหมายให้ศิลปินเป็นอินดี้ตลอดชีวิต อันนี้ไม่ใช่ อยากให้เติบโตทุกคนอยู่แล้ว”
คู่แข่ง
คู่แข่งในวงการเพลงตอนนี้เป็นใคร นี่คือคำตอบพี่มอย “จะไปสู้อะไรกับใครล่ะ (หัวเราะ) เอาจริงๆ นะเดี๋ยวนี้ค่ายเพลง คุยกันทุกค่ายแล้ว เราทำธุรกิจด้วยกันในบางเรื่องด้วยกัน ตอนนี้มันหมดยุค ค่ายนี้ไม่ทำกับค่ายนี้แล้ว มันต้องร่วมมือกันทั้งหมด ให้พูดตรงอย่าง Grammy เอง ก็มีการปรับอะไรหลายอย่างมากขึ้น ในองค์กร เขาก็มาหาคนนอกมากขึ้น เราจะเห็นได้ง่ายๆ จากการขายซีดี อีเวนท์ต่างๆ ที่ Grammy เป็นเจ้าภาพ ก็เริ่มมาคุยกับพวกเรา คุยกับ Smallroom, Spicy Disc โอเคการแข่งขันในด้านคุณภาพศิลปิน มันต้องแข่งกันอยู่แล้ว แต่มันมีคำว่า “น้ำใจนักกีฬามากขึ้น” ไม่ต้องมาตะบี้ตะบันแข่งกันอย่างเดียว คือถ้าสู้กันต่อไปเหมือนเมื่อก่อน วงการมันจะยิ่งแย่ ตอนนี้เราสู้กัน แต่ไม่ได้เพื่อเอาชนะ แต่สู้กันเพื่อให้วงการขยับไปได้อีก”
การย้ายออกของศิลปินในค่าย
การเปลี่ยนแปลงบุคลากรในค่ายจะทำให้ค่ายเพลงสะดุดหรือไม่ หรือมีความกังวลหรือเปล่า พี่บอลตอบว่า “คือเราต้องทำความเข้าใจวงจรของอุตสาหกรรมดนตรี เข้าใจวงจร ชีวิตของนักดนตรี เรามองว่าถ้าเราทำงานกับศิลปินเต็มที่ เดินทางไปสู่เป้าหมายเดียวกัน มีความสุขร่วมกัน ผมว่าก็ไม่มีใครอยากไปไหน กลับกัน ถ้าเขาไม่อยู่กับเรา ต้องกลับมาถามตัวเองนะว่า สิ่งที่เราทำ ที่วางแผนไว้ มันซัพพอร์ตเขาได้จริงหรือเปล่า โตพอกับสิ่งที่เขาฝันหรือเปล่า ซึ่งเรามีหน้าที่ซัพพอร์ตเขาให้ดีที่สุด ผมยังคิดว่ายุคนี้ Passion ของศิลปิน มีมากกว่าเรื่องเงิน ถ้าเขาอยากทำในสิ่งที่ที่เขาต้องการ ผมเชื่อลึกๆ ว่าตรงนี้ยังนำอยู่นิดๆ ซึ่งอาจจะเป็นที่ จุดที่ผมทำงานด้วย เอาจริงๆ ผมคุยกับเด็ก บางทีเด็กพวกนี้ไม่ได้อยากมีค่ายแล้ว เขาอยากทำในสิ่งที่เขาชอบ ตอบโจทย์ และไม่ถูกธุรกิจครอบงำ ดังนั้นผมว่า Passion มันต้องมาก่อน พอรายได้เข้ามา แล้วเขาแฮปปี้ก็ค่อยว่ากัน”
แรงกดดันจากความคาดหวังที่มากขึ้น
