Gene Lab คืออะไร หลายคนคงสงสัย
Gene Lab เป็นยังไง หลายคนคงสงสัย
Gene Lab คือค่ายเพลงเหรอ หลายคนคงสงสัย
…ฉบับนี้ โอม ปัณฑพล ประสารราชกิจ
นักร้องนำวง Cocktail ผู้ที่เข้ามาดูแล Gene Lab
จะมาคลายข้อสงสัยให้ทุกคนรับรู้ว่า
จริงๆ แล้ว Gene Lab คืออะไร
จุดเริ่มต้นของแนวคิด Gene Lab
โอม : อันนี้เป็นความคิดของพี่นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ด้วยครับ พี่นิคบอกว่าตอนนี้มันน่ากลัวมากสำหรับการที่เราจะทำศิลปินใหม่ๆ พวกอายุสัก 20 ต้นๆ เพราะตอนนี้วงใน genie มีอายุมากขึ้น มีพื้นที่ในวงการ คราวนี้พอวงเด็กๆ เข้ามาก็กลายเป็นว่ากดดันไปโดยอัตโนมัติ แล้วก็อยากได้ทีมงานที่มีวิธีการใหม่ๆ เลยอยากได้หน่วยงานเฉพาะทางที่ดูแลการเกิดของศิลปินจริงๆ ซึ่งพี่นิคบอกผมว่า “ให้ลองไปคิดดู ถ้าจะทำค่ายแยกออกมาจะทำยังไงได้บ้าง”
ที่มาของชื่อ Gene Lab
โอม : คือต้องบอกก่อนว่าเราไม่เชิงว่าเป็นค่ายลูกนะ เราเป็นค่ายใหม่ คราวนี้ตอนตั้งชื่อก็อยากเหลืออะไรที่คงสื่อถึง genie ไว้บ้างเลยเอาตัว iออกไปตัวนึงก็กลายเป็น Gene จากยักษ์ในตะเกียงกลายเป็นสายพันธุ์ ก็เป็นสายพันธุ์แบบ genie คำว่า Lab ก็หมายถึงการทดลอง โดยไม่ได้ใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งน่าจะตอบสนองกับเด็กๆ ได้มากขึ้น จึงกลายเป็น Gene Lab ครับ
จะต่างจากค่ายเพลงปกติยังไงบ้าง
โอม : โครงสร้างจะต่างไปคือ Gene Lab จะเป็นอีกบริษัทนึง ไม่ใช่แผนกใน Grammy เหมือนเราเป็น Supplier อยู่ข้างนอก โดยงานทั้งหมดก็ยังเป็นของ Grammy แต่การบริหารงบประมาณ ทีมของเราจะเป็นคนจัดการ ดังนั้นในแต่ละปี ถ้าผมอยากจะทำอะไรก็ต้องนำเสนอของบ แล้วดูว่าเป็นไปได้แค่ไหน จากนั้นพอมาทำก็มีการประเมินผลงาน เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ต่างจากค่ายปกติที่เป็นแผนกๆ ต่างๆ ไป แต่ของเราไม่ใช่แบบนั้น ของเราเป็นบริษัทเต็มตัว ซึ่งแตกต่างจากค่ายอื่นๆ ใน Grammy ถัดมาเราจะดูแลศิลปินในช่วงที่ “ก่อร่าง” จะไม่มีการโอนศิลปินมาให้เราดูแล จะมีแต่ศิลปินใหม่
การจะมาทำงานกับ Gene Lab
โอม : เราอยากได้ศิลปินรุ่นเด็กหน่อย เป็นช่วงมหา’ลัย ขึ้นไปถึงคนทำงานใหม่ อายุไม่เกิน 30 ตอนนี้ที่เราทำการเชิญชวนในเพจมีคนเข้าใจว่านี่เป็นงานประกวดดนตรีกันเยอะ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการออดิชั่นหาศิลปินอาชีพ เราอยากได้คนที่มีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งแนวทางของเราเป็นแบบตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน มีทีมงานเท่าที่บริษัทนึงควรจะมี และไม่ต้องพึ่งพาส่วนกลางมากเกินไป