หลังจากค่ายเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากงานของสิงโต นำโชค จนมาถึง The Toys ความกดดัน ความคาดหวังจะมีมากขึ้นหรือเปล่า พี่มอย “แน่นอนมันมีอยู่ แต่ต้องถามว่าในแง่ไหน ถ้าในองค์รวมค่ายเราแฮปปี้ แต่ตอนนี่สิ่งที่กดดันก็คือศิลปินเบอร์อื่นที่เรารู้สึกว่าเรายังส่งเขาได้ไม่ดีมากพอ เวลาเราเซ็นสัญญากับศิลปิน เราจะบอกกับเค้าว่าเราจะพาเขาไปได้ถึงจุดไหน แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึง ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่กดดันวงที่ถึงฝั่ง แล้วจะต่อยอดยังไง เราจะดูศิลปินเหล่านี้ อันนี้เป็นสิ่งที่กดดัน”
ถ้าวันนึงตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างใน What The Duck หายไปหมด
พี่บอล : ผมกลับบ้านเลย (หัวเราะ) จริงๆ เคยมีคนถามผมคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน ผมเองก็ตั้งวันรีไทร์ไว้เหมือนกัน อยากทำงานยาวๆ สักที่ สัก 10 ปี หลังจากนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ถ้าหายไปจริงๆ อาจจะกลับบ้าน
พี่มอย : แต่ผมทำต่อ (หัวเราะ) ไม่ได้ๆ ผมมีอันนี้อันเดียว ผมทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว (หัวเราะ) ผมจะประกาศหาศิลปินใหม่ หรือให้ไปดูแล Scrubb ก่อนก็ได้นะ (หัวเราะ)
พี่ออน : พี่มีงานนางงามแล้ว รอดตัว (หัวเราะ)
โปรเจ็กต์ในอนาคตของ What The Duck
เป้าหมายของค่ายในอนาคต พี่บอล “เราคงจะขยายค่ายในแนวนอนก่อน คือในอุตสาหกรรมบันเทิง อะไรที่มันพุ่งเร็ว โต และแรงเกินไป มันอันตรายนะ เวลามีอะไรเปลี่ยนแปลงมันจะไม่ปลอดภัย ตอนนี้เราเข้าปีที่ 5 ภาพก็จะชัดเจนมากขึ้น แต่เราจะพยายามทำให้ฐานมันแน่นก่อน ไม่ได้แบบเร่งให้โตและใหญ่ไปเลย เราก็จะพยายามดูในทุกเรื่องทั้ง Channel, Event, Content ในแง่ของ Artist เราก็จะพยายามพัฒนาในบ้านของเราให้โตขึ้น ควบคู่ไปกับการหาศิลปินหน้าใหม่ ซึ่งไม่ใช่การต้อนเข้ามาแบบเยอะๆ แล้วอีกอย่างคือการไปดูแลในหมวดของศิลปินเล็กๆ ที่อาจจะไม่ได้อยู่ในหมวดธุรกิจ เรื่องการดีลงาน แนะนำบางอย่าง รวมถึงพวกทีมงานเบื้องหลังด้วย เราจะทำอะไรเพื่อซัพพอร์ตพวกเขาได้ เพราะถ้าค่ายโต แต่คนเหล่านี้ลำบาก มันก็ไปต่อยากนะ”
พี่มอย “เราอยากจะนำพาศิลปินบางคนออกไปนอกประเทศ ซึ่งเราพยายามมาสักพักแล้ว ด้วยวิธีการต่างๆ อย่าง สิงโต ซึ่งหลังจากนี้อาจจะมีอีก เช่น การไปร่วมเล่นในเทศกาลดนตรีต่างประเทศ ตอนนี้อยากทำให้มันโตขึ้น ตอนนี้ยังเล็กๆ อยู่จะพยายามผลักดันตรงนี้ด้วย แล้วก็พวกวิดีโอโปรดักชั่นต่างๆ ที่จะเพิ่มมากขึ้นแต่ไม่ต้องกลัวว่า “แก่น” ของค่ายเพลงเราจะเสีย เราจะยังเป็นค่ายเพลงแบบที่จิตวิญญาณเราเป็นอยู่ดี”
Artist Of The “Duck”
เราจะมาทำความรู้จักศิลปินของค่ายดนตรีเป็ดค่ายนี้กัน บางคนอาจจะคุ้นๆ บางคนรู้จักดี หรือบางทีอยากจะทำความรู้จัก นี่คือเรื่องราวของศิลปินในค่าย What The Duck แห่งนี้ จากปากคำของผู้บริหาร
สิงโต นำโชค
อดีต : พี่มอยเป็นคนแรกที่ได้เจอสิงโต นำโชค จากการไปเที่ยวที่ภูเก็ต ที่ร้านกาแฟ ซึ่งพี่สาวของกิจแจ๊ซเป็นเจ้าของเล่าให้ฟังว่า มีนักร้อง นักดนตรีคนนึงชอบมานั่ง ร้องเพลงเก่งมาก แล้วพี่มอยเคยไปดูสิงโตเล่น แต่ก็หายไป 2 ปี จนกิจแจ๊ซมาแนะนำ
พร้อมส่งเดโม่ให้พี่มอย พี่มอยได้ส่งต่อให้พี่บอล และพี่ฟั่น (โกมล บุญเพียรผล) ฟังเดโม่ ทั้ง 5 เพลง และจากนั้น สิงโตก็ได้ทำเพลงร่วมกัน สิ่งที่พี่มอยและพี่บอล ไม่รู้คือสิงโตเคยออกผลงานกับวง Mono มาแล้ว มารู้ทีหลัง พี่บอล “ที่จำไม่ได้เพราะโตมันไม่ได้ใส่หมวก (หัวเราะ)”
ปัจจุบัน : พี่มอย “ตอนนี้ สิงโต กลายเป็นคนแนะนำผมทุกอย่าง ตั้งแต่ ธุรกิจ การลงทุน อสังหา ออกกำลังกาย แต่ไม่ค่อยคุยเรื่องดนตรีแล้ว (หัวเราะ) เป็นเจ้าของค่ายตัวจริง (หัวเราะ)
อนาคต : จะมีอัลบั้มใหม่ชื่อ Just Have Fun With It พี่มอย “ผมคุยอัลบั้มนี้กับสิงโตมานาน คือมึง Have Fun มานานแล้ว มึงต้องปล่อยอัลบั้มได้แล้ว (หัวเราะ) มีมันทุกแนว Have Fun มานาน ต้องออกแล้ว (หัวเราะ)”
Musketeers
อดีต : กลุ่มเพื่อนเด็กประกวดจากเชียงใหม่ พี่บอล “เราทำการออดิชั่นเล็กๆ ตามภาคต่างๆ เพื่อจะทำการหาศิลปิน ซึ่งวงนี้ไม่ได้ชนะ แต่เพลงที่เขาแต่งเองฟังดูมีของ เป็นวงที่ผมเล็งไว้ว่า เพลงของเขาน่าจะต่อยอดได้ เลยชวนมาทำงาน”
ปัจจุบัน : พี่บอล “อยากแนะนำวงว่า ให้ขับขี่ปลอดภัย ระวังๆ กันสักนิด (หัวเราะ) ก็มี MV ล่าสุดที่ปล่อยไป แล้วก็ทัวร์”
อนาคต : พี่มอย “ก็ช่วงนี้ปล่อยให้ไปขับขี่ พักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวซาๆ ก็จะมาคุยงานใหม่กัน”
แป้งโกะ