วงที่มาส่วนใหญ่ต้องเป็นวงร็อคหรือเปล่า
โอม : ต้องมองผมในฐานะโปรดิวเซอร์ก่อน ผมทำงานของเบล สุพล หรือพี่พลพลได้ ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ผมก็ไม่ใช่แนวร็อคอย่างเดียว แต่แน่นอนว่าหลายคนติดภาพ โอม Cocktail จาก genie records แต่ผมไม่ใช่เป็นร็อคขนาดนั้น ซึ่งเอาจริงๆ ที่เขาส่งงานกันมาก็ไม่ใช่วงร็อคหนักมากเท่าไหร่ และจริงๆ แนวทางของ Cocktail ก็ไม่ได้ร็อคหนักมากเท่าไหร่ ลองเปลี่ยนเป็น Retrospect เปิดค่ายสิ แบบนั้นคนจะคาดหวังมากกว่าอีกว่าจะต้องเป็นร็อคหนักๆ วงเราอยู่ค่อนข้างจะตรงกลางของรูปแบบดนตรีหลายอย่าง ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นร็อคอย่างเดียวครับ
ถ้าอย่างนั้นเข้ามาที่นี่ก็เป็นศิลปินของ Gene Lab แล้วสัญญาจะเป็นยังไง
โอม : ผมอยากจะให้สัญญาเป็นปีต่อปีนะครับ เพราะผมรู้สึกว่าถ้าซื้อใจเขาได้เขาก็จะอยู่กับเราเอง แต่ถ้าเขาไม่อยู่ เขาก็เอาความรู้เราไปต่อยอดที่อื่นก็ได้ อาจจะไปเข้ากับค่ายอื่นของ Grammy หรือเอาความรู้ไปพัฒนาต่อยอดข้างนอกก็ได้ คือทางผู้บริหารเราอยากเห็นเด็กเข้ามาใหม่ สมมติวันนึงเราทำ Gene Lab ได้ดี เด็กอยากจะเดินเข้ามาหาเราก็เดินมาเลย หรือใครอยากเข้า genie ก็ทำตรงนี้ให้ชัดเจนกันไป เอาจริงๆ มันหายากมากนะที่จะมีเด็กเดินเข้า genie ด้วยความมั่นใจ ลองดูที่ g19 สิ โอ้โห
แน่นไปหมด จะไปยืนตรงไหน (หัวเราะ) มันแข็งเกินไป คือผมไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่อะไรนะ แต่วันซ้อมคิว g19 ผมลองยืนแล้วมองไปทางขวา มีแหลม แพท พี่ตูน แน็ป พี่กวาง โอ้โห แล้วพอดูทางซ้ายอีก แบบน่ากลัวอ่ะ(หัวเราะ) เด็กจะแทรกตรงไหน เราก็เลยทำตรงนี้รองรับขึ้นมาด้วยครับ
งั้นวางเป้าหมายของคำว่าประสบความสำเร็จยังไง
โอม : มันอยู่ที่ว่าวงไหนมีความต้องการยังไง ความสำเร็จไม่ได้วัดจากมุมที่เรามอง ต้องถามว่าเขาต้องการแบบไหน เขาอยากจะเป็นเฉพาะกลุ่ม เขาอยากจะเป็นกลุ่มเมือง หรือแบบมหาชน อันนี้ต้องถามตัวเองก่อน สมมุติมีวงหนึ่งไปเล่นงานกาชาดไม่รอด ไปเล่นตามผับบาร์ต่างจังหวัดไปไม่ได้ แต่เขาอยู่ในอีกจุดนึงเล่นบาร์เมือง เทศกาล อีเวนท์แล้วรอด มันก็อยู่ได้ บางคนเลยพุทธมณฑลไปคนก็ไม่รู้จัก แต่ค่าตัวมากกว่า วงที่เล่นตามงานมหาชนต่างๆ แบบนี้มันก็มี ก็อยู่ได้ซึ่งไม่ได้หมายความว่าวงเล่นงานกาชาดอะไรแบบนี้ไม่ดีนะ แต่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าเป้าหมายอยากไปอยู่ที่จุดไหนก่อนตลาดมหาชนงานเยอะแต่พอมารวมๆ อาจจะได้พอๆ กับวงเฉพาะกลุ่มที่มีความสามารถในการสนับสนุนสูงๆ เพราะฉะนั้นความสำเร็จไม่ใช่แค่ตัวเงินแต่มันเป็นสิ่งที่คุณตั้งเป้า เพราะฉะนั้นตั้งเป้าแค่ไหน แล้วสอดคล้องกับสิ่งที่ค่ายต้องจ่ายหรือเปล่า เราจะคุยกับคนที่มาทำงานกับเราให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร
ก็ต้องเตรียมคำตอบไว้หลายๆ แบบ
โอม : ใช่ครับ มีน้องๆ เคยบอกผมว่าอยากออกอัลบั้มเพื่อแสดงจิตวิญญาณ ผมเลยตอบกลับไปว่า แล้ว Beethoven ออกเป็นอัลบั้มไหม แล้วที่เราฟังๆ กันคือ Beethoven เป็นศิลปินตัวจริงหรือเปล่า ศิลปิน Motown ที่สมัยก่อนออกแผ่นทีแค่ 2 เพลง อย่างนั้นเรียกว่าอัลบั้มไหม ต่อมาเรามีอัลบั้มที่ความจุเยอะขึ้นเพราะสื่อบรรจุความจำมันพัฒนาไป ทุกวันนี้แผ่นซีดีแผ่นนึงก็เก็บเพลงได้เกือบร้อย เกือบพัน แต่สุดท้ายเราก็โฟกัสไม่เกิน 10 เพลงอยู่ดี มันก็เลยกลายเป็นมาตรฐาน แล้วการฟังของคนในปัจจุบันก็เปลี่ยนไป ถามว่าทำไมฝรั่งขายแผ่นได้ ก็เพราะวัฒนธรรมมันต่างกัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเทรนด์มันก็ยังคล้ายๆ กัน ดูได้เลยว่าคนได้รางวัล Platinum สมัยนี้ขาย 3 หมื่นหน่วยก็ได้แล้ว สมัยก่อนต้องมีหลักแสนขึ้น ล้านขึ้น คนฟังก็เปลี่ยนไป วิธีการฟังเปลี่ยนดังนั้น จิตวิญญาณ ไม่ได้อยู่ที่จำนวน แต่อยู่ที่ความตั้งใจในการทำงานมากกว่าผมอยากให้ระหว่างศิลปินและค่ายเป็นพาร์ทเนอร์กัน ที่ Gene Lab ผมตั้งใจว่าจะไม่ใช่แบบเจ้านาย ลูกน้อง แต่จะเป็นหุ้นส่วนกัน ถ้าอะไรเราไม่เห็นด้วยเราจะบอกเขาอย่างมีเหตุผล
แล้วอายุของแต่ละวงในค่ายล่ะครับ เขาจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ได้มั้ย
โอม : สัญญาที่เราบอกก็จะเป็นปีต่อปี ผมว่าเอาจริงๆ นะ สมมุติไม่ไหว ศิลปินจะรู้สึกเอง คือทันทีที่ยอดต่างๆ เขาตกลง หรือเราให้ทุนเขาน้อยลงเขาจะรู้ได้ทันที ซึ่งเราก็จะไม่รั้งนะ ถ้าเขาจะไปเติบโตที่อื่นผมก็ยินดี กลับกันถ้าวันนึงเกิดวงสำเร็จขึ้นมา เขาจะไปต่อยอดใน Grammy ก็ได้ เพราะก็ถือว่าเป็นศิลปินของ Grammy อยู่แล้ว เรื่องโชว์ เรื่องรายละเอียดต่างๆ ทาง Grammy ก็จะช่วยเหลือ สิ่งที่ผมกังวลอยู่นิดหน่อยก็คือผมก็แฮปปี้ในสถานะนี้นะ มันทำงานง่ายกว่า ถ้าวันนึง Gene Lab โตขึ้น มันต้องกลายเป็นแผนกหนึ่งของ Grammy มันก็ต้องมาดูกันอีกที ส่วนตัวผมก็ไม่อยากยกสถานะไปตรงนั้นครับ
ได้คุยกับเด็กๆ เยอะมองว่านักดนตรียุคใหม่เป็นยังไงบ้าง