อดีต : พี่บอล “ YouTuber ยุคแรก เป็นผู้หญิงคนแรกๆ ซึ่งเล่นพวกเพลง Cover ลง YouTube จนได้มาร่วมงานกัน ตอนที่เราพัฒนาเพลงกันอยู่ แป้งโกะได้รับการติดต่อให้เป็นพรีเซ็นเตอร์งานอื่นๆ แต่เราให้เขาทำเพลงก่อน แล้วค่อยรับงานด้านอื่น”
ปัจจุบัน : พี่บอล “ปัจจุบัน ก็ทำงานด้านอื่นซะเยอะ (หัวเราะ) แต่แป้งโกะก็อยากทำเพลงอยู่ตลอดนะ แต่ต้องยอมรับว่างานส่วนใหญ่เป็นหมวดอื่นไปแล้ว”
อนาคต : พี่มอย “ในปีนี้กำลังคุยกันเรื่องผลงานเพลงใหม่ อาจจะมีให้เห็น”
เป้ อารักษ์
อดีต : พี่บอล “เป้ คือศิลปินที่ประสบความสำเร็จจากที่อื่น เบอร์แรกของเรา ซึ่งตอนนั้นพีคมากแล้วเพราะได้เล่นละครกับอั้ม พัชราภา ซึ่งเราก็จะมีหน้าที่ดูแลเรื่องเพลงให้เขาอย่างเดียว” พี่มอย “เวลาที่เขาเสนอเพลงนี่ เขาจะเรียกทุกคนยันพนักงานบัญชีมาฟังเลยนะ ซึ่งผมจะกลัวมากเวลาเขาหายไปนานๆ ต้องกลับมาพร้อมอะไรแน่ๆ แล้วก็มาเป็นอัลบั้มคู่เหล็กกับไม้ อย่างที่เห็นนั่นแหละ (หัวเราะ)”
ปัจจุบัน : พี่บอล “เอาจริงๆ นะ ทุกวันนี้ สิ่งที่เขาเป็น ไม่ต้องมาทำเพลงแล้วก็ได้ แต่เป้จะหาเวลาและทำทุกอย่างเพื่อจะเล่นดนตรีให้ได้ ทุกวันนี้เป้ยังเสนอเดโม่มาอยู่เลยผมนับถือเขาในแง่นี้เลยนะ เขาเรียนร้องเพลง ฝึกกีตาร์เพิ่ม เขาจะถามตลอด รักดนตรีมาก เขาจริงใจในเรื่องนี้มาก”
อนาคต : พี่บอล “สิ่งที่ผมอยากแนะนำเป้คือถ้าจะทำอัลบั้มหน้า เอาอัลบั้มเดี่ยวก่อนนะ (หัวเราะ) เห็นบอกจะเปลี่ยนแนวอีกด้วย เวลาเป้หายไปนานๆ ผมจะใจคอไม่ค่อยดี น่ากลัวจริงๆ (หัวเราะ)”
Hers
อดีต : พี่มอย “วงนี้อยู่กับพี่กิจแจ๊ซ ตอนแรกจะเหมือนเป็นออกเดี่ยวกันด้วยนะ คล้ายสิงโต คือน้องยีนส์ ที่เล่นกีตาร์ เป็นแชมป์อูคูเลเล่ต่อจากสิงโต เผอิญน้องเขามีวงที่เล่นกลางคืนอยู่ด้วย พอเราเห็นว่าวงเขาเป็นยังไง เลยรู้สึกว่าวงผู้หญิงแนวนี้ก็ไม่ค่อยมี เลยตัดสินใจ ทำเป็นวง Hers”
ปัจจุบัน : พี่มอย “ตอนนี้เริ่มมีงานจ้างแล้ว เพราะการเล่นเอนเตอร์เทนดีอยู่แล้ว เพลงก็ดี มีกระแส แต่ภาพยังไม่ค่อยชัดนัก ซึ่งตรงนี้ทางพวกเราก็จะพยายามดูแลให้”
อนาคต : พี่มอย “น้องเขาบอกว่า เพลงเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ถูกใจพี่กิจแจ๊ซ (หัวเราะ) ก็คงไม่นานได้จะได้ฟังครับ”