โอม : เด็กสมัยนี้เก่งมากครับ แต่ข้อเสียคือมันเหมือนกันไปหมด เด็กเริ่มมีตัวตนช้า ด้วยอิทธิพลของสื่อ ทำให้เด็กมารูปแบบเดียวกันเยอะ พวกเขาเติบโตด้วยอิทธิพลบางอย่างโดยไม่รู้ตัวมากกว่าเดิม
มีเด็กที่มีแววยิ่งใหญ่บ้างมั้ย
โอม : ผมเชื่อว่าน่าจะมี แล้วก็เห็นแววกับงานที่เขาส่งมานะ แต่ปัญหาที่เป็นเรื่องน่ากลัวมากที่สุดเราไม่มีคนที่ดัง ยิ่งใหญ่สุดๆ เพราะดนตรีมานานแล้ว ผมพูดแบบนี้ดีกว่ามีคนดังครั้งที่หนึ่งจากดนตรี แต่ไม่มีใครดังขึ้นเพราะดนตรี เกิดเพราะดนตรียังมีอยู่ แต่ยกระดับขึ้นไป ตรงนี้ไม่มีมานานแล้ว สัก 3 ปีให้หลังเนี่ย เป็นเรื่องที่เกิดจากผลกระทบข้างเคียงทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งที่เราทำ เราพยายามจะให้คนที่มาทำงานกับเรา อยู่ในวงการดนตรีให้มากที่สุด ไม่ใช่แบบแค่แข่งประกวดร้องเพลง ซึ่งผมว่ารายการร้องเพลง มันเยอะไปแล้ว จนผมเริ่มกลัว แม้ผมจะยอมรับว่าผมได้อานิสงส์จากรายการร้องเพลง แต่ผมก็ไม่อยากจะเห็นวงการดนตรีมันเดินไปแบบนี้ ผมอยากเห็นศิลปินที่เกิดจาก Music Content จริงๆ ขึ้นมามากกว่า
เอาแบบให้เห็นภาพ สมมุติมีเด็กสักคนอยากเป็นแบบพี่ตูน
โอม : ผมว่าเด็กคนนั้น ต้องไปคิดมาใหม่ เพราะที่พี่ตูนเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะว่าพี่ตูนไม่ได้อยากเป็นแบบใครเลย ดังนั้นถ้าบอกว่าอยากเป็นอะไร แล้วตอบว่าอยากเป็นตัวเอง อย่างนี้น่าฟังกว่า ถ้าคุณจะเป็นแบบพี่ตูน ก็ควรจะเป็นคนที่มีจิตใจแบบพี่ตูน มีความรอบด้านในความรู้แบบพี่ตูน มีความมุ่งมั่นแบบพี่ตูน ไม่ใช่อยากทำเพลงเหมือนพี่ตูนครับ
การที่โอมมาทำตรงนี้ เป็นสิ่งที่เป็นนโนบายใหม่ของ Grammy หรือเปล่า เพราะค่ายอื่นๆ ก็มีโครงการที่คล้ายๆ กัน
โอม : ใช่ครับ ตรงนี้เป็นการเคลื่อนตัวของ Grammy ในด้านดนตรี เพื่อจะได้รูปแบบอะไรใหม่ๆ เพราะโลกหมุนเร็ว ถ้าเราเพลย์เซฟอยู่กับที่ สุดท้ายโลกจะขยี้เรา ผมเห็นนโยบายนี้ก่อนที่จะคิด Gene Lab ขึ้นมา แล้วก็คิดว่าจะตอบสนองนโยบายนี้ยังไง เรื่องนี้ถูกคิดมาประมาณนึงแล้วครับ
มาทำตรงนี้จะมีผลกระทบ ต้องทำให้เฟดจากเบื้องหน้าหรือเปล่า
โอม : ไม่เลยครับ เรายังมีแผนเบื้องหน้าอยู่ ผมก็ยังสอนหนังสืออยู่ ผมเป็นมนุษย์ที่ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง (หัวเราะ) ถ้าแบ่งเวลาดีๆ มันก็ได้ แล้วจริงๆ งานของผมมันก็สัมพันธ์กันนะ งานสอนทำให้เราได้เห็นทัศนคติ แนวคิดของเด็กซึ่งสิ่งเหล่านี้กลับสอนเราด้วยซ้ำให้เรามองดูตัวเราเอง ตอนนี้ผมอยากเห็นวงที่สามารถจบงานเองได้ทุกอย่าง และครอบคลุมในยุคที่เราต้องอยู่รอดในธุรกิจดนตรีตอนนี้