Ten To Twelve
อดีต : พี่บอล “พวกเขาอยู่กับผมนานมาก ตั้งแต่ผมทำงานที่ RS วงนี้เป็นเด็กฝึกหัดที่นั่น ผมเจอ “มอร์” ตั้งแต่ชุดนักเรียน เป็นวงที่เราเชียร์ให้มีผลงานเสมอ”
ปัจจุบัน : พี่บอล “คือวงนี้เขามีภาระส่วนตัวเยอะ มีงานประจำ ก็เลยจะรวมตัวยากหน่อย ซึ่งก็ต้องกระตุ้นให้ว่างตรงๆ กัน แล้วมาทำเพลง”
อนาคต : พี่บอล “ทุกคนยังรักในการทำเพลงเหมือนเดิม แต่ด้วยความที่สมาชิกในวงต่างคนต่างมีภาระหน้าที่กันเยอะ เพลงใหม่เลยต้องใช้เวลากันมากขึ้น”
ชาติ สุชาติ
อดีต : พี่บอล “คนนี้ของจริง วิถี Zen โทรศัพท์ยังไม่มีเลยจนตอนนี้ (หัวเราะ) แต่มี iPad ไว้เล่นเกมส์ (หัวเราะ) เราเจอเขาจาก The Voice ก็ชอบแนวทางของเขานะ ตอนนั้นคิดว่าอยากให้ชาติมีเพลงแต่งเอง เราจะได้ร่วมงาน ซัพพอร์ตได้ ซึ่งเขาก็มีจริงๆ พอหมดรายการ หมดสัญญา เลยชวนมาอยู่”
ปัจจุบัน : พี่บอล “จริงๆ วันไหนชาติพูดด้วยเยอะนี่เราจะดีใจมาก (หัวเราะ) เป็นคนขี้เกรงใจ ต้องคอยบอกว่าที่ทำโอเคแล้ว บ่นได้นะอยากได้อะไร บอกได้ (หัวเราะ)”
อนาคต : พี่มอย “จะมีอัลบั้มแน่นอน ตอนนี้กำลังทำอยู่ครับ”
Brown Flying
อดีต : พี่บอล “ผมรู้จักกับ “นะ” มานานแล้ว เขาเป็นมือเบสวง Street Funk Rollers ซึ่งวันที่เขามาคุยเนี่ย เขาเอาเดโม่มาส่งพี่ฟั่น ให้กับทาง Believe ก็เลยเริ่มมีผลงานตั้งแต่ตอนนั้น”
ปัจจุบัน : พี่บอล “ก็ถือว่าเป็นวง Rock ที่สุดของค่าย พวกเขามีกลุ่ม มีฐานแฟนเพลงชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาก็มี EP ออกไป”
อนาคต : พี่บอล “คล้ายๆ กับ Ten To Twelve คือ ทั้งคู่ยังคงรักในเสียงเพลงในดนตรีร็อคเหมือนเดิม และยังคงเดินหน้าทำเพลงกันอยู่ แฟนๆ รอฟังเพลงของพวกเขากันด้วย”
Ewery
อดีต : พี่บอล “จริงๆ ต้องบอกว่ากับ วัท นักร้องนำ ก็อยู่กันมาตั้งแต่ Believe แล้ว เป็นกราฟิกดีไซน์ ก็รวมวงกับเพื่อน แล้วทำเพลงกับเราตั้งแต่นั้น”
ปัจจุบัน : พี่บอล “ตอนนี้ต้องบอกว่า วงมีการเปลี่ยนแปลงเยอะตอนนี้แกนหลัก มีวัทคนเดียว ซึ่งก็ต้องดูว่าจะเป็นยังไง เพราะตัววัทก็มีงานประจำด้วย”
อนาคต : พี่บอล มีแฟนๆ บ่นคิดถึงกันเยอะนะ วงก็หาเวลาคุยเพลงใหม่กันอยู่ครับ”
De Flamingo
อดีต : พี่บอล “วงนี้เริ่มจาก Facebook ที่ผมไปสิงอยู่ ตอนแรกนึกว่ามีค่าย พวกภาพ หรือเพลงนี่ดีเลย เราแชร์เพลงเพราะเราชอบมาก จนคนในวงทักมาขอบคุณ ก็เลยลองชวนมาคุยกันดู พอมาคุยก็รู้สึกว่ามีเป้าหมายที่คล้ายๆ กัน ตอนเซ็นสัญญา มือเบส ยังไม่มา ยังอยู่เมืองนอกอยู่เลยจนได้ทำงาน แล้วปล่อยเพลงกับค่าย ซึ่งก็ถือว่าเร็วมากนะ”
ปัจจุบัน : พี่บอล “กำลังทำเพลง ซึ่งชุดนี้จะมีโปรดิวเซอร์มาช่วยดูเรื่องเพลงด้วย ให้มีความโตมากขึ้น เริ่มทยอยอัด วงนี้เหมือนจะซ่าส์นะ แต่จริงๆ ค่อนข้างเรียบร้อยกว่าที่เห็น ค่อนข้างมีกาลเทศะ เป็นชาวร็อคที่เรียบร้อย”
อนาคต : พี่บอล “คงจะมีอัลบั้มแล้ว ซึ่งวงนี้ผมว่าเขาน่าจะต้องไปได้อีกไกลกว่านี้ เพราะวงค่อนข้างครบเครื่องอยู่ ทั้งลุค แนวทาง ฝีมือ ซึ่งเราก็จะพยายามผลักดันให้ได้”
2Pcs.
อดีต : พี่บอล “ วงนี้เป็นวงที่สู้มาก คือวงนี้เขามีอาชีพมาแล้ว เราทำผลงานให้เขา แล้วก็หายไปนาน จะ 2 ปีแล้ว”
ปัจจุบัน : พี่บอล “ต้องบอกว่าวงนี้เขามีอาชีพแล้ว นึกว่าถอดใจแล้ว แต่ก็ยังเป็นวงที่พยายาม ไม่ยอมแพ้ เมื่อเร็วๆ นี้เอาเดโม่มาเสนอ ซึ่งฟังแล้วก็โอเคนะ”
อนาคต : พี่มอย “น่าจะมีผลงานให้ดูแน่นอน กำลังอยู่ในช่วงปรับจูนอยู่”
ชนุดม
อดีต : พี่บอล “เจอที่งานประกวดของฟังใจ ซึ่งจริงๆ ผมก็เคยเจอมาก่อนแล้วนะ ตอนเห็นโปสเตอร์ครั้งแรกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นแนวอะไร แต่พอดูโชว์แล้วแบบ โอ้โห ชอบมาก ผมเลยคุยกับต๊อบ ซึ่งเป็นมือกลองให้เป้ อารักษ์ และชนุดมด้วย ก็ได้คุยกัน ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าสไตล์ของเขามันไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่น่าจะตอบโจทย์ค่ายได้ เขาแฮปปี้ที่จะอยู่เล็กๆ แบบของเขานี่แหละ เราก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ผมเองก็บอกกับวงตรงๆ ว่าจะพาวงไปได้ถึงไหนก็ไม่รู้ คือแค่ชอบ อยากลอง อยากทำ วงก็คิดว่า เออ เราก็บ้าเหมือนกัน บอกตรงๆ แบบนี้ ก็เลยได้ร่วมงานกัน”
ปัจจุบัน : พี่บอล “เพราะด้วยความที่เขามีเอกลักษณ์มาก แม้จะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่เขาก็จะมีกลุ่มที่เหนียวแน่นมาก โดยเฉพาะกลุ่มเพศทางเลือกตอนนี้จะกลายเป็นคุณแม่คนใหม่ไปแล้ว เราจะผลักดันเขาให้มากที่สุด และไม่เปลี่ยนตัวตนเขาด้วย”