โอมเคยรู้สึกเหนื่อยกับการปรับตัวมั้ยเพราะวันแรก จนถึงวันนี้ วิธีการทำงานมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด
โอม : ไม่เหนื่อยครับ การปรับตัวเป็นส่วนสำคัญในการทำวง Cocktail มาตลอด 15 ปี อยู่แล้ว ถ้าเราจะเหนื่อยก็เหนื่อยแบบคนทั่วไป การเดินทางวันนี้ทำงานหนักจัง อะไรแบบนี้มากกว่าครับ นอนน้อย เล่มเกมส์เยอะ (หัวเราะ) คือผมไม่อยากโทษปัจจัยภายนอก โลกมันต้องเปลี่ยน บางทีด้วยเทคโนโลยี ของเก่าถูกล้างไปโดยของใหม่ เช่น เมื่อก่อนเรามีเทป พอซีดีมา เทปตาย พอมีสตรีมมิ่ง ซีดีตาย ทุกอย่างมันมีเหตุผลและที่มา เราจะไปนั่งโทษโลกทั้งหมดไม่ได้ แต่โดยธรรมชาติบางครั้งนักดนตรีมักจะ
มีแนวคิดแบบต้องมีจุดยืนที่ไม่ตามโลกซะทั้งหมด ตรงนี้มันจะขัดแย้งกันมั้ย
โอม : คือผมเป็นนักดนตรีอีกแบบนึง ผมจริงใจกับงานตัวเองมาก แต่บางคนก็มองว่าผมไม่ได้จริงใจกับงาน คือผมรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ผมควรจะพูดอะไร และไม่ควรพูดอะไร การจะพูดเรื่องอะไรที่เข้าไปถึงใจคนมันมีจังหวะเวลาที่เหมาะสมของมัน โอเค เราอาจจะแบบเห็นแก่ตัวอยากจะพูดแต่สิ่งที่เราคิด แต่เราก็ต้องรู้ว่าควรจะเอาไปวางไว้ตรงไหนให้เหมาะสม ใช่ครับผมก็ยอมรับว่าอยากดัง แต่ก็ไม่ใช่แบบที่เราต้องมาเขียนเพลงเพื่อตามใจใคร เราอยากดังจากสิ่งที่เราคิดและเขียน เพราะอย่างนั้นเรายิ่งต้องรู้จังหวะ องค์ประกอบวิธีคิดต่างๆ ของคนอื่นๆ ด้วย ซึ่งก็จะเป็นสิ่งที่อยากบอกกับน้องๆ ที่ Gene Lab เช่นเดียวกัน ผมไม่อยากให้เขาทำเพลงตามใจตลาด แต่อยากให้รู้ว่าจะทำเพลงของตัวเองอย่างไรให้ตามใจตัวเองและถูกใจตลาด แต่อยากให้รู้ว่าจะทำเพลงตามใจตัวเองให้ถูกใจตลาดได้ยังไง
มาอัพเดตที่วง Cocktail กันบ้าง จะมีงานอะไรบ้าง
โอม : ก็คร่าวๆ อาจจะมีคอนเสิร์ตใหญ่กลางๆ ปี แล้วก็จะมีเพลงออกสัก 5 เพลง มีซิงเกิ้ลหลักเพลงนึง แล้วก็เพลงประปราย ปีนี้โปรเจ็กต์เพียบเลยครับ อย่าเพิ่งเบื่อหน้ากันนะครับ (ยิ้ม)
ฝาก Gene Lab สักหน่อยครับ
โอม : ค่ายนี้เป็นค่ายที่เราตั้งใจทำมันออกมา ผมคิดว่าตรรกะทั้งหมดที่ผมเรียนรู้มา เรามาจากหลากหลายแขนง ไม่ใช่แค่ดนตรีอย่างเดียวทีมงานของเรามีทั้งคนที่รู้ทางสังคม การตลาด การประชาสัมพันธ์ เราพร้อมจะส่งต่อความรู้ที่มีทั้งหมดแบบไม่กั๊ก เราหวังที่จะให้น้องเรียนรู้จากเรา และเราก็อยากจะเรียนรู้จากน้องๆ ในฐานะที่เราเป็นพาร์ทเนอร์กัน ก็หวังว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีกับเราทั้ง 2 ฝ่ายครับ
ขอขอบคุณ : โอม และหมี (ผจก.) ที่เดินทาง
มาหากันถึงฐานบัญชาการ