อนาคต : พี่บอล “มิวสิคตอนนี้เสร็จแล้ว เป็นมิวสิคของอัลบั้มใหม่ น่าจะได้ชมเร็วๆ นี้”
The Toys
อดีต : พี่บอล “เราโชคดีที่เห็นเขาก่อน ความทรงจำแรกของผม คือเด็กอายุ 19 ที่ประกวดกีตาร์ชนะ และหล่อกว่ามือกีตาร์ทั่วไปนิดนึง (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้อะไร ก็หายไปไม่ได้ติดตาม จนมีคนมาบอกผมว่ามีเพลงของ The Toys รู้สึกจะเพลงจดหมาย ดีมากอยากให้ลองฟัง เราก็ฟังเออดีนะ พอไปดูเครดิตเห็นชื่อ ธันวา บุญสูงเนิน ก็รู้สึกว่าทำไมชื่อมันคุ้นจังวะ (หัวเราะ) คราวนี้เราสนใจในเพลงของเขา เลยเรียกเขามาคุยเพื่อจะทำงานเพลงในโปรเจ็กต์นึง ซึ่งพอได้คุยก็รู้ว่าเขาไม่ได้แค่เล่นกีตาร์แต่ชอบทำเพลงด้วย คุยไป คุยมา ก็ตกลงว่าทำเพลงเดียวเป็นอัลบั้มรวมๆ หลายๆ คน แต่มอย ซึ่งเขาลองไปตามดูเพลงอื่นๆบอกผมว่าจับเซ็นสัญญาเลย ไม่มีอะไรจะเสีย อย่างมากก็แค่ไม่อยู่ด้วยกัน เพราะตอนนั้น Toys เขาเริ่มดูแลตัวเองได้แล้ว ผมก็บอกมอยว่าโอเค แต่ไม่รับปากว่าน้องมันจะมาอยู่ด้วยหรือเปล่านะ ก็เลยเชิญคุณแม่มา คุยเรื่องสัญญา ซึ่งก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น คุณแม่ก็ฝากฝังเขาไว้กับเรา แล้ว Toys เองเขาก็มาบอกผมทีหลังว่าก็ดูผลงานที่เราทำอยู่เหมือนกัน พอหลังจากเซ็น เพลงหน้าหนาวที่แล้วดังพอดี เลยมีค่ายมาคุยเพียบเลย ต้องบอกว่าเราโชคดีจริงๆ และเครดิตส่วนนึง ต้องยกให้มอยที่กล้าตัดสินใจตรงนี้”
ปัจจุบัน : พี่มอย “ตอนนี้อยากให้พักผ่อนให้เพียงพอก่อน (หัวเราะ)เรื่องเพลง แนวทางไม่มีปัญหา เขามีแนวทางอยู่แล้ว เขาชอบอยู่แล้ว อะไรที่ชาวบ้านทำ เขาจะไม่ทำ เช่น ปล่อยเพลงตอนตี 4 (หัวเราะ) ซึ่งตรงนี้ก็ร่วมกันคิด แต่ Toys ก็ชอบด้วย เขาเป็นคนจริงจังกับงานมากนะ เวอร์ชั่นปกติกับเวอร์ชั่นทำงานนี่จะเป็นคนละคนเลย เขามองตัวเองว่าเป็นคนเบื้องหลัง ที่บังเอิญต้องไปอยู่ข้างหน้าเลยไม่ค่อยมั่นใจ แล้วตอนนี้ ทะลึ่งอยากเล่นเบสแล้ว อยากโชว์แล้วเล่นเบส บอกเล่นเก่งกว่ากีตาร์อีกผมก็บอกอะไรของมึงเนี่ย (หัวเราะ) นี่ล่ะครับ เด็กสมัยนี้ (หัวเราะ)”
อนาคต : พี่บอล “ก็คงทัวร์แล้วเดี๋ยวคิดอะไรออก เขาก็คงจะวิ่งมาบอกเราเองครับ ต้องเตรียมรับมือ (หัวเราะ)”
Bowkylion
อดีต : พี่มอย “ เขามาจากเวที The Voice แต่เรารู้จักเขาเพราะเป็นน้องสาวของ “ว่าน วันวาน” ตอนนั้นเราจะทำงานกับว่านนี่แหละ คราวนี้พอเราคุยกัน ว่านเขาก็บอกว่า น้องทำเพลงอยู่ ซึ่งเหมือนเพลงนี้จะเป็นโปรเจ็กต์จบของเขาชื่อเพลง Whatever เราดูเพลง ดู MV ก็ถามว่าใครเป็นคนทำ ว่านบอก Bowky ทำเองหมด เราก็โอ้โห เจ๋งว่ะ เลยลองคุยดู ซึ่งเขาเองก็อยากได้ ค่ายซัพพอร์ตเหมือนกัน ก็เลยโอเคมาเริ่มงาน”
ปัจจุบัน : พี่มอย “ตอนนี้เขามีเพลง Single แรก กับเรา ชื่อเพลง “ใครอีกคน” ที่ทำเพลงโดยคุณธันวา (หัวเราะ) สองคนนี้เขาสนิทกันเร็วเพราะเป็นเด็กสมัยนี้เหมือนกัน คุยไรกันก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ”
อนาคต : พี่บอล “อาจจะมีเพลงที่สองเร็วๆ นี้ เป็นเด็กสมัยนี้อีกคน (หัวเราะ)”
Whal & Dolph
อดีต : พี่บอล “อันนี้ต้องขอบคุณเมื่อยเลย คือเมื่อยนี่เขาชอบจัดงานเล็กๆ ที่ชวนวงหน้าใหม่ไปเล่น ตัวผมเองก็รู้จักแบบไม่ได้ลงรายละเอียดมาก พอจะรู้ว่าวงนี้เล่นดี เพลงดี พอเมื่อยจัดงานแล้วชวนเราไปดู เราก็รู้สึกเออ วงนี้แนวทางชัดเจนมาก มีเรื่องฮาๆ ก็คือจริงๆ น่ะ ผมให้เมื่อยลองไปจีบดูก่อน จีบสไตล์เมื่อย (หัวเราะ) เมื่อยบอกว่าน้องเขาอยากจะแค่ปิ้งบาร์บีคิว
หลังบ้าน มาฟังเขาเล่นดนตรีพอแล้ว แต่พอเราไปชวนกะจะมาเซ็นสัญญา เราก็คิดนะว่าน้องมันจะยังคิดแบบนั้นหรือเปล่า แต่น้องๆ มันบอก จริงเหรอครับพี่ สนใจๆ ผมก็ เออ เมื่อยมันชวนแบบไหนวะ (หัวเราะ) รู้งี้จีบเองแต่แรกดีกว่า (หัวเราะ) แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณเมื่อยล่ะนะ (หัวเราะ) ”
ปัจจุบัน : พี่บอล “ก็พอเราเซ็นเขามาเราได้เห็นวิธีการทำงานของเขา มีการสร้างคอมมูนิตี้เล็กๆ เป็นของตัวเอง เขาจะมีแฟมิลี่ปลา เป็นเพื่อนๆ มาเล่นดนตรี ถ่าย MV กัน ผมมองว่า มันมีแนวทางที่ดี แล้วเพลงเขาก็ดีมากด้วย อัลบั้มที่ปล่อยไป ก็เป็นอัลบั้มที่ดี ที่ฟังได้ตลอดเวลา”
อนาคต : พี่บอล “ด้วยแนวทางนี้ ผมว่าเขาจะสามารถสร้างกลุ่มของเขาได้มากยิ่งขึ้นไปอีก”